บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] หน้าต่างที่ ๖ / ๗. ว่าด้วยขันติญาณ ในขันติญาณนั้น คำว่า วิทิตตฺตา ปญฺญา - ปัญญาในความที่ธรรมปรากฏ. ความว่า ปัญญาอันเป็นไปแล้ว เพราะรู้แจ้งซึ่งธรรมมีรูปขันธ์เป็นต้น โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. คำว่า ขนฺติ ญาณํ - ขันติญาณ ความว่า ธรรมชาติใดย่อมรู้ธรรมโดยความเป็นของไม่เที่ยงนั่นเอง ฉะนั้นจึงชื่อว่าขันติ, ญาณคือขันติ ชื่อว่าขันติญาณ. ด้วยขันติญาณนี้ ย่อมห้ามอธิวาสนขันติ. ขันติญาณนี้เป็นตรุณวิปัสสนาญาณอันเป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งสัมมสนญาณ มีการพิจารณาสังขารธรรมโดยความเป็นกลาป๑- เป็นต้น. ____________________________ ๑- คือยังทำลายฆนสัญญาไม่ได้. ๔๒. อรรถกถาปริโยคาหณญาณุทเทส ว่าด้วยปริโยคาหณญาณ ความว่า ปัญญาอันเป็นไปแล้วเพราะความที่แห่งธรรมทั้งหลายมีรูปขันธ์เป็นต้น เป็นธรรมอันญาณผัสสะถูกต้องแล้วด้วยสามารถแห่งการพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. คำว่า ปริโยคาหเณ ญาณํ - ญาณในการหยั่งลง. ความว่า ญาณใดย่อมหยั่งลง ย่อมเข้าไปสู่ธรรมอันญาณผัสสะถูกต้องแล้วนั่นเอง ฉะนั้น ญาณนั้นจึงชื่อว่าปริโยคาหณญาณ. อาจารย์บางพวกทำรัสสะ คาอักษรเสียบ้างแล้วสวด. ปริโยคาหณญาณนี้เป็นติกขวิปัสสนาญาณ เป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งภังคานุปัสนา. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า วิปัสสนาญาณนั่นแหละเป็นขันติญาณสำหรับผู้มีสัทธาเป็นพาหะ, เป็นปริโยคาหณญาณสำหรับผู้มีปัญญาเป็นพาหะ. เมื่อเป็นเช่นนี้ ญาณทั้ง ๒ นี้ย่อมไม่เกิดพร้อมกันแก่คนๆ หนึ่ง, ญาณที่สาธารณะแก่พระสาวก ๖๗ ย่อมไม่เกิดขึ้นพร้อมกันแก่พระสาวกรูปหนึ่งในการเกิดขึ้นพร้อมกันแห่งญาณนั้น, เพราะฉะนั้น คำของอาจารย์บางพวกนั้น จึงไม่ถูก. ๔๓. อรรถกถาปเทสวิหารญาณุทเทส ว่าด้วยปเทสวิหารญาณ ในปเทสวิหารญาณ คำว่า สโมทหเน ปญฺญา - ปัญญาในการประมวลมา. ความว่า ปัญญาในการประมวลมา คือปัญญาในการรวบรวมมา ได้แก่ปัญญาในการกระทำซึ่งธรรมคือเวทนาอันเป็นธรรมพวกเดียวกันให้เป็นกอง บรรดาธรรมมีขันธ์เป็นต้น. ปาฐะว่า สโมธาเน ปญฺญา - ปัญญาในการประชุมดังนี้ก็มี. ใจความก็อันนั้นนั่นแหละ. คำว่า ปเทสวิหาเร ญาณํ - ญาณในวิหารธรรมส่วนหนึ่ง. ความว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ด้วยอังคาพยพส่วนหนึ่ง โดยส่วนแห่งธรรมมีขันธ์เป็นต้น ชื่อว่าปเทสวิหาระ - ธรรมเป็นเครื่องอยู่ส่วนหนึ่ง, ญาณในปเทสวิหารธรรมนั้น. ในคำว่า ปเทสวิหาระนั้น ปเทสะมีอย่างต่างๆ คือ ขันธปเทสะ, อายตนปเทสะ, ธาตุปเทสะ, สัจจปเทสะ, อินทริยปเทสะ, ปัจจยาการปเทสะ, สติปัฏฐานปเทสะ, ฌานปเทสะ, นามรูปปเทสะ, ธัมมปเทสะ ชื่อว่าปเทสะ. ก็ปเทสะมีอย่างต่างๆ อย่างนี้ ก็คือเวทนานั่นเอง. อย่างไร? เวทนานั่นเองเป็นปเทสะแห่งธรรมมีขันธ์เป็นต้น อย่างนี้คือ ขันธ์ ๕ เอกเทสแห่งขันธ์ คือเวทนาขันธ์, อายตนะ ๑๒ เอกเทสแห่งธรรมายตนะ คือเวทนา, ธาตุ ๑๘ เอกเทสแห่งธรรมธาตุ คือเวทนา, สัจจะ ๔ เอกเทสแห่งทุกขสัจ คือเวทนา, อินทรีย์ ๒๒ เอกเทสแห่งอินทรีย์ คือเวทนินทรีย์ ๕, ปฏิจจสมุปปาทังคะ ๑๒ เอกเทสแห่งปัจจยาการ คือเวทนามีผัสสะเป็นปัจจัย, สติปัฏฐาน ๔ เอกเทสแห่งสติปัฏฐาน คือเวทนานุปัสสนา, ฌาน ๔ เอกเทสแห่งฌาน คือสุขเวทนาและอุเบกขาเวทนา, นามรูป เอกเทสแห่งนามรูป คือ เวทนาเจตสิก. ธรรมทั้งปวงมีกุศลธรรมเป็นต้น, เอกเทสแห่งธรรมคือเวทนา ชื่อว่าปเทสวิหาระ ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเวทนานั้นนั่นแล. ๔๔. อรรถกถาสัญญาวิวัฏญาณุทเทส ว่าด้วยสัญญาวิวัฏญาณ และเมื่อละก็เห็นสังขารธรรมทั้งปวงโดยความเป็นของว่างในกาลแห่งวิปัสสนา ก็แลเมื่อละอยู่อย่างนั้น ย่อมแทงตลอดสัจจะทั้งหลายละได้ด้วยการตรัสรู้ในขณะเดียว. พระอริยะทั้งหลายแม้ทั้งปวงย่อมปฏิบัติตามควรด้วยอาการทั้งหลายตามที่กล่าวแล้วนั่นแล, ฉะนั้น พระธรรม ในสัญญาวิวัฏญาณนั้น คำว่า อธิปตตฺตา ปญฺญา - ปัญญามีกุศลเป็นอธิบดี. ความว่า ปัญญาที่กระทำกุศลธรรมมีเนกขัมมะเป็นต้น ให้เป็นธรรมอันยิ่งโดยความเป็นแห่งอธิบดีแห่งกุศลธรรมทั้งหลายมีเนกขัมมะเป็นต้น แล้วเป็นไปโดยความเป็นธรรมอันยิ่งในกุศลธรรมมีเนกขัมมะเป็นต้นนั้น. คำว่า สญฺญาวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในความหลีกออกจากนิวรณ์ด้วยสัญญา. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า การหลีกออก การหมุนออก ความเป็นผู้หันหลังให้นิวรณ์มีกามฉันทะเป็นต้นได้ด้วยสัญญา ฉะนั้นจึงชื่อว่าสัญญาวิวัฏฏะ, ญาณในการหลีกออกจากนิวรณ์มีกามฉันทะเป็นต้นนั้นๆ ด้วยสัญญาที่กระทำภาวนาธรรมนั้นๆ ให้เป็นอธิบดี เป็นเหตุ เป็นกรณะ. สัญญา แม้จะมิได้กล่าวไว้ว่า เอตฺโต วิวฏฺโฏ - หมุนกลับจากภาวนาธรรมนี้ แต่ก็เป็นเหตุให้สัญญาหมุนกลับ เหมือนอย่าง ก็สัญญานั้นมีความจำอารมณ์เป็นลักษณะ, มีการจำอารมณ์ได้และทำนิมิตไว้เป็นกิจ เหมือนช่างไม้ทำเครื่องหมายไว้ที่ไม้เป็นต้น. มีความจำได้ในสิ่งที่หมายไว้เป็นปัจจุปัฏฐาน เหมือนคนตา อีกอย่างหนึ่ง มีการตั้งอยู่ไม่นานเพราะหยั่งลงในอารมณ์เป็นปัจจุ มีอารมณ์ที่กำหนดไว้เป็นปทัฏฐาน เหมือนสัญญาในหุ่นที่ทำด้วยหญ้าเกิดแก่ลูกเนื้อว่าเป็นบุรุษ. ๔๕. อรรถกถาเจโตวิวัฏญาณุทเทส ว่าด้วยเจโตวิวัฏญาณ ความว่า ปัญญาที่เป็นไปแล้วในสภาวธรรมต่างๆ โดยความเป็นภาเวตัพพธรรม - ธรรมที่ควรเจริญ และในสภาวธรรมอื่นมีกามฉันทะเป็นต้น โดยเห็นว่าเป็นธรรมมีโทษ. และคำว่า นานตฺเต เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถแห่งนิมิตตสัตตมี. อีกอย่างหนึ่ง ละความเป็นต่างๆ ชื่อว่านานัตตะ, อธิบายว่า เหตุแห่งการละนานัตตธรรม เป็นนิมิตแห่งการละนานัตตธรรม เป็นปัญญาในกุศลธรรมมีเนกขัมมะเป็นต้น. คำว่า เจโตวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในการหลีกออกจากนิวรณ์ด้วยใจ. ความว่า การออกจากนิวรณ์มีกามฉันทะเป็นต้นได้ด้วยใจเป็นญาณในกุศลธรรมมีเนกขัมมะเป็นต้น. ก็ในคำว่า เจโต นี้ ท่านประสงค์เอาเจตนา. เจตนานั้นมีการชักชวน เป็นลักษณะ อีกอย่างหนึ่ง มีการไหลออกแห่งผล เป็นลักษณะ, มีการรวบรวมมา เป็นกิจ, มีการจัดแจง เป็นปัจจุปัฏฐาน เหมือนนายช่างใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าศิษย์ ทำกิจของตนและกิจของคนอื่นให้สำเร็จฉะนั้น. ก็และเจตนานี้ย่อมปรากฏโดยความยกสัมปยุตธรรมทั้งหลายในกิจมีการระลึกถึงการงานอันเร่งรีบ. ๔๖. อรรถกถาจิตวิวัฏญาณุทเทส ว่าด้วยจิตวิวัฏญาณ ความว่า ปัญญาในการตั้งมั่นแห่งจิตด้วยสามารถแห่งคุณมีเนกขัมมะเป็นต้น. คำว่า จิตฺตวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในการออกไปแห่งจิต. ความว่า ญาณในการหลีกออกแห่งจิตด้วยสามารถแห่งการละนิวรณ์มีกามฉันทะเป็นต้น. ก็ในที่นี้ จิต มีการรู้นิวรณ์ เป็นลักษณะ, มีการเกิดก่อนและเป็นประธานในธรรมทั้งปวง เป็นกิจ, มีการเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย เป็นปัจจุปัฏฐาน, มีนามรูป เป็นปทัฏฐาน. ๔๗. อรรถกถาญาณวิวัฏญาณุทเทส ว่าด้วยญาณวิวัฏญาณ ความว่า ปัญญาเป็นเครื่องตามความเห็นโดยความเป็น คำว่า ญาณวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในความหลีกออกด้วยญาณ. ความว่า ญาณนั่นแหละย่อมหลีกออกจากความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นจึงชื่อว่าวิวัฏฏะ - ญาณอันเป็นเหตุแห่งการหลีกออกด้วยญาณนั้น. ๔๘. อรรถกถาวิโมกขวิวัฏญาณุทเทส ว่าด้วยวิโมกขวิวัฏญาณ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ธรรมใดย่อมสลัดออก ฉะนั้น ธรรมนั้นชื่อว่าโวสสัคคะ - การสลัดออก, การสละเสียได้ซึ่งกามฉันทะเป็นต้น เป็นปัญญาในคุณมีเนกขัมมะเป็นต้น. คำว่า วิโมกฺขวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในการหลีกออกแห่งจิตด้วยวิโมกข์. ความว่า ธรรมใดย่อมพ้นจากนิวรณ์ทั้งหลายมีกามฉันทะเป็นต้น ฉะนั้น ธรรมนั้นชื่อว่าวิโมกข์, การหลีกออกคือวิโมกข์ ชื่อว่าวิโมกขวิวัฏฏะ, วิโมกขวิวัฏฏะนั้นนั่นแหละเป็นญาณ. ๔๙. อรรถกถาสัจวิวัฏญาณุทเทส ว่าด้วยสัจวิวัฏญาณ ความว่า ปัญญาที่เป็นไปโดยไม่หลงด้วยสามารถแห่งกิจในสภาวธรรมอันไม่วิปริตในสัจจะหนึ่งๆ สัจจะละ ๔ๆ . คำว่า สจฺจวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในการหลีกออกด้วยสัจจะ. ความว่า ธรรมใดย่อมหลีกออกด้วยสามารถแห่งการออกจากส่วนสุดทั้ง ๒ ในสัจจะทั้ง ๔ ฉะนั้น ธรรมนั้นชื่อว่าสัจวิวัฏฏะ, สัจวิวัฏฏะนั่นแหละเป็นญาณ. ญาณเดียวเท่านั้น ท่านกล่าวไว้ถึง ๔ ประการอย่างนี้ คือ ๑. สัญญาวิวัฏฏะ ด้วยสามารถแห่งกุศลธรรมเป็นอธิบดี, ๒. เจโตวิวัฏฏะ ด้วยสามารถแห่งธรรมที่ควรประหาณ, ๓. จิตวิวัฏฏะ ด้วยสามารถแห่งการตั้งมั่นแห่งจิต, ๔. วิโมกขวิวัฏฏะ ด้วยสามารถแห่งการละปัจนิกธรรม. อนัตตานุปัสนาแล ท่านกล่าวว่า ญาณวิวฏฺเฏ ญาณํ - ญาณในการหลีกออกด้วยญาณ ด้วยสามารถแห่งอาการอันว่างจากอัตตา, ภายหลัง ๕๐. อรรถกถาอิทธิวิธญาณุทเทส ว่าด้วยอิทธิวิธญาณ ในอภิญญา ๖ แม้นั้น ท่านยกอิทธิวิธญาณแสดงก่อน คือความแปลกประหลาด เพราะเป็นอานุภาพอันปรากฏแก่โลก, ยกทิพโสตญาณขึ้นแสดงเป็นอันดับที่ ๒ คือ ทิพโสตญาณอันเป็นโอฬาริกวิสัย เพราะเป็นอารมณ์ของเจโตปริยญาณ, ยกเจโตปริยญาณขึ้นแสดงเป็นอันดับที่ ๓ เพราะเป็นสุขุมวิสัย. บรรดาวิชชา ๓ ท่านยกบุพเพนิวาสานุสติญาณขึ้นแสดงเป็นอันดับที่ ๑ เพราะบรรเทาความมืดในอดีตที่ปกปิดบุพเพนิวาสคือการเกิดในชาติก่อน, ยกทิพจักขุญาณขึ้นแสดงเป็นอันดับที่ ๒ เพราะบรรเทาความมืดทั้งในปัจจุบันและอนาคต, ยกอาสวักขยญาณขึ้นแสดงเป็นอันดับที่ ๓ เพราะตัดความมืดทั้งหมดเสียได้เด็ดขาด. บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า กายมฺปิ - แม้กาย ซึ่งได้แก่ แม้ซึ่งรูปกาย. คำว่า จิตฺตมฺปิ - แม้ซึ่งจิต ได้แก่ แม้ซึ่งจิตอันมีฌานเป็นบาท. คำว่า เอกววตฺถานตา - เพราะการกำหนดเข้าเป็นอันเดียวกัน. มีคำอธิบายว่า ด้วยทิสมานกายหรืออทิสมานกาย เพราะตั้งไว้โดยความเป็นอันเดียวกันกับบริกรรมจิต และเพราะกระทำกายและจิตให้ระคนกันตามที่จะประกอบได้ ในคราวที่ประสงค์จะไป. ก็คำว่า กาโย - กาย ในที่นี้ ได้แก่ สรีระ. จริงอยู่ สรีระ ท่านเรียกว่ากาย เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งอวัยวะทั้งหลายมีเกสา - ผม เป็นต้นอันน่าเกลียดเพราะสั่งสมไว้ซึ่งอสุจิ และเป็นบ่อเกิดแห่งโรคหลายร้อย มีโรคทางจักษุเป็นต้น. จ ศัพท์ ท่านประกอบไว้ในคำนี้ว่า สุข จริงอยู่ อุเบกขาในจตุตถฌาน ท่านกล่าวว่า สนฺตํ - สงบ สุขํ - เป็นสุข, สัญญาที่สัมปยุตกับอุเบกขานั้น ชื่อว่าสุขสัญญา. สุขสัญญานั่นแหละ ชื่อว่าลหุสัญญา เพราะพ้นนิวรณ์ทั้งหลายและปัจนิกธรรมมีวิตกเป็นต้น. คำว่า อธิฏฺฐานวเสน - ด้วยสามารถแห่งการตั้งไว้. ความว่า ด้วยสามารถแห่งการตั้งไว้อย่างยิ่ง. อธิบายว่า ด้วยสามารถแห่งการเข้าไป. จ ศัพท์ในคำว่า อธิฏฺฐานวเสน จ ท่านนำมาเชื่อมเข้าไว้. เหตุตามที่ประกอบได้ของอิทธิวิธมีประการทั้งปวง ท่าน คำว่า อิชฺฌนฏฺเฐ ปญฺญา - ปัญญาในการสำเร็จ. ความว่า ปัญญาในสภาวะคือการสำเร็จ. คำว่า อิทฺธิวิเธ ญาณํ - ญาณในการแสดงฤทธิได้ต่างๆ มีคำอธิบายท่านกล่าวไว้ว่า ชื่อว่า อิทฺธิ - ฤทธิ ในอรรถว่าสำเร็จ, และในอรรถว่าได้เฉพาะ เพราะอรรถว่าสำเร็จ. จริงอยู่ สิ่งใดจะเกิดขึ้น และจะได้เฉพาะ สิ่งนั้นท่านเรียกว่า อิชฺฌติ - ย่อมสำเร็จ. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑- ถ้าว่า เมื่อบุคคลปรารถนากามอยู่ และกามก็ย่อมสำเร็จแก่ผู้นั้น ดังนี้. ____________________________ ๑- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๔๐๘ อนึ่ง ดุจดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า เนกขัมมะย่อมสำเร็จ ฉะนั้นจึงชื่อว่า อิทฺธิ - ฤทธิ เนกขัมมะย่อมกำจัดกามฉันทะ ฉะนั้นจึงชื่อว่าปาฏิหาริย์, อรหัตมรรคย่อมสำเร็จ ฉะนั้นจึงชื่อว่า อิทฺธิ - ฤทธิ, อรหัตมรรคนั้นย่อมทำลายกิเลสทั้งหมดได้ ฉะนั้นจึงชื่อว่า ปาฏิหาริย์ ดังนี้. ____________________________ ๒- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๗๒๒ นัยอื่นอีก ชื่อว่า อิทฺธิ - ฤทธิ เพราะอรรถว่าสำเร็จ, คำนี้เป็นชื่อของอุบายสัมปทา. จริงอยู่ อุบายสัมปทาย่อมสำเร็จ เพราะประสบผลที่ตนประสงค์. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๒- จิตตคฤหบดีนี้แล เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม, ถ้าเธอจักปรารถนาว่า ขอให้เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ราชในอนาคตกาลไซร้ ความปรารถนาด้วยใจของเธอผู้ มีศีล จักสำเร็จ เพราะความปรารถนานั้นบริสุทธิ์ ดังนี้. ____________________________ ๒- สํ. สฬา. เล่ม ๑๘/ข้อ ๕๘๔ นัยอื่นอีก สัตว์ทั้งหลายย่อมสำเร็จได้ด้วยธรรมชาตินั้น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่า อิทฺธิ - ฤทธิ คือธรรมชาติเป็นเหตุให้สำเร็จ. คำว่า อิชฺฌนฺติ - ย่อมสำเร็จ. มีคำอธิบายว่า สำเร็จ คือเจริญ คือย่อมถึงความโด่งดัง. วิธะ คือ อิทฺธิ - ฤทธิ นั่นแหละชื่อว่าอิทธิวิธะ - แสดงฤทธิต่างๆ. อธิบายว่า อิทธิโกฏฐาสะ - ส่วนแห่งฤทธิ อิทธิวิกัปปะ - ฤทธิสำเร็จได้ต่างๆ. มีคำอธิบายท่านกล่าวไว้ว่า อิทธิวิธญาณ - ญาณในการแสดงฤทธิได้ต่างๆ . ๕๑. อรรถกถาโสตธาตุวิสุทธิญาณุทเทส ว่าด้วยโสตธาตุวิสุทธิญาณ ความว่า ด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปคือด้วยกำลังแห่งวิตกของตน ในสัททนิมิตในเวลาทำบริกรรมเพื่อให้เกิดทิพโสตธาตุ ก็ในคำว่า วิตกฺโก นี้มีวิเคราะห์ว่า ธรรมชาติใดย่อมตรึก ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่าวิตก. อีกอย่างหนึ่ง ความตรึกชื่อว่าวิตก, มีคำอธิบายท่านกล่าวไว้ว่า การพิจารณา. วิตกนี้นั้น- มีการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เป็นลักษณะ, มีการประคองจิตไว้ในอารมณ์ เป็นกิจ. จริงอย่างนั้น ท่านกล่าวว่า พระโยคีบุคคลย่อมกระทำอารมณ์ให้ถูกกระทบด้วยวิตก. มีจิตที่ทรงอยู่ในอารมณ์ เป็นปัจจุปัฏฐาน, และท่านกล่าวว่า มีอารมณ์อันมาถึงซึ่งคลอง เป็นปทัฏฐาน เพราะเกิดขึ้นโดยอินทรีย์ที่มาประชุมพร้อมซึ่งอารมณ์นั้น และโดยไม่มีอันตรายในอารมณ์อันแวดล้อมแล้ว. คำว่า นานตฺเตกตฺตสทฺทนิมิตฺตานํ - ซึ่งเสียงเป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียว. ความว่า ซึ่งเสียงเป็นนิมิตมีสภาวะต่างๆ และมีสภาวะเดียว. ก็ในคำว่าสัททนิมิตนี้ สัททะคือเสียงนั่นแหละเป็นนิมิต เพราะเป็นเหตุแห่งการเกิดขึ้นแห่งวิตก และเพราะเป็นนิมิตแห่งสังขาร. เสียงที่กลมกล่อมเป็นอันเดียวกัน เช่นเสียงกลอง หรือหลายเสียงมากมาย, เสียงในทิศต่างๆ หรือเสียงสัตว์ต่างๆ ชื่อว่านา ก็ในคำว่า สทฺโท นี้มีวิเคราะห์ว่า ธรรมชาติใดย่อมแผ่ไป ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่าสัททะ - เสียง. อธิบายว่า เสียงที่เปล่งว่าออก คำว่า ปริโยคาหเณ ปญฺญา - ปัญญาในการกำหนด. ความว่า ปัญญาเป็นเครื่องเข้าถึง. อธิบายว่า ปัญญาเป็นเครื่องรู้. คำว่า โสตธาตุวิสุทฺธิญาณํ - ญาณในโสตธาตุอันบริสุทธิ์ ความว่า ชื่อว่าโสตธาตุ เพราะอรรถว่าได้ยิน และเพราะอรรถว่ามิใช่ชีวะ, และชื่อว่าโสตธาตุเพราะปัญญาทำกิจดุจโสตธาตุด้วยสามารถแห่งการทำกิจของโสตธาตุ, ชื่อว่าวิสุทธิ เพราะโสตธาตุนั้นหมดจดแล้ว เพราะปราศจากอุปกิเลส, โสตธาตุนั่นแหละบริสุทธิ์ ชื่อว่าโสตธาตุวิสุทธิ, ญาณคือความรู้ในโสตธาตุวิสุทธินั่นแหละ ชื่อว่าโสตธาตุวิสุทธิญาณ. ๕๒. อรรถกถาเจโตปริยญาณุทเทส ว่าด้วยเจโตปริยญาณ ความว่า แห่งจิต ๓ ดวง คือ โสมนัสสหคตจิต ๑ โทมนัสสสหคตจิต ๑ อุเปกขาสหคตจิต ๑. คำว่า วิปฺผารตฺตา - ด้วยความแผ่ไป. ความว่า ด้วยความเป็นแห่งความแผ่ไป. อธิบายว่า ด้วยความเร็ว. คำว่า วิปฺผารตฺตา นี้เป็นปัญจมีวิภัตติลงในอรรถแห่งเหตุ. ความว่า เพราะเหตุแห่งความแผ่ไปแห่งจิต ๓ ดวงของบุคคลเหล่าอื่น ในกาลเป็นที่กระทำบริกรรมเพื่อให้เจโตปริยญาณเกิดขึ้น. คำว่า อินฺทฺริยานํ ปสาทวเสน - ด้วยสามารถแห่งความผ่องใสของอินทรีย์ทั้งหลาย. ความว่า ด้วยสามารถความผ่องใสของอินทรีย์ ๖ มี ก็ในที่นี้โอกาสเป็นที่ตั้งแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ท่านกล่าวด้วยคำว่า อินฺทฺริยานํ โดยผลูปจารนัย๑- ดุจคำว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง๒- ดังนี้. หทัยวัตถุนั่นแหละ ท่านประสงค์แล้วในที่นี้ แม้ในโอกาสแห่ง ____________________________ ๑- ผลูปจารนัย - พูดเหตุแต่หมายถึงผล. ๒- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑๑ คำว่า ปสาทวเสน - ด้วยสามารถแห่งความผ่องใส. ความว่า ด้วยสามารถแห่งความไม่ขุ่นมัว. เมื่อกล่าวว่า ปสาทปฺปสาทวเสน - ด้วยสามารถแห่งความเลื่อมใสและเลื่อมใสยิ่ง คำนี้พึงทราบว่า ท่านทำการลบ อปฺปสาท ศัพท์เสีย. อีกอย่างหนึ่ง คำนี้พึงทราบว่า แม้ความไม่เลื่อมใส เป็นอันท่านกล่าวแล้วด้วยคำว่า ปสาท ____________________________ ๓- เลื่อมใสกินความถึงไม่เลื่อมใสด้วย แต่ไม่ผ่องใส ไม่กินความถึงความเลื่อมใส. คำว่า นานตฺเตกตฺตวิญฺญาณจริยาปริโยคาหเณ ปญฺญา - ปัญญาในการกำหนดจริยา คือวิญญาณหลายอย่างหรืออย่างเดียว. ความว่า ปัญญาในการรู้ความเป็นไปของจิต ๘๙ อันมีสภาวะต่างๆ กันและที่มีสภาวะเดียวกัน ตามสมควรแก่การเกิดขึ้น. ในวิญญาณจริยาทั้ง ๒ นี้ วิญญาณจริยาของผู้ไม่ได้สมาธิ เป็นนานัตตวิญญาณจริยา, วิญญาณจริยาของผู้ได้สมาธิ เป็นเอกัตตวิญญาณจริยา. อีกอย่างหนึ่ง จิตมีราคะเป็นต้นเป็นนานัตตวิญญาณจริยา, จิตปราศจากราคะเป็นต้นเป็นเอกัตตวิญญาณจริยา. ชื่อว่าปริยะ ในคำนี้ว่า เจโตปริยญาณํ นี้ เพราะอรรถว่ากำหนด. อธิบายว่า กำหนดรอบ. การกำหนดด้วยใจ ชื่อว่าเจโตปริยะ - กำหนดด้วยใจ, เจโตปริยะนั้นด้วย ญาณด้วย ฉะนั้นชื่อว่าเจโตปริยญาณ - ญาณในการกำหนดด้วยใจ. ปาฐะว่า วิปฺผารตา ดังนี้ก็มี. มีความว่าด้วยการแผ่ไป. ๕๓. อรรถกถาบุพเพนิวาสานุสติญาณุทเทส ว่าด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ อกุศลกรรม ชื่อว่านานัตตะ - หลายอย่าง, กุศลกรรม ชื่อว่าเอกัตตะ - อย่างเดียว ในคำว่า นานตฺเตกตฺตกมฺมวิปฺผารวเสน นี้. อีกอย่างหนึ่ง กามาจวรกรรม ชื่อว่านานัตตะ - หลายอย่าง, รูปาวจรและอรูปาวจรกรรม ชื่อว่าเอกัตตะ - อย่างเดียว. สัมพันธ์ความว่า ปัญญาในการกำหนดธรรมอันเป็นไปแต่ปัจจัยด้วยสามารถการแผ่ไปแห่งกรรมหลายอย่างหรืออย่างเดียว. คำว่า ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติญาณํ - ญาณเป็นเครื่องระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้. ความว่า ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในก่อนคือในอดีตชาติ ชื่อว่าบุพเพนิวาสะ - ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในชาติก่อน. คำว่า นิวุตฺถา - ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่. ความว่า ขันธ์ที่เคยอยู่คือที่มีแล้ว เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปในสันดานของตน. หรือธรรมที่เคยอยู่แล้วในก่อนคือในอดีตชาติ ชื่อว่าบุพเพนิวาสะ - ธรรมที่เคยอาศัยอยู่ในก่อน. บทว่า นิวุตฺถา - ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่. ความว่า อยู่แล้วด้วยการอยู่เพราะอาศัยธรรมดังกล่าวแล้วเป็นอารมณ์ คือรู้แจ้งได้ด้วยจิตของตน ชื่อว่าการกำหนด ถึงแม้ว่ารู้แจ้งซึ่งจิตของคนอื่น ก็ชื่อว่าการกำหนด แต่ผู้ที่ทรงคุณอย่างหลังนี้ ย่อมมีแก่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ในบรรดาการระลึกถึงการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งขาดเป็นตอนๆ เป็นต้น. คำว่า ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติ - ตามระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้ ความว่า ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในครั้งก่อนได้ด้วยสติใด สตินั้นชื่อว่าบุพเพนิวาสานุสติ. คำว่า ญาณํ - ญาณ ได้แก่ ญาณอันสัมปยุตด้วยสตินั้น. .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มาติกา |