![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() บทว่า โส เอวํ ปชานาติ - ภิกษุนั้นย่อมรู้อย่างนี้. ความว่า บัดนี้ พระสารีบุตรเถระจะยกวิธีที่ควรกล่าวขึ้นแสดง. บทมีอาทิว่า อิทํ รูปํ โสมนสฺสินฺทฺริยสมุฏฺฐิตํ - รูปนี้เกิดขึ้นด้วยโสมนัสสินทรีย์เป็นวิธีอันภิกษุผู้เพ่งเป็นอาทิกรรมิกควรปฏิบัติอย่างไร? อันภิกษุผู้เพ่งประสงค์จะยังญาณนั้นให้เกิดขึ้น ควรให้ทิพจักษุญาณเกิดก่อน. เพราะเจโตปริยญาณนั้นย่อมสำเร็จด้วยสามารถแห่งทิพจักษุ. ญาณนั้นเป็นบริกรรมของทิพจักษุนั้น. เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นเจริญอาโลกกสิณเห็นสีของโลหิตอันเป็นไปอยู่ เพราะอาศัยหทัยรูปของคนอื่นด้วยทิพจักษุจึงควรแสวงหาจิต. เพราะโลหิตนั้น เมื่อกุศลโสมนัสยังเป็นไปอยู่ ย่อมมีสีแดงคล้ายสีของลูกไทรสุก. เมื่ออกุศลโสมนัสยังเป็นไปอยู่ โลหิตนั้นย่อมมีสีขุ่นมัว. เมื่อโทมนัสยังเป็นอยู่ ย่อมมีสีดำขุ่นมัวเหมือนสีลูกหว้าสุก. เมื่อกุศลอุเบกขายังเป็นไปอยู่ ย่อมมีสีใสเหมือนน้ำมันงา. เมื่ออกุศลอุเบกขายังเป็นไปอยู่ โลหิตนั้นย่อมขุ่นมัว. เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นเห็นสีโลหิตหทัยของคนอื่นว่า รูปนี้เกิดขึ้นด้วยโสมนัสสินทรีย์. รูปนี้เกิดขึ้นด้วยโทมนัสสินทรีย์ รูปนี้เกิดขึ้นด้วยอุเบกขินทรีย์ดังนี้ แล้วแสวงหาจิตควรทำเจโตปริยญาณให้มีกำลัง. เพราะเมื่อเจโตปริยญาณนั้นมีกำลังอย่างนี้ ภิกษุย่อมรู้จิตอันมีประเภทเป็นกามาวจรเป็นต้น แม้ทั้งหมดโดยลำดับ ก้าวไปจากจิตสู่จิต เว้นการเห็นรูป (สี) ของหทัย. แม้ในอรรถกถา ท่านก็กล่าวไว้ว่า ถามว่า ผู้ประสงค์จะรู้จิตของผู้อื่นในอรูปภพ ย่อมเห็นหทัยรูปของใคร? ย่อมแลดูความวิการแห่ง อินทรีย์ของใคร? ตอบว่า ไม่แลดูของใครๆ นี้เป็น วิสัยของผู้มีฤทธิ์ คือ ภิกษุคำนึงถึงจิตในที่ไหนๆ ย่อมรู้จิต ๑๖ ประเภท. ก็นี้เป็นกถาด้วยอำนาจแห่ง การไม่ทำความยึดมั่น. ____________________________ ๑- วิสุทธิมรรค เล่ม ๒ หน้า ๒๔๗-๘ บทว่า ปรสตฺตานํ - แห่งสัตว์อื่น คือแห่งสัตว์ที่เหลือเว้นตน. บทว่า ปรปุคฺคลานํ - แห่งบุคคลอื่น. แม้บทนี้ก็มีความอย่างเดียวกับบทว่า ปรสตฺตานํ นี้ แต่ท่านกล่าวความต่างกันด้วยความไพเราะแห่งเทศนา และด้วยพยัญชนะ ด้วยสามารถเวไนยสัตว์. บทว่า เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาติ - กำหนดรู้ใจด้วยใจ คือ กำหนดรู้ใจของสัตว์เหล่านั้น ด้วยใจของตนโดยประการต่างๆ ด้วยอำนาจจิตมีราคะเป็นต้น. วา ศัพท์ ในบทมีอาทิว่า สราคํ วา เป็นสมุจจยัตถะ คือ อรรถว่ารวบรวม. ในบทนั้น จิตสหรคตด้วยโลภะ ๘ อย่าง ชื่อว่าจิตมีราคะ. กุศลจิตและอัพยากตจิตเป็นไปในภูมิ ๔ ที่เหลือชื่อว่าจิตปราศจากราคะ. ส่วนจิต ๔ ดวงเหล่านี้ คือ จิตที่สหรคตด้วยโทมนัส ๒ ดวง จิตที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ ๒ ดวง ไม่สงเคราะห์เข้าในทุกะนี้. แต่พระเถระบางพวกสงเคราะห์จิตแม้เหล่านี้ ด้วยบทว่า วีตราค - ปราศจากราคะ. ส่วนจิตสหรคตด้วยโทมนัส ๒ อย่าง ชื่อว่าจิตมีโทสะ. กุศลจิตและอัพยากตจิต เป็นไปในภูมิ ๔ แม้ทั้งหมด ชื่อว่าจิตปราศจากโทสะ. อกุศลจิต ๑๐ ที่เหลือไม่สงเคราะห์เข้าในทุกะนี้. แต่พระเถระบางพวกสงเคราะห์อกุศลจิตแม้เหล่านั้นด้วยบทว่า วีตโทสํ - ปราศ แต่ในบทนี้ว่า สโมหํ วีตโมหํ - จิตมีโมหะ จิตปราศ สองบทนี้สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ ด้วยสามารถเป็นเอกเหตุกะของโมหะ ชื่อว่าจิตมีโมหะ. อกุศล ส่วนจิตที่เนื่องด้วยถีนมิทธะเป็นจิตหดหู่ จิตที่เนื่องด้วยอุทธัจจะเป็นจิต รูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิต เป็นจิตมหรคต. จิตเป็นไปในภูมิ ๓ แม้ทั้งหมดเป็นจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า. โลกุตรจิตเป็นจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า. จิตที่ถึงอุปจาระและจิตถึงอัปปนา เป็นจิตมีสมาธิ. จิตที่ไม่ถึงทั้งสองอย่างนั้นเป็นจิตไม่มีสมาธิ. จิตที่ถึงตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติและ จิตที่ไม่ถึงวิมุตติ ๕ นี้ พึงทราบว่าเป็นจิตยังไม่พ้นแล้ว. ภิกษุผู้ได้เจโตปริยญาณ ย่อมรู้จิตแม้มีประเภท ๑๖ อย่าง. ปุถุชนทั้งหลายย่อมไม่รู้มรรคจิตและผลจิตของพระอริยะทั้งหลาย. แม้พระอริยะ จบอรรถกถาเจโตปริยญาณนิทเทส ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา เจโตปริยญาณนิทเทส จบ. |