![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หน้าต่างที่ ๘ / ๑๑. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่งบนชยบัลลังก์ ทรงเปล่งอุทานแล้วได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า เราแล่นไปถึงสี่อสงไขยแสนกัป ก็เพราะเหตุบัลลังก์นี้ เพราะเหตุบัลลังก์นี้แหละ เราได้ตัดศีรษะอันประดับแล้วที่คอให้ไปแล้วตลอด ครั้งนั้น เทวดาบางพวกเกิดความปริวิตกขึ้นว่า แม้วันนี้ พระสิทธัตถะก็ยังมีกิจที่จะต้องทำอยู่เป็นแน่ เพราะยังไม่ละความอาลัยในบัลลังก์ พระศาสดาทรงทราบความปริวิตกของเทวดาทั้งหลาย เพื่อจะทรงระงับความปริวิตกของเทวดาเหล่านั้น จึงทรงเหาะขึ้นสู่เวหาส ทรงแสดงยมก จริงอยู่ ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำที่มหาโพธิมัณฑ์ก็ดี ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำในสมาคมพระญาติก็ดี ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำในสมาคมชาวปาตลีบุตรก็ดี ทั้งหมดได้เป็นเช่นกับยมก พระศาสดาครั้นทรงระงับความวิตกของเทวดาทั้งหลายด้วยปาฏิหาริย์นี้อย่างนี้แล้ว จึงประทับยืนทางด้านทิศเหนือติดกับทิศตะวันออก เยื้องจากบัลลังก์ไปเล็กน้อย ทรงพระดำริว่า เราแทงตลอดพระสัพพัญ ลำดับนั้น พระศาสดาทรงนิรมิตที่จงกรมในระหว่างบัลลังก์กับสถานที่ที่ประทับยืน ทรงจงกรมอยู่บนรัตนจงกรมอันยาวจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก ยับยั้งอยู่ตลอดสัปดาห์ สถานที่นั้นจึงชื่อว่ารัตนจงกรมเจดีย์. ก็ในสัปดาห์ที่ ๔ เทวดาทั้งหลายนิรมิตเรือนแก้วทางด้านทิศพายัพจากต้นโพธิ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนั่งขัดสมาธิในเรือนแก้วนั้น ทรงพิจารณาพระอภิธรรม พระศาสดาทรงยับยั้งอยู่ ๔ สัปดาห์เฉพาะบริเวณใกล้ต้นโพธิ์เท่านั้นด้วยประการอย่างนี้ ในสัปดาห์ที่ ๕ เสด็จจากควงไม้โพธิ์ไปยังไม้อชปาลนิโครธ ประทับนั่งพิจารณาพระธรรมและเสวยวิมุตติสุข ณ ต้นอชปาลนิโครธแม้นั้น. สมัยนั้น มารผู้มีบาปคิดว่า เราติดตามอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แม้จะเพ่งมองหาช่องอยู่ ก็ไม่ได้เห็นความพลั้งพลาดอะไรๆ ของสิทธัตถะนี้ บัดนี้ สิทธัตถะนี้ก้าวล่วงพ้นอำนาจของเราเสียแล้ว จึงถึงความโทมนัส นั่งอยู่ในหนทางใหญ่ เมื่อคิดถึงเหตุ ๑๖ ประการจึงขีดเส้น ๑๖ เส้นลงบนแผ่นดิน คือคิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญทานบารมีเหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้ ดังนี้ แล้วขีดลงไปเส้นหนึ่ง. อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญศีลบารมี ฯลฯ เนกขัมบารมี ปัญญา อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทง อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด ก็สมัยนั้นธิดาของมาร ๓ นาง คือ นางตัณหา นางราคาและนางอรดี คิดว่า บิดาของพวกเราไม่ปรากฏ บัดนี้ อยู่ที่ไหนหนอ จึงพากันมองหา ได้เห็นบิดาผู้มีความโทมนัสนั่งขีดแผ่นดินอยู่ จึงพากันไปยังสำนักของบิดาแล้วถามว่า ท่านพ่อ เพราะเหตุไร ท่านพ่อจึงเป็นทุกข์ หม่นหมองใจ. มารกล่าวว่า ลูกเอ๋ย มหาสมณะนี้ ล่วงพ้นอำนาจของเราเสียแล้ว พ่อคอยดูอยู่ตลอดเวลาประมาณเท่านี้ ไม่อาจได้เห็นช่องคือโทษของมหาสมณะนี้ เพราะเหตุนั้น พ่อจึงเป็นทุกข์หม่นหมองใจ. ธิดามารกล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านพ่ออย่าเสียใจเลย ลูกๆ จักทำมหาสมณะนั่นไว้ในอำนาจของตนๆ แล้วพามา. มาร ธิดามารคิดกันอีกว่า ความประสงค์ของพวกผู้ชายเอาแน่ไม่ได้ บางพวกมีความรักหญิงเด็กๆ บางพวกรักหญิงผู้อยู่ใน ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นธิดามารเหล่านั้นเข้าไปหา โดยเป็นหญิงผู้ใหญ่ จึงทรงอธิษฐานว่า หญิงเหล่านี้จงเป็นคนฟันหักมีผมหงอก. คำของ ความชนะอันผู้ใดชนะแล้วไม่กลับแพ้ ใครๆ จะนำความชนะ ของผู้นั้นไปไม่ได้ในโลก ท่านทั้งหลายจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ผู้ไม่มีร่องรอย ไปด้วยร่องรอยอะไร. พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ไม่มีตัณหาดุจข่าย ส่ายไปในอารมณ์ ต่างๆ เพื่อจะนำไปในที่ไหน ท่านทั้งหลายจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์ นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ผู้ไม่มีร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร ดังนี้. ธิดามารเหล่านั้นพากันกล่าวคำมีอาทิว่า นัยว่าเป็นความจริง บิดาของพวกเราได้กล่าวไว้ว่า พระอรหันต์สุคตเจ้าในโลก ใครๆ จะนำไปง่ายๆ ด้วยราคะ หาได้ไม่ ดังนี้แล้วพากันกลับมายังสำนักของบิดา. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ที่อชปาลนิโครธนั้นนั่นแหละตลอดสัปดาห์ แต่นั้นได้เสด็จไปยังโคนไม้มุจลินท์. ณ ที่นั้นเกิดฝนพรำอยู่ตลอด ๗ วัน เพื่อ โดยลำดับกาลเพียงเท่านี้ก็ครบ ๗ สัปดาห์บริบูรณ์. ในระหว่างนี้ไม่มีการสรงพระพักตร์ ไม่มีการปฏิบัติพระสรีระ ไม่มีกิจด้วย ครั้นในวันที่ ๔๙ อันเป็นที่สุดของ ๗ สัปดาห์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ที่ต้นราชายตนะนั้น เกิดพระดำริขึ้นว่าจักสรงพระพักตร์. ท้าวสักกะจอมเทพได้ทรงนำผลสมออันเป็นยาสมุนไพรมาถวาย. พระศาสดาเสวยผลสมอนั้น ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงได้มีการถ่ายพระบังคนหนัก. ลำดับนั้น ท้าวสักกะนั่นแลได้ถวายไม้ชำระพระทนต์ชื่อนาคลดา และน้ำบ้วนพระโอษฐ์ น้ำสรงพระพักตร์แก่พระองค์ พระศาสดาทรงเคี้ยวไม้ชำระพระทนต์นั้น แล้วบ้วนพระโอษฐ์ สรงพระพักตร์ด้วยน้ำจากสระอโนดาต เสร็จแล้วยังคงประทับนั่งอยู่ที่โคนไม้ราชายตนะนั้นนั่นแหละ. สมัยนั้น พาณิช ๒ คนชื่อตปุสสะและภัลลิกะ เดินทางจากอุกกลชนบท จะไปยัง เพราะบาตรได้อันตรธานหายไปในวันรับข้าวปายาส พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงดำริว่า พระตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมไม่รับที่มือ เราจะรับที่อะไรหนอ. ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์จากทิศทั้ง ๔ รู้พระดำริของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงน้อมถวายบาตรทั้งหลายอันแล้วด้วยแก้วอินทนิล พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงรับบาตรเหล่านั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงน้อมถวายบาตร ๔ ใบ อันแล้วด้วยศิลามีสีดังถั่วเขียว เพื่อจะทรงอนุรักษ์ศรัทธาของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงทรงรับบาตรแม้ทั้ง ๔ ใบ ทรงวางซ้อนๆ กันแล้วทรงอธิษฐานว่า จงเป็นบาตรใบเดียว บาตรทั้ง ๔ ใบจึงมีรอยปรากฏอยู่ที่ขอบปาก รวมเข้าเป็นใบเดียวกัน โดยประมาณบาตรขนาดกลาง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับพระกระยาหารที่บาตรอันล้วนด้วยศิลามีค่ามากนั้น เสวยแล้วได้ทรงกระทำอนุโมทนา. พาณิชพี่น้องสองคนนั้นถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นสรณะ ได้เป็นทฺเว ลำดับนั้น พาณิชทั้งสองคนนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเอาพระหัตถ์ขวาลูบพระเศียรของพระองค์ แล้วได้ประทานพระเกศธาตุทั้งหลายให้ไป. พาณิชทั้งสองนั้นบรรจุพระเกศธาตุเหล่านั้นไว้ภายในผอบทองคำ ประ ก็จำเดิมแต่นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับไปยังต้นอชปาลนิโครธอีก แล้วประทับนั่งอยู่ที่ควงต้นนิโครธ. ครั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นพอประทับนั่งที่ควงต้นนิโครธนั้นเท่านั้น ทรงพิจารณาถึงความที่ธรรมอันพระองค์ทรงบรรลุแล้วเป็นธรรมลึกซึ้ง ความตรึกอันพระ ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทรงดำริว่า ท่านผู้เจริญ โลกจักพินาศหนอ ท่านผู้เจริญ โลกจักพินาศหนอ จึงทรงพาท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมานรดี ท้าววสวัตดีและท้าวมหาพรหมทั้งหลายจากหมื่น พระศาสดาทรงให้ปฏิญญาแก่ท้าวสหัมบดีพรหมนั้น แล้วทรงดำริอยู่ว่า เราควรแสดงธรรมกัณฑ์แรกแก่ใครหนอ ทรงยังพระดำริให้เกิด ขึ้นว่าอาฬารดาบสเป็นบัณฑิต เธอจักรู้ธรรมนี้ได้เร็วพลัน จึงทรงตรวจดูอีก ทรงทราบว่าอาฬารดาบสนั้นกระทำกาละได้ ๗ วันแล้ว จึงทรงรำพึงถึงอุทกดาบส ได้ทรงทราบว่า แม้อุทกดาบสนั้นก็ได้กระทำกาละเสียเมื่อพลบค่ำวานนี้ จึงทรง พระปัญจวัคคีย์เห็นพระตถาคตเสด็จมาแต่ไกล ได้กระทำกติกากันว่า นี่แน่ะ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงรำพึงว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านี้คิดกันอย่างไรหนอ ก็ได้ทราบ ลำดับนั้น พระองค์จึงทรงประมวลเมตตาจิตอันสามารถแผ่ไปด้วยอำนาจการแผ่ไปโดยไม่เจาะจง ในเทวดาและมนุษย์ทั้งมวล แล้วทรงแผ่เมตตาจิตไปในพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้นด้วยอำนาจการแผ่โดยเจาะจง. พระปัญจวัคคีย์เหล่านั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้สัมผัสด้วยเมตตาจิตแล้ว เมื่อพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าไปใกล้ ไม่อาจดำรงอยู่ตามกติกาของตน ได้พากันลุกขึ้นทำกิจทั้งปวงมีการอภิวาทเป็นต้น แต่ไม่รู้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงร้องเรียกพระ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระปัญจวัคคีย์เหล่านั้นรู้ว่า พระองค์เป็นพระ บรรดาพระเถระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น พระโกณฑัญญเถระส่งญาณไปตามกระแสแห่งเทศนา ในเวลาจบพระสูตรก็ได้ดำรงอยู่ในโสดา พระศาสดาทรงเข้าจำพรรษาอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้นนั่นเอง ในวันรุ่งขึ้น ประทับนั่งทรงโอวาทพระวัปปเถระ อยู่ในวิหารนั่นแล พระเถระที่เหลือทั้ง ๔ รูปเที่ยวบิณฑบาต. ในเวลาเช้านั่นเอง พระวัปปเถระก็บรรลุพระโสดาปัตติผล โดยวิธีนี้นั่นแล ทรงให้พระเถระทั้งหมดดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล คือวันรุ่งขึ้นให้พระภัททิยเถระบรรลุ วันรุ่งขึ้นให้พระมหานามเถระบรรลุ วันรุ่งขึ้นให้พระอัสสชิเถระบรรลุ. ครั้นในดิถีที่ ๕ แห่งปักษ์ ให้พระเถระทั้ง ๕ ประชุมกันแล้วทรงแสดงอนัตต ครั้งนั้น พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของยสกุลบุตร ตรัสเรียกเขาผู้เบื่อ ก็เมื่อพระอรหันต์ ๖๑ องค์เกิดขึ้นในโลกด้วยประการอย่างนี้แล้ว. พระศาสดาทรงออกพรรษาปวารณาแล้ว ทรงส่งภิกษุ ๖๐ รูปไปในทิศทั้งหลายด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไปดังนี้เป็นต้น ส่วนพระองค์เสด็จไปยังอุรุเวลาประเทศ ในระหว่างทางทรงแนะนำ บรรดาภัททวัคคีย์กุมารเหล่านั้น คนสุดท้ายเขาทั้งหมดได้เป็นพระโสดาบัน คนเหนือกว่าเขาทั้งหมดได้เป็นพระอนาคามี พระ ลำดับนั้น พราหมณ์และคหบดีเหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พระมหาสมณะประพฤติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพราหมณ์และคหบดีเหล่านั้นด้วยพระหทัย จึงตรัสกะพระอุรุเวลกัสสปะ ด้วยพระคาถาว่า ดูก่อนกัสสปะ เธออยู่ในตำบลอุรุเวลามานาน ซูบผอม เพราะกำลังพรต เป็นผู้กล่าวสอนประชาชน เห็นโทษอะไร หรือจึงละไปเสีย เราถามเนื้อความนี้กะเธอ อย่างไรเธอจึง ละการบูชาไฟเสียเล่า. ฝ่ายพระเถระก็ทราบความประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวคาถานี้ว่า ยัญทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น รส ที่น่าใคร่ และหญิงทั้งหลาย ข้าพระองค์รู้ว่า นี้เป็นมลทิน ในอุปธิทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ยินดีในการ เซ่นสรวงและการบูชา ดังนี้. เพื่อจะประกาศความที่ตนเป็นสาวก จึงซบศีรษะลงที่หลังพระบาทของพระตถาคตแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ดังนี้แล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส ๗ ครั้ง คือ ๑ ชั่วลำตาล ๒ ชั่วลำตาล ๓ ชั่วลำตาลจนกระทั่งประมาณ ๗ ชั่วลำตาล แล้วลงมาถวายบังคมพระตถาคต แล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. มหาชนได้เห็นปาฏิหาริย์ดังนั้น จึงกล่าวเฉพาะกถาสรรเสริญพระคุณของพระศาสดาเท่านั้นว่า น่าอัศจรรย์ พระ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราไม่ได้ทรมานอุรุเวลกัสสปะแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในอดีตกาล อุรุเวลกัสสปะนี้เราก็ได้ทรมานแล้ว เพราะเหตุเกิดเรื่องนี้ขึ้น จึงตรัสมหา พระราชาพร้อมกับบริวาร ๑๑ นหุต ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล บริวาร ๑ นหุตประกาศความเป็นอุบาสก. พระราชาประทับนั่งอยู่ในสำนักของพระศาสดานั่นเอง ทรงประกาศความสบายพระทัย ๕ ประการแล้วทรงถึงสรณะ ทรงนิมนต์เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ แล้วเสด็จลุกขึ้นจากอาสน์ กระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเสด็จหลีกไป. วันรุ่งขึ้น พวกชนชาวเมืองราชคฤห์ทั้งสิ้นนับได้ ๑๘ โกฏิ ทั้งที่ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเมื่อวันวานกับทั้งที่ไม่ได้เห็น ต่างมีความประสงค์จะเห็นพระตถาคต จึงพากันจากเมืองราชคฤห์ไปยังลัฏฐิวันอุทยานแต่เช้าตรู่. หนทาง ๓ คาวุตไม่พอจะเดิน. ลัฏฐิวันอุทยานทั้งสิ้นแน่นขนัด. มหาชนแม้เห็นพระอัตภาพอันถึงความงามเลิศแห่งพระรูปโฉมของ้พระทศพล ก็ไม่ จริงอยู่ ในฐานะเห็นปานนี้พึงพรรณนาความสง่าแห่งพระรูปกายแม้ทั้งหมด อันมีประเภทแห่งพระลักษณะและพระอนุพยัญชนะเป็นต้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า. เมื่ออุทยานและทางเดินแน่นขนัด ด้วยมหาชนผู้จะดูพระสรีระของพระทศพล อันถึงความงามเลิศด้วยพระรูปโฉมอย่างนี้ แม้ภิกษุรูปเดียวก็ไม่มีโอกาสออกไปได้. นัยว่า วันนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจะต้องขาดพระกระยาหาร เพราะฉะนั้น อาสนะที่ท้าวสักกะประทับนั่ง จึงแสดงอาการร้อนอันมีเหตุให้รู้ว่าข้อนั้นอย่าได้มีเลย. ท้าวสักกะทรงรำพึงดูรู้เหตุนั้นแล้ว จึงนิรมิตเพศเป็นมาณพน้อย กล่าวคำสดุดีอันประกอบด้วยพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เสด็จลงเบื้องพระพักตร์ของพระทศพล กระทำที่ว่างด้วยเทวานุภาพ เสด็จไปเบื้องหน้ากล่าวคุณของพระศาสดา ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามีวรรณะงามดุจลิ่มทองสิงคี ผู้ทรง ฝึกแล้ว ทรงหลุดพ้นแล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์ พร้อมกับพระ ปุราณชฎิลผู้ฝึกตนได้แล้ว ผู้หลุดพ้นแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้ามีวรรณะงามดุจลิ่มทองสิงคี ผู้หลุด พ้นแล้ว ทรงข้ามได้แล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์ พร้อมกับพระ ปุราณชฎิลผู้พ้นแล้ว ผู้ข้ามได้แล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้ามีวรรณะงามดุจลิ่มทองสิงคี ผู้สงบ แล้ว ทรงสงบแล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์ พร้อมกับพระปุราณ ชฎิล ผู้สงบแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีธรรมเครื่องอยู่ ๑๐ มีพระ กำลัง ๑๐ ทรงรู้แจ้งธรรม ๑๐ และประกอบด้วยพระคุณ ๑๐ มีบริวารหนึ่งพัน เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์แล้ว ดังนี้. ในกาลนั้น มหาชนเห็นความสง่าแห่งรูปของมาณพน้อยแล้วคิดว่า มาณพน้อยผู้นี้มีรูปงามยิ่งหนอ ก็พวกเราไม่เคยเห็นเลย จึงกล่าวว่า มาณพน้อยผู้นี้มาจากไหน หรือว่ามาณพน้อยผู้นี้เป็นของใคร. มาณพได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาว่า พระสุคตเจ้าพระองค์ใด ทรงเป็นปราชญ์ ทรงฝึกพระองค์ ได้ในที่ทั้งปวง บริสุทธิ์ ไม่มีบุคคลเปรียบปาน เป็นพระอรหันต์ ในโลก เราเป็นคนรับใช้ของพระสุคตเจ้าพระองค์นั้น ดังนี้. พระศาสดาเสด็จดำเนินตามทาง ซึ่งมีช่องว่างที่ท้าวสักกะกระทำไว้อันภิกษุหนึ่งพันแวดล้อมเสด็จเข้ากรุงราชคฤห์. พระราชาถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้ว เมื่อทรงรับพระเวฬุวันอุทยานนั้นนั่นแล มหาปฐพีได้หวั่นไหวซึ่งมีอันให้รู้ว่า มูลรากของพระพุทธศาสนาได้หยั่งลงแล้ว. จริงอยู่ ในพื้นชมพูทวีป ยกเว้นพระเวฬุวันเสีย ชื่อว่าเสนาสนะอื่นที่ทรงรับแล้ว มหาปฐพีไหว ไม่มีเลย. แม้ในตามพปัณณิทวีปคือเกาะลังกา ยกเว้นมหาวิหารเสีย ชื่อว่าเสนาสนะอื่นที่รับแล้วแผ่นดินไหว ก็ย่อมไม่มี. พระศาสดาครั้นทรงรับพระเวฬุวนารามแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนาแก่พระราชาแล้ว เสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ อันภิกษุสงฆ์แวดล้อมเสด็จไปยังพระเวฬุวัน. ก็สมัยนั้นแล ปริพาชกสองคนคือสารีบุตรและโมคคัลลานะ อาศัยกรุงราชคฤห์แสวงหาอมตธรรมอยู่. ในปริพาชกสองคนนั้น สารีบุตรปริพาชกเห็นพระอัสสชิเถระเข้าไปบิณฑบาตมีจิตเลื่อมใส จึงเข้าไปนั่งใกล้ฟังคาถามีอาทิว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ดังนี้ ได้ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล แล้วได้กล่าวคาถานั้นนั่นแหละแก่โมค |