![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ในบทมีอาทิว่า เนกฺขมฺมวเสน - ด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะมีอธิบายดังต่อไปนี้ ธรรมทั้งหลายคือเนกขัมมะ อัพยาบาท อาโลกสัญญา การกำหนดธรรมที่ไม่ฟุ้งซ่าน ญาณและปราโมทย์ประกอบด้วยอุปจารฌานของพระสุกขวิปัสสก เป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสนั้นๆ สัมปยุตด้วยจิตดวงเดียวเท่านั้น. บทว่า จิตฺตสฺส เอกคฺคตา อวิกฺเขโป - เอกัคตาจิตอันไม่ฟุ้งซ่าน คือความเป็นจิตเลิศดวงเดียว ชื่อว่าเอกัคตา. ชื่อว่าอวิกเขปะ เพราะจิตไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ด้วยเอกัคตานั้น. อธิบายว่า ความไม่ฟุ้งซ่าน กล่าวคือความที่จิตเป็นเอกัคตา. บทว่า สมาธิ ความว่า ชื่อว่าสมาธิ เพราะจิตตั้งอยู่เสมอในอารมณ์เดียว. บทว่า ตสฺส สมาธิสฺส วเสน - ด้วยอำนาจแห่งสมาธินั้น คือด้วยอำนาจแห่งสมาธิมีประการดังกล่าวแล้ว เพราะรู้ตามความเป็นจริงแห่งจิตตั้งมั่นแล้ว ด้วยอุปจารสมาธิ. บทว่า อุปฺปชฺชติ ญาณํ - ญาณย่อมเกิดขึ้น คือมรรคญาณย่อมเกิดขึ้นตามลำดับ. บทว่า ขียนฺติ - ย่อมสิ้นไป ด้วยสามารถการตัดขาด. บทว่า อิติ เป็นบทสรุปอรรถมีประการดังกล่าวแล้ว. บทว่า ปฐมํ สมโถ - สมถะมีก่อน คือ สมาธิย่อมมีในส่วนเบื้องต้น. บทว่า ปจฺฉา ญาณํ - ญาณมีภายหลัง คือ ญาณย่อมมีในขณะมรรค ในส่วนหลัง. บทว่า กามาสโว - กามาสวะ คือ ราคะประกอบด้วยกามคุณ. บทว่า ภวาสโว - ภวาสวะ คือ ฉันทราคะในรูปภพ อรูปภพ ความใคร่ในฌาน ราคะเกิดร่วมกับสัสสตทิฏฐิ ความปรารถนาด้วยสามารถแห่งภพ. บทว่า ทิฏฺฐาสโว - ทิฏฐาสวะ คือ ทิฏฐิ ๖๒. บทว่า อวิชฺชาสโว - อวิชชาสวะ คือ ความไม่รู้ในฐานะ ๘ มีทุกข์เป็นต้น. ท่านทำคำถามตามโอกาสด้วยสัตตมีวิภัตติ แล้วแสดงความสิ้นอาสวะด้วยมรรค ทำความสิ้นอาสวะด้วยบทมีอาทิว่า โสตาปตฺติมคฺเคน - ด้วยโสดาปัตติมรรค แล้วจึงทำคำตอบตามโอกาสด้วยบทว่า เอตฺถ. ท่านอธิบายว่า ในขณะแห่งมรรค. บทว่า อนวเสโส - ไม่มีส่วนเหลือ คือ อาสวะไม่มีส่วนเหลือ ชื่อว่าอนวเสสะ. บทว่า อปายคมนีโย - อันเป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่อบาย ได้แก่นรก กำเนิดเ ชื่อว่า อปายคมนีโย เพราะอรรถว่ายังบุคคลที่มีอาสวะให้ไปสู่อบาย. ท่านกล่าวอาส บทว่า อวิกฺเขปวเสน - ด้วยสามารถแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน คือด้วยสามารถแห่งสมาธิเป็นอุปนิสัยแห่งสมาธิอันเป็นไปอยู่. ในบทว่า ปฐวีกสิณวเสน - ด้วยสามารถแห่งปฐวีกสิณเป็นอาทิมีความดังต่อไปนี้ ท่านกล่าวถึงกสิณ ๑๐ ด้วยสามารถแห่งอัปปนาสมาธิอันมีกสิณเป็นอารมณ์. ท่าน การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภพระพุทธเจ้า ชื่อว่าพุทธานุสติ. พุทธานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์มีอาทิว่า อิติปิ โส ภควา อรหํ.๑- ด้วยสามารถแห่ง อนึ่ง การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภพระธรรม ชื่อว่าธรรมานุสติ. ธรรมานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีพระธรรมคุณเป็นอารมณ์มีอาทิว่า สฺวากฺ การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภพระสงฆ์ ชื่อว่าสังฆานุสติ. สังฆานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีพระสังฆคุณเป็นอารมณ์มีอาทิว่า สุ ____________________________ ๑- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๙๕ การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภศีล ชื่อว่าสีลานุสติ. สีลานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีคุณของศีล คือความที่ศีลไม่ขาดเป็นต้นเป็นอารมณ์. การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภจาคะ ชื่อว่าจาคานุสติ. จาคานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีคุณของการบริจาค คือ ความเป็นผู้เสียสละเป็นต้นเป็นอารมณ์. การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภเทวดาทั้งหลาย ชื่อว่าเทวตานุสติ. เทวตานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีคุณ คือศรัทธาเป็นต้นของตนเป็นอารมณ์ ตั้งเทวดาไว้ในที่เผชิญหน้า. สติเกิดขึ้นปรารภอานาปานะ - หายใจเข้าหายใจออก ชื่อว่าอานา สติเกิดขึ้นปรารภความตาย ชื่อว่ามรณสติ. มรณสตินี้เป็นชื่อของสติมีมรณะ กล่าวคือการตัด สติเป็นไปในสรีระที่เรียกว่ากาย เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งสิ่งปฏิกูลทั้งหลายมีผมเป็นต้นอันน่าเกลียด. หรือไปสู่กายเช่นนั้น ชื่อว่ากายคตาสติ. เมื่อควรจะกล่าวว่ากายคตสติ ท่านไม่ทำเป็นรัสสะ กล่าวว่า กายคตาสติ. แม้ในที่นี้ก็เหมือนกัน ท่านกล่าวว่า กายคตาสติวเสน กายคตาสตินี้เป็นชื่อของสติมีปฏิกูลนิมิตในส่วนของกายมีผมเป็นต้นเป็นอารมณ์. การระลึกถึงเกิดขึ้นปรารภอุปสมะ - ความสงบ ชื่อว่าอุปสมานุสติ. อุปสมานุสตินี้เป็นชื่อของสติมีการสงบทุกข์ทั้งปวงเป็นอารมณ์. อสุภะ ๑๐ มีอรรถได้กล่าวไว้แล้วในหนหลัง. เพื่อแสดงถึงประเภทของอัปปนาสมาธิและอุปจารสมาธิ ท่านจึงกล่าวว่า ทีฆํ อสฺสาสวเสน ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้ายาว คือด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้า ที่ท่าน แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้. บทว่า ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ - การระงับกายสังขาร คือระงับ คือสงบกายสังขาร อันได้แก่การหายใจเข้าและการหายใจออกอย่างหยาบ. ท่านกล่าวอัปปนาสมาธิด้วยหมวด ๔ นี้ คือ ทีฆํ - ยาว ๑ รสฺสํ - สั้น ๑ รู้แจ้ง บทว่า ปีติปฏิสํเวที - รู้แจ้งปีติ คือ ทำปีติให้ปรากฏ. บทว่า จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที - รู้แจ้งจิตตสังขาร คือทำจิตตสังขารอันได้แก่ สัญญา เวทนา ให้ปรากฏ. บทว่า อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ - ทำจิตให้บันเทิง. บทว่า สมาทหํ จิตฺตํ - ความตั้งจิตไว้ คือตั้งจิตไว้เสมอในอารมณ์. บทว่า วิโมจยํ จิตฺตํ - ความเปลื้องจิต คือเปลื้องจิตจากนิวรณ์เป็นต้น. ท่านกล่าวหมวด ๔ คือ ปีติปฏิสํเวที - รู้แจ้งปีติ ๑ สุขปฏิสํเวที - รู้แจ้งสุข ๑ จิตฺ และหมวด ๔ คือ จิตฺตปฏิสํเวที - รู้แจ้งจิต ๑ อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ - ทำจิตให้บันเทิง ๑ สมาทหํ จิตฺตํ - ความตั้งจิตไว้ ๑ วิโมจยํ จิตฺตํ - ความเปลื้องจิต ๑ ด้วยอัปปนาสมาธิ และด้วยสมาธิสัมปยุตด้วยวิปัสสนา. บทว่า อนิจฺจานุปสฺสี - การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง คือ บทว่า วิราคานุปสฺสี - การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัด คือ บทว่า นิโรธานุปสฺสี - การพิจารณาเห็นความดับ คือท่าน บทว่า ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี - การพิจารณาเห็นความสละคืน ท่าน จริงอยู่ การพิจารณาเห็นความสละคืนนั้น ย่อมสละกิเลสกับด้วยขันธาภิสังขาร ด้วยสามารถตทังคะ. อนึ่ง ย่อมแล่นไปเพราะน้อมจิตไปในนิพพาน อันตรงกันข้ามกับกิเลสนั้น ด้วยเห็นโทษในสังขตธรรม. ท่านกล่าวหมวด ๔ นี้ ด้วยสามารถแห่งสมาธิอันสัมปยุตด้วยวิปัสสนา. อนึ่ง ในบทนี้ว่า อสฺสาสวเสน ปสฺสาสวเสน - ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้า ด้วยสามารถแห่งการหายใจออก ท่านกล่าวถือเอาด้วยสามารถการทำหายใจเข้าหายใจออกเป็นอารมณ์. ส่วนความพิสดารในบทนี้จักมีแจ้งในอานาปานกถา. จบอรรถกถาอานันตริกสมาธิญาณนิทเทส ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา อานันตริกสมาธิญาณนิทเทส จบ. |