![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หน้าต่างที่ ๖ / ๑๑. จริงอยู่ ในโลกย่อมมีความโกลาหล ๓ ประการเกิดขึ้น คือ โกลาหลเรื่องกัป ๑ โกลาหลเรื่องพระ บรรดาโกลาหลทั้งสามนั้น เทพชั้นกามาวจรชื่อว่าโลกพยูหะทราบว่าล่วงไปแสนปี เหตุเกิดตอนสิ้นกัปจักมี จึงปล่อยศีรษะสยายผม มีหน้าร้องไห้เอามือทั้งสองเช็ดน้ำตา นุ่งผ้าแดง ทรงเพศผิดรูปร่างเหลือเกิน เที่ยวบอกกล่าวไปใน เหล่าโลกบาลเทวดาทราบว่า ก็เมื่อล่วงไปพันปี พระสัพพัญญูพุทธเจ้าจักอุบัติขึ้นในโลก จึงเที่ยวป่าวร้องว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย เมื่อล่วงพันปีแต่นี้ไป พระ เทวดาทั้งหลายทราบว่า ล่วงไปร้อยปี พระเจ้าจักรพรรดิจักอุบัติขึ้น จึงเที่ยวป่าวร้องว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย โดยล่วงร้อยปีแต่นี้ไป พระเจ้า โกลาหลทั้ง ๓ ประการนี้เป็นเรื่องใหญ่. บรรดาโกลาหลทั้งสามนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้นได้ฟังเสียงโกลาหล ก็ในครั้งนั้น เทวดาแม้ทั้งปวงนั้นพร้อมกับท้าวจาตุมหาราช ท้าว ลำดับนั้น พระมหาสัตว์มิได้ให้ปฏิญญาแก่เทวดาทั้งหลายทันที จะตรวจดูปัญจมหาวิโลกนะ คือสิ่งที่จะต้องเลือกใหญ่ ๕ ประการ คือกาล ทวีป ประเทศ ตระกูลและกำหนดอายุของมารดา. ใน ๕ ประการนั้น พระโพธิสัตว์จะตรวจดูกาลข้อแรกว่า เป็นกาลสมควรหรือกาลไม่สมควร. ในเรื่องกาลนั้น กาลแห่งอายุที่เจริญเกินกว่าแสนปี ชื่อว่าเป็นกาลไม่สมควร. เพราะเหตุไร? เพราะว่า ในกาลนั้น ชาติ ชราและมรณะของสัตว์ทั้งหลายไม่ปรากฏ และพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่าพ้น แม้กาลแห่งอายุหย่อนกว่าร้อยปี ก็ชื่อว่าเป็นกาลไม่สมควร เพราะเหตุไร? เพราะว่าในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลายมีกิเลสหนาและโอวาทที่ให้แก่สัตว์ผู้มีกิเลสหนา ย่อมไม่ตั้งอยู่ในฐานเป็นโอวาท จะปราศจากไปเร็วพลัน เหมือนรอยไม้ขีดในน้ำ เพราะฉะนั้น แม้กาลนั้นก็เป็นกาลไม่สมควร. กาลแห่งอายุตั้งแต่แสนปีลงมาและตั้งแต่ร้อยปีขึ้นไป ชื่อว่าเป็นกาลสมควร และกาลนั้นก็เป็นกาลแห่งอายุร้อยปี. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ก็มองเห็นกาลว่า เป็นกาลที่ควรบังเกิด. จากนั้น เมื่อจะตรวจดูทวีป ได้ตรวจดูทวีปทั้ง ๔ พร้อมทั้งทวีปบริวาร จึงเห็นทวีปหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่บังเกิดในทวีปทั้งสามบังเกิดเฉพาะในชมพูทวีปเท่านั้น. จากนั้นก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่าชมพูทวีปเป็นทวีปใหญ่ มีประมาณหมื่นโยชน์ พระ ชื่อว่ามัชฌิมประเทศ คือประเทศที่ท่านกล่าวไว้ในวินัยอย่างนี้ว่า ในทิศตะวันออก มีนิคม มัชฌิมประเทศนั้นยาวสามร้อยโยชน์ กว้างสองร้อยห้าสิบโยชน์ วัดโดยรอบได้เก้าร้อยโยชน์ ดังนั้น ในประเทศนั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอสีติมหาสาวก พระเจ้าจักรพรรดิและขัตติย ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะเลือกดูตระกูล จึงเห็นตระกูลว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่บังเกิดในตระกูลแพศย์หรือตระกูลศูทร แต่จะบังเกิดในตระกูลทั้งสองเท่านั้นคือตระกูลกษัตริย์หรือตระกูลพราหมณ์ที่โลกยกย่องแล้ว ก็บัดนี้ ตระกูลกษัตริย์เป็นตระกูลที่โลก ต่อจากนั้นจึงเลือกดูมารดาได้เห็นว่า ธรรมดามารดาของพระพุทธเจ้าย่อมไม่เป็นหญิงเหลาะแหละ ไม่เป็นนักเลงสุรา แต่จะเป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัป เป็นผู้มีศีลห้าไม่ขาดเลย จำเดิมแต่เกิดมา. ก็พระเทวีพระนามว่ามหามายานี้ทรงเป็นเช่นนี้ พระนางมหามายานี้จักเป็นพระมารดาของเรา เมื่อตรวจดูว่าพระนางจะมีพระชนมายุเท่าไร ก็เห็นว่าหลังจาก ๑๐ เดือนไปแล้วจะมีพระชนมายุได้ ๗ วัน. พระโพธิสัตว์ตรวจดูมหาวิโลกนะ ๕ ประการนี้ ด้วยประการดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ถึงกาลที่เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อจะกระทำการสงเคราะห์เทวดาทั้งหลาย จึงได้ให้ปฏิญญาแล้วส่งเทวดาเหล่านั้นไปด้วยคำว่า ขอพวกท่านไปได้ อันเทวดาชั้นดุสิตห้อมล้อมแล้วเข้าไปสู่นันทนวัน ในดุสิตบุรี. จริงอยู่ ในเทวโลกทุกชั้นมีนันทนวันทั้งนั้น ในนันทนวันนั้น เทวดาทั้งหลายจะเที่ยวคอยเตือนให้พระโพธิสัตว์นั้นระลึกถึงโอกาสแห่งกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ในกาลก่อนว่า ท่านจุติจากนี้แล้วจงไปสู่สุคติเถิด ท่านจุติจากนี้แล้วจงไปสู่สุคติเถิด. พระโพธิสัตว์นั้นอันเทวดาทั้งหลายผู้เตือนให้ระลึกถึงกุศลอย่างนี้ ห้อมล้อมเที่ยวไปอยู่ในนันทนวันนั่นแล ได้จุติแล้วถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระ เพื่อที่จะให้เรื่องการถือปฏิสนธินั้นชัดแจ้ง จึงมีถ้อยคำบรรยายโดยลำดับ ดังต่อไปนี้ :- ได้ยินว่า ครั้งนั้น ในนครกบิลพัสดุ์ได้มีการนักขัตฤกษ์เดือน ๘ อย่างเอิกเกริก มหาชนเล่นงาน นัยว่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ยกพระนางขึ้นไปพร้อมกับพระที่ไสยาสน์ แล้วนำไปยังป่าหิมพานต์วางลงบนพื้นมโนศิลามีประมาณ ๖๐ โยชน์ ภายใต้ต้นสาละใหญ่มีขนาด ๗ โยชน์ แล้วได้ยืนอยู่ ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น เหล่าพระเทวีของท้าวมหาราชเหล่านั้นพากันมานำพระเทวีไปยังสระอโนดาต ให้สรงสนาน เพื่อที่จะชำระล้างมลทินของมนุษย์ออก แล้วให้ทรง ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เป็นช้างตัวประเสริฐสีขาว ท่องเที่ยวไปในภูเขาทองลูกหนึ่งซึ่งมีอยู่ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น ได้ลงจากภูเขาทองนั้นแล้วขึ้นไปยังภูเขาเงิน เดินมาทางทิศเหนือ ได้เอางวงซึ่งมีสีดังพวงเงินจับดอกปทุมสีขาว เปล่งเสียง พระโพธิสัตว์ได้ถือปฏิสนธิด้วยนักขัตฤกษ์เดือน ๘ หลัง ด้วยประการฉะนี้. วันรุ่งขึ้น พระเทวีทรงตื่นบรรทมแล้วกราบทูลพระสุบินนั้นแด่พระราชา. พระราชารับสั่งให้เชิญพราหมณ์ชั้นหัวหน้าประมาณ ๖๔ คนเข้าเฝ้า ให้ปูลาดอาสนะอันควรค่ามากบนพื้นที่ฉาบทาด้วยโคมัยสด มีเครื่องสักการะอันเป็นมงคลที่กระทำด้วยข้าวตอกเป็นต้น ให้ใส่ข้าวปายาสชั้นเลิศที่ปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวดเต็มถาดทองและเงิน เอาถาดทองและเงินนั้นแหละครอบแล้วได้ประทานแก่เหล่าพราหมณ์ผู้นั่งอยู่บนอาสนะนั้น และทรงให้พราหมณ์เหล่านั้นอิ่มหนำด้วยสิ่งของอื่นๆ มีการประทานผ้าใหม่ และแม่โคแดงเป็นต้น. ทีนั้น จึงรับสั่งให้บอกพระสุบินแก่พราหมณ์เหล่านั้นผู้อิ่มหนำด้วยสิ่งที่ต้องการทุกอย่าง แล้วตรัสถามว่า จักมีเหตุการณ์อะไร. พราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงพระปริวิตกเลย พระเทวีทรงตั้งพระครรภ์แล้ว และพระครรภ์ที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นครรภ์บุรุษ มิใช่ครรภ์สตรี พระองค์จักมีพระโอรส ถ้าพระโอรสนั้นทรงครองเรือน จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกจากเรือนทรงผนวช จักได้เป็นพระพุทธเจ้ามีกิเลส ก็ในขณะที่พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดานั่นแหละ เหมือนโลก ปุพ โลกธาตุทั่วทั้งหมื่นได้เป็นประหนึ่งพวงมาลัยที่เขาหมุนแล้วขว้างไป เป็นประหนึ่งกำดอกไม้ที่เขาบีบแล้วผูกมัดไว้ เป็นเสมือนอาสนะดอกไม้ที่เขาตกแต่งประดับประดาไว้ และเป็นเสมือนพัดวาลวิชนีที่กำลังโบก ซึ่งมีระเบียบดอกเป็นอันเดียวกัน จึงได้อบอวลไปด้วยความหอมของดอกไม้และธูป ถึงความโสภาคย์ยิ่งนัก. จำเดิมแต่การถือปฏิสนธิของพระโพธิสัตว์ผู้ถือปฏิสนธิแล้วอย่างนี้ เพื่อที่จะป้องกันอันตรายแก่พระโพธิสัตว์และมารดาของพระโพธิสัตว์ เทวบุตร ๔ องค์ถือพระขรรค์คอยให้การอารักขา. ความคิดเกี่ยวกับราคะในบุรุษทั้งหลาย มิได้เกิดขึ้นแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์ พระนางมีแต่ถึงความเลิศด้วยลาภและความเลิศด้วยยศ มีความสุข มีพระวรกายไม่ลำบาก และทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ผู้อยู่ในภายในพระครรภ์ เหมือนเส้นด้ายสีเหลืองที่ร้อยไว้ในแก้วมณีใสฉะนั้น. ก็เพราะเหตุที่ครรภ์ที่พระโพธิสัตว์อยู่ เป็นเสมือนห้องพระเจดีย์ สัตว์อื่นไม่อาจอยู่หรือใช้สอยได้ เพราะฉะนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วัน พระมารดาของพระ ฝ่ายพระมหามายาเทวีทรงบริหารพระโพธิสัตว์ด้วยพระครรภ์ตลอด ๑๐ เดือนประดุจบริหารน้ำมันด้วยบาตรฉะนั้น มีพระครรภ์แก่เต็มที่แล้ว มีพระราช ก็ป่าสาลวันอันเป็นมงคลชื่อว่าลุมพินีวัน แม้ของชนชาวพระนครทั้งสอง ได้มีอยู่ในระหว่างนครทั้งสอง. สมัยนั้น ป่าสาลวันทั้งสิ้นมีดอกบานเป็นถ่องแถวเดียวกัน ตั้งแต่โคนจนถึงปลายกิ่ง. ตามระหว่างกิ่งและระหว่างดอก มีหมู่ภมร ๕ สีและหมู่นกนา พระเทวีทอดพระเนตรเห็นดังนั้น เกิดมีพระประสงค์จะทรงเล่นในสาลวัน. อำมาตย์ทั้งหลายจึงพาพระเทวีเข้าไปยังสาลวัน. พระนางเสด็จเข้าถึงโคนต้นสาละอันเป็นมงคลแล้ว ได้มีพระประสงค์จะจับกิ่งสาละ กิ่งสาละได้น้อมลงเข้าไปใกล้พระหัตถ์ของพระเทวี ประหนึ่งยอดหวายที่ ก็เมื่อพระนางทรงยืนจับกิ่งสาละอยู่นั่นแล ได้ประสูติแล้ว. ในขณะนั้นนั่นเอง ท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ ๔ พระองค์ก็ถือข่าย เหมือนอย่างว่า สัตว์เหล่าอื่นออกจากท้องมารดาแล้ว เปื้อนด้วยสิ่งปฏิกูลไม่สะอาดคลอดออกมาฉันใด พระโพธิสัตว์หาเป็นเหมือนฉันนั้นไม่. ก็พระโพธิสัตว์นั้นเหยียดมือทั้งสองและเท้าทั้งสองยืนอยู่ ดุจพระธรรมกถึกลงจากธรรมาสน์ และเหมือนบุรุษลงจากบันได ไม่แปดเปื้อนด้วยของไม่สะอาดใดๆ ซึ่งมีอยู่ในครรภ์ของ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ตาม เพื่อจะสักการะพระโพธิสัตว์และพระมารดาของพระโพธิสัตว์ สายธารน้ำสองสายจึงพลุ่งจากอากาศ ทำให้ได้รับความสดชื่นในร่างกายของพระโพธิสัตว์และ ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้รับพระโพธิสัตว์นั้นจากหัตถ์ของท้าว พอพ้นจากมือของพวกมนุษย์ พระโพธิสัตว์ก็ประทับยืนบน พระโพธิสัตว์มองตรวจไปโดยลำดับตลอดทั้ง ๑๐ ทิศ คือทิศใหญ่ ๔ ทิศ ทิศน้อย ๔ ทิศ เบื้องล่างและเบื้องบนด้วยประการอย่างนี้แล้ว มิได้ทรงเห็นใครๆ ผู้แม้นเหมือนกับตน ทรงดำริว่านี้ทิศเหนือ จึงเสด็จโดยย่างพระบาทไป ๗ ก้าว มีท้าวมหาพรหมคอยกั้นเศวตฉัตร ท้าวสุยามะถือพัดวาลวิชนี และเทวดาอื่นๆ ถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่เหลือเดินตามเสด็จ. จากนั้นประทับยืน ณ พระบาทที่ ๗ ทรงบันลือสีหนาทเปล่งอาสภิ จริงอยู่ พระโพธิสัตว์พอคลอดออกมาจากครรภ์ของพระมารดาเท่านั้น เปล่งวาจาได้ใน ๓ อัตภาพ คืออัตภาพเป็นมโหสถ อัตภาพเป็นพระเวสสันดร และอัตภาพนี้. ได้ยินว่า ในอัตภาพเป็นมโหสถ เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นจะคลอดออกจากครรภ์มารดาเท่านั้น ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาวางแก่นจันทน์ลงในมือแล้วเสด็จไป พระ บิดามารดาเอาโอสถนั้นใส่ไว้ในตุ่ม โอสถนั้นนั่นแหละได้เป็นยาระงับ ส่วนในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร พระโพธิสัตว์เมื่อจะประสูติจากพระครรภ์มารดา ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาประสูติแล้วตรัสว่า พระมารดา อะไรๆ ในเรือนมีไหม ลูกจักให้ทาน. ลำดับนั้น พระมารดาของพระองค์ตรัสว่า พ่อ ลูกบังเกิดในตระกูลที่มีทรัพย์ แล้วให้วางถุงทรัพย์หนึ่งพันไว้ จึงวางมือของพระโอรสไว้เหนือฝ่าพระหัตถ์ของพระนาง. ส่วนในอัตภาพนี้ พระโพธิสัตว์บันลือสีหนาทนี้ พระ ก็แม้ในขณะที่พระโพธิสัตว์นั้นประสูติ ได้มีบุรพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้น เหมือนในขณะถือปฏิสนธิ ก็สมัยใด พระ ชนชาวเมืองทั้งสองนครได้พาพระโพธิสัตว์ไปยังนครกบิลพัสดุ์เลยทีเดียว ก็วันนั้นเอง หมู่เทพในภพดาวดึงส์ต่างร่าเริงยินดีว่า พระราชบุตรของพระเจ้า สมัยนั้น ดาบสชื่อว่ากาฬเทวิล ผู้คุ้นเคยกับราชสกุลของพระเจ้า เทวดาทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ พระราชบุตรของพระเจ้า |