ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 215อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 217อ่านอรรถกถา 31 / 226อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา
นิโรธสมาปัตติญาณนิทเทส

               ๓๔. อรรถกถานิโรธสมาปัตติญาณนิทเทส               
               [๒๑๗-๒๒๕] พึงทราบวินิจฉัยในนิโรธสมาปัตติญาณนิทเทสดังต่อไปนี้.
               บทว่า สมถพลํ - สมถพละ ความว่า ชื่อว่าสมถะ เพราะอรรถว่าสงบธรรมเป็นข้าศึกมีกามฉันทะเป็นต้น.
               สมถะนั่นแหละชื่อว่าเป็นพละ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว. เพราะพระอนาคามีและพระอรหันต์นั่นแหละเป็นผู้ถึงความเป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ ด้วยการละกามฉันทะอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสมาธิ ท่านจึงทำสมาธิของพระอนาคามีและพระอรหันต์เหล่านั้นว่า พลปฺปตฺโต - ผู้ถึงซึ่งกำลัง แล้วจึงกล่าวว่า สมถพลํ มิใช่ของคนอื่น. ปาฐะว่า สมาธิพลํ บ้าง.
               บทว่า วิปสฺสนาพลํ - วิปัสสนาพละ ความว่า ชื่อว่าวิปัสสนา เพราะอรรถว่าเห็นธรรมด้วยอาการหลายอย่างโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. วิปัสสนานั่นแหละชื่อว่าเป็นพละ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว. วิปัสสนาญาณถึงซึ่งกำลังของพระอริยเจ้าทั้งสองเหล่านั้น.
               สมถพละ เพื่อสงบจิตตสันดานโดยลำดับ และเพื่อดำเนินไปในนิโรธ.
               ส่วนวิปัสสนาพละ เพื่อแสดงโทษในวัฏฏะ และเพื่อแสดงอานิสงส์ในนิโรธ.
               บทว่า นีวรเณ - เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถแห่งนิมิตตสัตตมี. แปลว่า ในเพราะนิวรณ์. อธิบายว่า มีนิวรณ์เป็นนิมิต มีนิวรณ์เป็นปัจจัย. หรือเป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ แปลว่า เพราะนิวรณ์.
               บทว่า น กมฺปติ - ไม่หวั่นไหว ได้แก่ บุคคลผู้มีความพร้อมในฌาน.
               อีกอย่างหนึ่ง สมาธิสัมปยุตด้วยฌานนั้น ไม่หวั่นไหวในเพราะนิวรณ์ด้วยปฐมฌาน เพราะท่านประสงค์องค์แห่งฌานในบทว่า ฌานํ. พึงถือการประกอบนี้แหละในนิทเทสนี้.
               บทว่า อุทฺธจฺเจ จ - ในเพราะอุทธัจจะ คือ ในเพราะอุทธัจจะอันเป็นจิตตุปบาทสหรคตด้วยอุทธัจจะ.
               อนึ่ง บทว่า อุทฺธจฺจํ ได้แก่ ความฟุ้งซ่าน. อุทธัจจะนั้นมีความไม่สงบเป็นลักษณะ.
               บทว่า อุทฺธจฺจสหคตกิเลเส จ - ในเพราะกิเลสสหรคตด้วยอุทธัจจะ ได้แก่ ในเพราะกิเลสคือโมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะอันสัมปยุตด้วยอุทธัจจะ ถึงความเป็นกิเลสเกิดขึ้นร่วมกัน สหรคตด้วยอุทธัจจะ.
               บทว่า ขนฺเธ จ ในเพราะขันธ์ คือ ในเพราะขันธ์ ๔ อันสัมปยุตด้วยอุทธัจจะ.
               บทว่า น กมฺปติ น จลติ น เวธติ - ไม่หวั่นไหว ไม่กวัดแกว่ง ไม่คลอนแคลน เป็นไวพจน์ของกันและกัน.
               พึงประกอบว่า ไม่หวั่นไหว ในเพราะอุทธัจจะ. ไม่กวัดแกว่ง ในเพราะกิเลสสหรคตด้วยอุทธัจจะ. ไม่คลอนแคลน ในเพราะขันธ์สหรคตด้วยอุทธัจจะ.
               พึงทราบวิปัสสนาพละว่า เพราะท่านกล่าวอนุปัสนา ๗ วิปัสสนาพละจึงเป็นอันบริบูรณ์ด้วยอำนาจแห่งอนุปัสนานั้นนั่นเอง.
               บทว่า อวิชฺชาย จ - ในเพราะอวิชชา ได้แก่ ในเพราะอวิชชาในจิตตุปบาทอันเป็นอกุศล ๑๒ อย่าง.
               บทว่า อวิชฺชาสหคตกิเลเส จ - ในเพราะกิเลสสหรคตด้วยอวิชชา ได้แก่ กิเลสคือโลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะอันสัมปยุตด้วยอวิชชาตามที่ประกอบไว้.
               บทว่า วจีสงฺขารา - วจีสังขาร ได้แก่ วิตก วิจาร.
               ชื่อว่า วจีสงฺขารา เพราะอรรถว่าปรุงแต่ง ให้เกิดวาจา เพราะบาลีว่า ดูก่อนอาวุโสวิสาขะ บุคคลตรึกตรองก่อนแล้วจึงเปล่งวาจาในภายหลัง. เพราะฉะนั้น วิตกวิจารจึงเป็นวจีสังขาร.
               บทว่า กายสงฺขารา - กายสังขาร ได้แก่ ลมอัสสาสะปัสสาสะ.
               ชื่อว่า กายสงฺขารา๑- เพราะอรรถว่าอันกายปรุงแต่ง เพราะบาลีว่า ดูก่อนอาวุโสวิสาขะ ธรรมเหล่านี้ คือลมอัสสาสะลมปัสสาสะมีอยู่ในกาย เนื่องด้วยกาย. เพราะฉะนั้น ลมอัสสาสะปัสสาสะจึงเป็นกายสังขาร.
____________________________
๑- บาลีว่า กาเยน สงฺขรียนฺตีติ กายสงฺขารา (โดยมาก แปลว่า ปรุงแต่งกาย)

               บทว่า สญฺญาเวทยิตนิโรธํ - สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ ดับสัญญาและเวทนา.
               บทว่า จิตฺตสงฺขารา - จิตตสังขาร ได้แก่ สัญญาและเวทนา.
               ชื่อว่า จิตฺตสงฺขารา๒- เพราะอรรถว่าอันจิตปรุงแต่ง เพราะบาลีว่า เจตสิกธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต. เพราะฉะนั้น สัญญาและเวทนาจึงเป็นจิตตสังขาร.
____________________________
๒- จิตฺเตน สงฺขรียนฺตีติ จิตฺตสงฺขารา (โดยมาก แปลว่า ปรุงแต่งจิต)

               ในญาณจริยาทั้งหลาย พึงทราบว่า จริยากถาอันเป็นเบื้องต้นแห่งอนุปัสสนานั้น ท่านกล่าวว่าญาณจริยา ด้วยสามารถแห่งอนุปัสสนา หรือด้วยวิวัฏฏนานุปัสสนา แม้อนุปัสสนาที่เหลือก็เป็นอันถือเอาไว้.
               บทว่า โสฬสหิ ญาณจริยาหิ - ด้วยญาณจริยา ๑๖ เป็นกำหนดอย่างอุกฤษฏ์ เพราะพระอนาคามีเป็นผู้มีกำลังบริบูรณ์ด้วยจริยาแม้ ๑๔ จะได้บรรลุอรหัตมรรคและอรหัตผลต่อไป.
               ในบทว่า นวหิ สมาธิจริยาหิ - ด้วยสมาธิจริยา ๙ นี้ พึงทราบความดังต่อไปนี้.
               จริยา ๘ ด้วยปฐมฌานเป็นต้น. จริยา ๑ ด้วยสามารถแห่งอุปจารฌานในธรรมทั้งปวง เพื่อได้ปฐมฌานเป็นต้น รวมเป็นสมาธิจริยา ๙.
               ถามว่า เพื่อความต่างกันแห่งพลจริยาเป็นอย่างไร?
               ตอบว่า แม้ในสมถพละ ท่านก็กล่าวถึงอุปจารสมาธิไว้โดยปริยาย ๗ มีอาทิว่า เนกฺขมฺมวเสน - ด้วยอำนาจแห่งเนกขัมมะ.
               โดยความพิสดารแห่งไปยาล คือละความไว้ ท่านกล่าวถึงอัปนาสมาธิและอุปจารสมาธิตามควรด้วยวาระ ๗๐ บริบูรณ์ มีอาทิว่า ปฐมชฺฌานวเสน ด้วยสามารถแห่งปฐมฌาน. แม้ในสมาธิจริยา ท่านก็กล่าวถึงอัปนาสมาธิไว้โดยปริยาย ๘ มีอาทิว่า ปฐมํ ฌานํ.
               ท่านกล่าวอุปจารสมาธิไว้โดยปริยาย ๘ มีอาทิว่า ปฐมํ ฌานํ ปฏิลาภตฺถาย - เพื่อประโยชน์แก่การได้ปฐมฌาน เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวอัปปนาสมาธิและอุปจารสมาธิไว้ในที่ทั้งสอง.
               แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นก็พึงทราบว่า ชื่อว่าพละ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว ชื่อว่าจริยา เพราะอรรถว่ามีความชำนาญ.
               อนึ่ง ในวิปัสสนาพละ ท่านกล่าวอนุปัสสนา ๗ ว่าวิปัสสนาพละ. และกล่าวอนุปัสสนา ๗ ไว้ในญาณจริยา. ทั้งท่านยังกล่าวอนุปัสสนา ๙ มีวิวัฏฏนานุปัสสนาเป็นต้น ให้แปลกออกไป.
               นี้เป็นความต่างกันแห่งอนุปัสสนาเหล่านั้น.
               ส่วนอนุปัสสนา ๗ พึงทราบว่า ชื่อว่าพละ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว. ชื่อว่าจริยา เพราะอรรถว่ามีความชำนาญ. เพื่อแก้วสีที่ท่านกล่าวไว้ในบทนี้ว่า วสีภาวตา ปญฺญา๓- - ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญ ท่านจึงกล่าวเป็นอิตถีลิงค์ วสีติ ปญฺจ วสิโย - คำว่า วสี ได้แก่ วสี ๕.
               ท่านอธิบายว่า ความชำนาญนั่นแหละ ชื่อว่าวสี.
____________________________
๓- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/มาติกายํ

               พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแก้ซึ่งวสีเหล่านั้น ด้วยแสดงเป็นบุคลาธิฏฐานอีก จึงกล่าวบทมีอาทิว่า อาวชฺชนาวสี - ชำนาญในการนึก.
               ชื่อว่า อาวชฺชนาวสี เพราะมีความชำนาญในการนึก.
               ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า ปฐมํ ฌานํ ยตฺถิจฺฉกํ - คำนึงถึงปฐมฌานได้ในที่ที่ปรารถนา.
               ความว่า สมาปัตติลาภีบุคคลคำนึงในประเทศที่ตนปรารถนาเป็นบ้านก็ตาม ป่าก็ตาม.
               บทว่า ยทิจฺฉกํ - ปรารถนาในกาลใด. ความว่า คำนึงในเวลาหนาวก็ตาม ร้อนก็ตาม.
               อีกอย่างหนึ่ง คำนึงถึงปฐมฌานที่ปรารถนามีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ก็ตาม มีกสิณที่เหลือเป็นอารมณ์ก็ตาม. แก้อย่างก่อนดีกว่า เพราะท่านกล่าวถึงความเป็นผู้ชำนาญฌาน แม้มีกสิณอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์ไว้แล้ว.
               บทว่า ยาวติจฺฉกํ - ปรารถนาเพียงใด คือคำนึงถึงกาลที่ปรารถนาเพียงลัดนิ้วมือเดียวหรือ ๗ วัน.
               บทว่า อาวชฺชนาย - ในการคำนึง ได้แก่มโนทวาราวัชชนะ.
               บทว่า ทนฺธายิตตฺตํ - ความเนิ่นช้า คือความไม่เป็นไปในอำนาจ. หรือความเกียจคร้าน.
               บทว่า สมาปชฺชติ - ย่อมเข้า คือย่อมปฏิบัติ. อธิบายว่า ย่อมแนบแน่น.
               บทว่า อธิฏฺฐาติ - ย่อมอธิฏฐาน คือตั้งใจทำให้ยิ่งในภายในสมาบัติ.
               บทว่า ปฐมํ ฌานํ ในวุฏฐานวสี เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งปัญจมีวิภัตติ แปลว่า จากปฐมฌาน.
               บทว่า ปจฺจเวกฺขติ - ย่อมพิจารณา คือเห็นทันทีด้วยการแล่นไปแห่งการพิจารณา.
               นี้เป็นการพรรณนาบาลีในบทนี้.
               ต่อไปนี้เป็นการชี้แจงความ
               เมื่อพระโยคาวจรออกจากปฐมฌานแล้วคำนึงถึงวิตกชวนจิต ๔ หรือ ๕ ดวง มีวิตกเป็นอารมณ์ย่อมแล่นไปในลำดับแห่งอาวัชชนจิตอันตัดภวังค์เป็นไป. แต่นั้นภวังคจิต ๒ ดวงแล่นไป. แต่นั้นอาวัชชนจิตมีวิจารเป็นอารมณ์แล่นไปโดยนัยดังกล่าวแล้วอีก.
               พระโยคาวจรสามารถส่งจิตไปในลำดับในองค์ฌาน ๕ ด้วยประการฉะนี้. คราวนี้อาวัชวสีของพระโยคาวจรนั้นเป็นอันสำเร็จ.
               ส่วนวสีอันถึงที่สุดนี้ ย่อมได้ในยมกปาฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น. นอกจากนี้ไม่มีอาวัชชนวสีที่เร็วกว่า. การคำนวณในภวังควาระในลำดับๆ ไม่มีแก่ผู้อื่น.
               ความเป็นผู้สามารถในการเข้าสมาบัติได้เร็ว ดุจในการทรมานนันโทปนันนาคของพระมหาโมคคัลลาเถระ ชื่อว่าสมาปัชวสี.
               ความเป็นผู้สามารถเพื่อดำรงสมาบัติตลอดขณะเพียงนิ้วมือเดียว หรือเพียง ๑๐ นิ้วมือ ชื่อว่าอธิฏฐานวสี.
               อนึ่ง ความเป็นผู้สามารถออกได้เร็วกว่านั้น ชื่อว่าวุฏฺฐานวสี.
               ส่วนปัจจเวกขณวสี ท่านกล่าวไว้แล้วในอาวัชชนวสีนั่นแหละ เพราะว่า ปัจจเวกขณชวนะเป็นลำดับของอาวัชชนะในอาวัชชนวสีนั้น. เป็นอันว่าปัจจเวกขณวสีสำเร็จด้วยความสำเร็จแห่งอาวัชชนวสีด้วยประการฉะนี้. และวุฏฐานวสีเป็นอันสำเร็จด้วยความสำเร็จแห่งอธิฏฐานวสี.
               แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ความเป็นผู้สามารถในการยังอาวัชชนะให้เป็นไปโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในกสิณนั้นเร็วตามชอบใจของผู้ประสงค์เพื่อจะเข้าฌานมีกสิณนั้นๆ เป็นอารมณ์ เพราะความสำเร็จด้วยสามารถกสิณต่างๆ ของผู้นิรมิตมีเพศหลายอย่างเป็นต้น เพราะไม่มีปัจจเวกขณะอันเป็นองค์ฌานในเวลาแสดงปาฏิหาริย์ เพราะท่านกล่าวไว้แล้วว่า วสีอันถึงที่สุดนี้ย่อมได้ในยมกปาฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น ชื่อว่าอาวัชวสี.
               ความเป็นผู้สามารถในอัปปนา และความเป็นผู้สามารถเข้าฌานนั้นๆ ในวิถีแห่งอาวัชชนะในกาลนั้น ชื่อว่าสมาปัชชนวสี. ก็เมื่อกล่าวอย่างนี้เป็นอันยุติและไม่ผิด.
               อนึ่ง ลำดับแห่งวสีย่อมควรตามลำดับนั่นเอง.
               อนึ่ง ในการพิจารณาองค์แห่งฌาน เพราะท่านกล่าวไว้ว่า ชวนจิต ๕ ดวงถึงที่สุดแล้ว แม้เมื่อชวนจิต ๗ ดวงแล่นไปโดยนัยดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมเป็นปัจจเวกขณวสีเหมือนกัน.
               เมื่อเป็นอย่างนั้นหากกล่าวว่า คำว่า คำนึงถึงปฐมฌาน ย่อมไม่ถูก. ท่านกล่าวฌานเป็นไปในกสิณ ว่าเป็นกสิณโดยเป็นอุปจารของเหตุ ฉันใด. ท่านกล่าวกสิณมีฌานเป็นปัจจัยก็ฉันนั้น ว่าเป็นฌานโดยเป็นอุปจารแห่งผล ดุจในคำมีอาทิว่า สุโข พุทฺธานมุปฺปาโท๔- - การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นความสุข. แม้เมื่อมีการก้าวลงสู่ฌานอีก ดุจในการที่บุคคลตื่นจากหลับตามกาลที่กำหนดไว้แล้วก้าวลงสู่ความหลับอีก ชื่อว่าอธิฏฐานวสี. แม้เมื่อมีการอธิฏฐานในการลุกขึ้นของผู้ที่ลุกขึ้นตามกาลที่กำหนด ก็ชื่อว่าวุฏฐานวสี.
               นี้เป็นความต่างกันของวสีเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
____________________________
๔- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๔

               เพื่อชี้แจงนิโรธสมาบัติจึงมีปัญหาดังต่อไปนี้
               นิโรธสมาบัติเป็นอย่างไร. ใครเข้านิโรธสมาบัตินั้น. ใครไม่เข้า. เข้าในที่ไหน. เพราะเหตุไรจึงเข้า. อย่างไรจึงเป็นอันเข้านิโรธสมาบัตินั้น. ตั้งอยู่อย่างไร. ออกอย่างไร. ผู้ออกมีจิตน้อมไปสู่อะไร. คนตายและคนเข้าต่างกันอย่างไร. นิโรธสมาบัติเป็นสังขตะหรืออสังขตะ เป็นโลกิยะหรือโลกุตระ เป็นนิปผันนะ - สำเร็จ หรืออนิปผันนะ - ไม่สำเร็จ.
               ในปัญหากรรมเหล่านั้น บทว่า กา นิโรธสมาปตฺติ - นิโรธสมาบัติเป็นอย่างไร คือ จิตเจตสิกธรรมทั้งหลายไม่เป็นไปด้วยสามารถแห่งอนุปุพพนิโรธคือนิโรธตามลำดับ ชื่อว่านิโรธสมาบัติ.
               บทว่า เก ตํ สมาปชฺชนฺติ, เก น สมาปชฺชนฺติ - ใครเข้านิโรธสมาบัตินั้น ใครไม่เข้า คือ ปุถุชนแม้ทั้งหมด พระโสดาบัน พระสกทาคามีและพระอนาคามี พระอรหันต์ผู้เป็นสุกขวิปัสสก ไม่เข้า. ส่วนพระอนาคามีผู้ได้สมาบัติ ๘ และพระขีณาสพ เข้า.
               บทว่า กตฺถ สปชฺชนฺติ - เข้าในที่ไหน? คือ ในภพที่มีขันธ์ ๕. เพราะเหตุไร? เพราะมีสมาบัติตามลำดับ. ส่วนในภพ คือขันธ์ ๔ ปฐมฌานเป็นต้น ไม่มีการเกิดเลย. เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถเข้าในภพนั้นได้.
               บทว่า กสฺมา สมาปชฺชนฺติ - เพราะเหตุไรจึงเข้า? คือ เป็นผู้เบื่อหน่ายในความเป็นไปของสังขาร ไม่คิดจะอยู่ในทิฏฐธรรม จึงเข้าด้วยคิดว่า เราถึงนิพพานอันเป็นความดับแล้ว จักอยู่เป็นสุข.
               บทว่า กถญฺจสฺสา สมาปชฺชนํ โหติ - อย่างไรจึงเป็นอันเข้านิโรธสมาบัตินั้น? คือ เมื่อขวนขวายด้วยสามารถแห่งสมถวิปัสสนาแล้วทำกิจเบื้องต้น ยังเนวสัญญานาสัญญานะให้ดับ เป็นอันเข้านิโรธสมาบัติด้วยอาการอย่างนี้. เพราะผู้ใดขวนขวายด้วยสามารถแห่งสมถะเท่านั้น ผู้นั้นบรรลุเนวสัญญานาสัญญาสมาบัติแล้วตั้งอยู่.
               ส่วนผู้ใดขวนขวายด้วยสามารถแห่งวิปัสสนาเท่านั้น. ผู้นั้นบรรลุผลสมาบัติแล้วตั้งอยู่.
               อนึ่ง ผู้ใดขวนขวายด้วยสามารถทั้งสองอย่าง ย่อมยังเนวสัญญานาสัญญานะให้ดับ. ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเข้าถึงนิโรธสมาบัติ นี้เป็นความสังเขปในบทนี้.
               ส่วนความพิสดารพึงทราบดังต่อไปนี้
               ภิกษุในศาสนานี้ประสงค์จะเข้านิโรธ ฉันอาหารเสร็จแล้ว ล้างมือและเท้า นั่งขัดสมาธิบนอาสนะที่ปูไว้อย่างดีในโอกาสอันสงัด ตั้งกายตรงดำรงสติไว้เฉพาะหน้า. ภิกษุนั้นเข้าปฐมฌาน ครั้นออกแล้วพิจารณาเห็นแจ้ง สังขารทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ณ ที่นั้น.
               ก็วิปัสสนานั้นมี ๓ อย่าง คือ สังขารปริคคัณหนกวิปัสสนา - วิปัสสนากำหนดสังขาร ๑, ผลสมาปัตติวิปัสสนา - วิปัสสนาอันเป็นผลสมาบัติ ๑, นิโรธสมาปัตติวิปัสสนา - วิปัสสนาอันเป็นนิโรธสมาบัติ ๑.
               ในวิปัสสนา ๓ อย่างนั้น สังขารปริคคัณหนกวิปัสสนาจะอ่อนหรือกล้าแข็งก็ตาม ย่อมเป็นปทัฏฐานแห่งมรรคนั่นแหละ. ผลสมาปัตติวิปัสสนากล้าแข็งเช่นกับมรรคภาวนาจึงควร. ส่วนนิโรธสมาปัตติวิปัสสนาไม่อ่อนเกินไป ไม่กล้าแข็งเกินไปนั่นแหละจึงควร.
               เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงพิจารณาเห็นแจ้งสังขารเหล่านั้น ด้วยวิปัสสนาอันไม่อ่อนเกินไป ไม่กล้าแข็งเกินไป. แต่นั้นจึงเข้าตติยฌาน ฯลฯ วิญญาณัญจายตนะ.
               ครั้นออกแล้วกระทำกิจเบื้องต้น ๔ อย่าง คือ.
                         นานาพัทธอวิโกปนะ ๑
                         สังฆปฏิมานนะ ๑
                         สัตถุปักโกสนะ ๑
                         อัทธานปริจเฉทะ ๑.
               ในกิจ ๔ อย่างนั้น บทว่า นานาพทฺธอวิโกปนํ - ไม่ให้ของใช้ต่างๆ เสียหาย.
               ความว่า สิ่งใดที่ไม่เป็นของใช้เนื่องเป็นอันเดียวกันกับภิกษุนี้ เป็นของใช้ต่างๆ ที่ตั้งไว้ เช่น บาตร จีวร เตียง ตั่ง ที่อยู่อาศัยหรือแม้บริขารไรๆ อย่างอื่น, ไม่ให้ทำลายสิ่งนั้น. ไม่ให้เสียหายไปด้วยไฟ น้ำ ลม โจรและหนูเป็นต้นโดยประการใด พึงอธิฏฐานโดยประการนี้. วิธีอธิฏฐานมีว่าดังนี้ ในภายใน ๗ วันนี้ ขอสิ่งนี้ๆ จงอย่าถูกไฟไหม้, อย่าถูกน้ำพัดไป. อย่าถูกลมกำจัด, อย่าถูกโจรลัก, อย่าถูกหนูกัดเป็นต้น.
               เมื่ออธิฏฐานอย่างนี้ตลอด ๗ วันนั้นจะไม่มีอันตรายใดๆ แก่สิ่งเหล่านั้น. แต่เมื่อไม่อธิฏฐาน จะเสียหายด้วยไฟเป็นต้น. นี้ชื่อว่านานาพัทธอวิโกปนะ. แต่สิ่งใดที่ใช้เนื่องเป็นอันเดียวกัน เช่น ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ที่นั่ง ในสิ่งนั้นไม่มีกิจที่จะอธิฏฐานต่างหาก. สมาบัตินั่นแลย่อมคุ้มครองสิ่งนั้นนั่นแล.
               บทว่า สงฺฆปฏิมานนํ - การรอท่าสงฆ์ ได้แก่การรอท่า คือการเห็นภิกษุสงฆ์.
               อธิบายว่า ไม่ทำสังฆกรรม จนกว่าภิกษุรูปนั้นจะมา.
               อนึ่ง ในบทนี้การรอท่ามิใช่เป็นบุพกิจของภิกษุนี้. แต่การนึกถึงการรอท่าเป็นบุพกิจ เพราะฉะนั้นควรนึกถึงอย่างนี้ว่า หากตลอด ๗ วัน เมื่อนั่งเข้านิโรธสงฆ์ประสงค์จะทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในอปโลกนกรรมเป็นต้น. เราจักออกโดยภิกษุรูปใดรูปหนึ่งไม่มาเรียกเรา.
               ก็ภิกษุทำอย่างนี้แล้วเข้าสมาบัติ ย่อมออกได้ในสมัยนั้นนั่นเอง. แต่ภิกษุใดไม่ทำอย่างนี้. ทั้งสงฆ์ก็ประชุมกันแล้ว เมื่อไม่เห็นภิกษุนั้น จึงถามว่า ภิกษุรูปโน้นไปไหน เมื่อตอบว่า กำลังเข้าสมาบัติ จึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปว่า ท่านจงไปเรียกภิกษุนั้นตามคำของสงฆ์.
               ลำดับนั้น เพียงคำอันภิกษุนั้นยืนอยู่ในที่ใกล้พอจะได้ยิน กล่าวว่า อาวุโส สงฆ์รอท่านเท่านั้น ดังนี้ ภิกษุนั้นเป็นอันออกจากนิโรธ. เพราะว่า ชื่อว่าอาณา คืออำนาจของสงฆ์หนักถึงอย่างนี้. ฉะนั้นพึงเข้านิโรธโดยอาการที่ภิกษุนั้นนึกถึงแล้วออกจากนิโรธก่อน.
               บทว่า สตฺถุ ปกฺโกสนํ - พระศาสดาตรัสเรียกหา.
               แม้ในบทนี้ การนึกถึงการเรียกหาของพระศาสดาก็เป็นบุพกิจของภิกษุนี้. เพราะฉะนั้นควรนึกถึงบุพกิจนั้นอย่างนี้ว่า หากว่า เมื่อเรานั่งเข้านิโรธตลอด ๗ วัน. พระศาสดาทรงบัญญัติสิกขาบทในเพราะเรื่องที่ละเมิด. หรือทรงแสดงธรรมในเพราะเหตุเกิดเรื่องเห็นปานนั้น. เราจักออกโดยที่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งยังไม่มาเรียกเรา. ภิกษุนั่งทำอย่างนี้ย่อมออกในสมัยนั้นนั่นแหละ.
               อนึ่ง ภิกษุใดไม่ทำอย่างนั้น. ทั้งพระศาสดา เมื่อสงฆ์ประชุมกัน ไม่ทรงเห็นภิกษุนั้นตรัสถามว่า ภิกษุรูปนั้นไปไหน เมื่อกราบทูลว่า เข้านิโรธ จึงทรงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปว่าเธอจงไปเรียกภิกษุนั้นตามคำของเรา. ครั้นเพียงภิกษุนั้นยืนอยู่ในที่ใกล้พอได้ยินกล่าวว่า พระศาสดาตรัสเรียกหาท่านดังนี้เท่านั้น ภิกษุนั้นก็เป็นอันออกจากนิโรธ. เพราะว่าการตรัสเรียกหาของพระศาสดาถือเป็นเรื่องหนักอย่างนี้. ฉะนั้นพึงเข้านิโรธโดยอาการที่ภิกษุนั้นนึกถึง แล้วออกก่อนนั่นเทียว.
               บทว่า อทฺธานปริจฺเฉโท - กำหนดกาล คือกำหนดกาลของชีวิต.
               จริงอยู่ ภิกษุนี้ควรเป็นผู้ฉลาดในการกำหนดกาล. ควรนึกว่า อายุสังขารของตนจักเป็นไปได้ตลอด ๗ วัน. หรือจักเป็นไปไม่ได้แล้วเข้านิโรธ. เพราะว่าเมื่ออายุสังขารดับเสียในระหว่าง ๗ วัน. ภิกษุไม่ได้นึกถึงเข้านิโรธ. นิโรธสมาบัติของภิกษุนั้นไม่สามารถห้ามความตายได้. ภิกษุย่อมออกจากสมาบัติในระหว่างได้ เพราะในภายในนิโรธยังไม่มีความตาย. ฉะนั้นควรนึกถึงกาลนั้นแล้วจึงเข้านิโรธ. แม้ไม่นึกถึงกาลที่เหลือก็ควร. แต่ควรนึกถึงกาลนี้ทีเดียว.
               ท่านอธิบายไว้ดังนี้.
               ภิกษุนั้นเข้าอากิญจัญญายตนะอย่างนี้แล้ว ครั้นออกแล้วทำบุพกิจนี้ย่อมเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะได้ ครั้นล่วงเลยวารจิตหนึ่ง หรือสองแล้วเป็นอจิตตกะ ย่อมถูกต้องนิโรธได้.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร จิตเหนือ คือเกินจิตสองดวงจึงเป็นไปไม่ได้เล่า.๙-
               ตอบว่า เพราะเป็นปโยคะแห่งนิโรธ.
               จริงอยู่ การทำสมถะและวิปัสสนาทั้งสองของภิกษุนั้นให้เป็นยุคนัทธะคือธรรมที่เทียมคู่นี้ แล้วขึ้นสู่สมาบัติ ๘ เป็นความขวนขวายของนิโรธตามลำดับ. มิใช่เพราะเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เพราะเหตุนั้น จิตทั้งหลายจึงไม่เป็นไปเหนือจิตสองดวงเพราะเป็นปโยคะแห่งนิโรธ.
____________________________
๙- หมายความว่า ในขณะที่จะเข้านิโรธสมาบัติ จตุตถอรูปสมาบัติเกิดขึ้น ๒ ครั้งแล้วก็ถึงนิโรธ.

               บทว่า กถํ ฐานํ - ตั้งอยู่อย่างไร คือตั้งอยู่ด้วยสามารถกำหนดกาลแห่งสมาบัตินั้นที่เข้าถึงพร้อมแล้วอย่างนี้ และด้วยไม่มีอายุขัย การรอท่าของสงฆ์และการตรัสเรียกหาของพระศาสดาในระหว่าง.
               บทว่า กถํ วุฏฺฐานํ - ออกอย่างไร ได้แก่ออก ๒ อย่างนี้ คือด้วยอนาคามิผลสมาบัติ ๑ ด้วยอรหัตผลสมาบัติของพระอรหันต์ ๑.
               บทว่า วุฏฺฐิตสฺส กินฺนินฺนํ จิตฺตํ โหติ - จิตของผู้ออกแล้วน้อมไปสู่อะไร. ความว่า น้อมไปสู่นิพพาน.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๑๐-
                                   ดูก่อนอาวุโสวิสาขะ จิตของภิกษุผู้ออกจาก
                         สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ น้อมไปสู่วิเวก โอนไป
                         สู่วิเวก โน้มไปสู่วิเวก.

____________________________
๑๐- ม. ม. เล่ม ๑๒/ข้อ ๕๑๐

               บทว่า มตสฺส จ สมาปนฺนสฺส จ โก วิเสโส - ผู้ตายแล้วและผู้เข้านิโรธต่างกันอย่างไร.
               ท่านกล่าวความนี้ไว้แล้วในพระสูตร.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                                   ดูก่อนอาวุโส กายสังขารของผู้ตายแล้ว ถึง
                         แก่กรรมแล้ว ดับ สงบ. วจีสังขาร จิตตสังขารดับ
                         สงบ. อายุสิ้นไป. ไออุ่นสงบไป. อินทรีย์ทำลายไป.
                         แม้กายสังขารของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็
                         ดับสงบ. วจีสังขาร จิตตสังขารก็ดับ สงบ. อายุยังไม่
                         สิ้นไป. ไออุ่นยังไม่สงบ. อินทรีย์ยังไม่ทำลาย.

____________________________
๑๑- ม. ม. เล่ม ๑๒/ข้อ ๕๐๒

               ในคำถามมีอาทิว่า นิโรธสมาปตฺติ กึ สงฺขตา อสงฺขตา - นิโรธสมาบัติเป็นสังขตะหรืออสังขตะ? มีอธิบายดังต่อไปนี้
               ไม่ควรกล่าวว่า เป็นสังขตะบ้าง อสังขตะบ้าง โลกิยะบ้าง โลกุตระบ้าง.
               เพราะเหตุไร? เพราะไม่มีโดยสภาพ. เพราะภิกษุ ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงพร้อมแล้วด้วยอำนาจแห่งการเข้านิโรธ. ฉะนั้นควรกล่าวว่า เป็นนิปผันนะ คือสำเร็จแล้ว ไม่ควรกล่าวว่า เป็นอนิปผันนะ คือยังไม่สำเร็จ.
                                   สมาบัติอันสงบแล้ว อันพระอริยะเสพแล้ว
                         นี้ได้ชื่อว่านิพพาน ในทิฏฐธรรมด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถานิโรธสมาปัตติญาณนิทเทส               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา นิโรธสมาปัตติญาณนิทเทส จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 215อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 217อ่านอรรถกถา 31 / 226อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=2431&Z=2502
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=47&A=7334
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=47&A=7334
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :