บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
แม้ท่านพระอนุรุทธเถระนี้ ก็ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทั้งหลาย ก่อสร้างบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ อันสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ. พอเจริญวัยแล้ว วันหนึ่ง ไปวิหารฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง พระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเลิศแห่งภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์ แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงยังมหาทานให้เป็นไป ๗ วันแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งมีภิกษุบริวารแสนหนึ่ง ในวันที่ ๗ ได้ถวายผ้าชั้นสูงสุดแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ แล้วได้ทำความปรารถนาไว้. ฝ่ายพระศาสดาก็ได้ทรงเห็นความสำเร็จของเขาโดยไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่า จักเป็นผู้เลิศแห่งผู้มีทิพยจักษุทั้งหลาย ใน ศาสนาของพระ แม้เขาก็กระทำบุญทั้งหลายในพระศาสนานั้น เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ได้ทำการบูชาด้วยประทีปอันโอฬารที่สถูปทองขนาด ๗ โยชน์ด้วยประทีปต้นและประทีปกระเบื้องกับถาดสำริดเป็นอันมาก ด้วย เขากระทำบุญทั้งหลายอยู่ตลอดชีวิต ด้วยประการอย่างนี้ ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป บรรลุความเป็นผู้รู้เดียงสาในเรือนของกุฎุมพี ณ นครพาราณสี. เมื่อพระศาสดาปรินิพพาน เมื่อสถูปทองขนาด ๑ โยชน์สำเร็จแล้ว จึงเอาถาดสำริดจำนวนมากมาบรรจุให้เต็มด้วยเนยใสอันใสแจ๋วและให้วางก้อนน้ำอ้อยงบก้อนหนึ่งๆ ไว้ตรงกลาง ให้ขอบปากกับขอบปากจรดกัน แล้วให้ตั้งล้อมพระเจดีย์. ให้เอาถาดสำริดที่ตนถือบรรจุด้วยเนยใสอันใสแจ๋วให้เต็ม จุดไฟพันไส้แล้ววางใว้บนศีรษะ เดินเวียนพระเจดีย์อยู่ตลอดคืน. ในอัตภาพแม้นั้นก็กระทำกุศลอย่างนั้นจนตลอดชีวิต แล้วบังเกิดใน เขาได้มีชื่อว่า อันนภาระ. นายอันนภาระนั้นกระทำการงานเลี้ยงชีวิตอยู่ในเรือนของเศรษฐีชื่อว่าสุมนะ. วันหนึ่ง เขาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะ ออกจากนิโรธสมาบัติ เหาะมาจากภูเขาคันธมาทน์ ลงที่ประตูเมืองพาราณสี ห่มจีวรแล้วบิณฑบาตในนคร มีใจเลื่อมใส จึงรับบาตรแล้วใส่ภัตอันเป็นส่วนแบ่งที่เขาเก็บไว้เพื่อประโยชน์แก่ตน เริ่มประสงค์จะถวายแก่พระ ฝ่ายภรรยาของเขาก็ใส่ภัตอันเป็นส่วนแบ่งของตนลงในบาตรนั้นเหมือนกัน เขาจึงนำบาตรนั้นไปวางไว้ในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า. พระปัจเจกพุทธเจ้ารับบาตรนั้น กระทำอนุโมทนาแล้วหลีกไป. วันนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ที่ฉัตรของสุมนเศรษฐี อนุโมทนาด้วยเสียงอันดังว่า โอ! ทาน เป็นทานอย่างยิ่ง อัน สุมนเศรษฐีได้ฟังดังนั้นคิดว่า ทานนี้เท่านั้นอันเทวดาอนุโมทนาอย่างนี้ ย่อมเป็นอุดมทาน จึงขอส่วนบุญในทานนั้น. ฝ่ายนายอันนภาระก็ได้ให้ส่วนบุญแก่สุมนเศรษฐีนั้น ด้วยเหตุนั้น สุมนเศรษฐีจึงมีใจเลื่อมใสให้ทรัพย์เขาพันหนึ่ง แล้วกล่าวว่า จำเดิมแต่นี้ไป กิจด้วยการทำการงานด้วยมือของตน ย่อมไม่มีแก่ท่าน ท่านจงกระทำเรือนให้เหมาะสมแล้วอยู่ประจำเถิด. เพราะเหตุที่บิณฑบาตอันบุคคลถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ ย่อมมีวิบากอันโอฬารในวันนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น สุมนเศรษฐีเมื่อจะไปเฝ้าพระราชา ได้พาเอานายอันนภาระนั้นไปด้วย. ฝ่ายพระราชาทอดพระเนตรดูนายอันนภาระนั้นโดยเอื้อเฟื้อ. เศรษฐี พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น ทรงยินดีแก่เขา ได้ประทานทรัพย์พันหนึ่ง แล้วทรงสั่งสถานที่สร้างเรือนแก่เขาว่า เธอจงสร้างเรือนอยู่ในที่โน้น. เมื่อนายอันนภาระนั้นให้ชำระสถานที่นั้นอยู่ หม้อขุมทรัพย์ใหญ่ๆ หลาย พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น นายอันนภาระนี้จงเป็นเศรษฐีชื่อว่า เขาเป็นเศรษฐีแล้วกระทำกรรมอันงามอยู่ชั่วอายุ แล้วบังเกิดในเทวโลกท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ตลอดกาลนาน ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้น จึงถือปฏิสนธิในวังของพระเจ้าสุกโกทนศากยะในนครกบิลพัสดุ์. พระญาติทั้งหลายได้ขนานนามแก่เขาผู้เกิดแล้วว่า อนุรุทธะ. เจ้าอนุรุทธะนั้นเป็นพระกนิษฐภาดาของพระเจ้ามหานามศากยะ เป็นโอรสของพระเจ้าอาแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เป็นผู้มีปัญญามาก. ก็พระกระยาหารของพระองค์เกิดขึ้นเฉพาะในถาดทองเท่านั้น. ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระมารดาของพระองค์ทรงดำริว่า บุตรของเราย่อมไม่รู้บทว่า "ไม่มี" เราจักให้เขารู้ จึงเอาถาดทองใบหนึ่งปิด ถาดทองเปล่าๆ ใบหนึ่ง แล้วส่งไปให้แก่เธอ, ในระหว่างทาง เทวดาทั้งหลายทำถาดทองนั้นให้เต็มด้วยขนมทิพย์. เจ้าอนุรุทธะนั้นมีบุญมากอย่างนี้ อันเหล่าหญิงฟ้อนรำผู้ประดับประดาแวดล้อม เสวยสมบัติใหญ่อยู่ในปราสาท ๓ หลังอันเหมาะแก่ฤดูทั้ง ๓ ประดุจเทวดา. พระโพธิสัตว์แม้ของเราทั้งหลายจุติจากดุสิตบุรีในสมัยนั้น บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงถึงความเจริญวัยโดยลำดับ ประทับอยู่ท่ามกลางเรือน ๒๙ พรรษา แล้วเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณโดยลำดับ ทรงยับยั้งอยู่ที่โพธิมัณฑสถาน ๗ สัปดาห์ แล้วทรง ในกาลนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงส่งอำมาตย์ ๑๐ คนมีบริวารคนละพันไปด้วยพระดำรัสว่า ได้ยินว่า บุตรของเราถึงนครราชคฤห์โดยลำดับแล้ว นี่แน่ะนาย ท่านทั้งหลายจงไปนำบุตรของเรามา. อำมาตย์เหล่านั้นทั้งหมดพากันบรรพชาด้วยเอหิภิกขุบรรพชา. บรรดาอำมาตย์เหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพระอุทายีเถระทูลอาราธนาขอให้เสด็จจาริกไป ทรงแวดล้อมด้วยพระขีณาสพสองหมื่น เสด็จออกจากนครราชคฤห์ถึงกบิลพัสดุ์บุรี แล้วทรงแสดงปาฏิหาริย์มิใช่น้อยในสมาคมพระญาติ แล้วตรัสธรรมเทศนาอันวิจิตรงดงามด้วยปาฏิหาริย์ ยังมหาชนให้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. ในวันที่สอง ทรงถือบาตรและจีวรประทับยืนที่ประตูพระนคร ทรงพระรำพึงว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เสด็จมาถึงนครของตระกูลแล้ว ทรงประพฤติอย่างไรหนอ ทรงทราบว่า ประพฤติเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอก จึงเสด็จเที่ยวบิณฑ พระราชาทรงทราบว่า พระโอรสของพระองค์เที่ยวบิณฑบาตจึงรีบด่วนเสด็จมา ได้ทรงสดับธรรมในระหว่างถนน จึงนิมนต์ให้เสด็จเข้าในนิเวศน์ของ สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราชรับสั่งให้ประชุมหมู่เจ้าศากยะแล้วตรัสว่า ถ้าบุตรของเราจักครองเรือนแล้ว จักได้เป็นพระเจ้าจักร เมื่อพระเจ้าสุทโธทน สมัยนั้น เจ้ามหานามศากยะทรงเป็นเจ้าทรัพย์ ท้าวเธอจึงเสด็จเข้าไปหาเจ้าอนุรุทธศากยะผู้เป็นพระกนิษฐาของพระองค์ แล้วได้ตรัสคำนี้ว่า พ่ออนุรุทธะ บัดนี้ ศากยกุมารผู้มีชื่อเสียงปรากฏพากันบวชตามพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงผนวชแล้ว ก็ใครๆ จากตระกูลของพวกเรา ผู้ จะออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่มีเหย้าเรือน ย่อมไม่มี ถ้าอย่างนั้น เธอจงบวชหรือพี่จักบวช. เจ้าอนุรุทธะได้ฟังดังนั้น ไม่ยินดีในการครองเรือนมีตนเป็นที่ ๗ ออกจากเรือนเป็นผู้ไม่มีเหย้าเรือน. ลำดับแห่งการบรรพชาของเจ้าอนุรุทธะนั้น มาแล้วในสังฆเภทกขันธกะนั่นแล. ก็บรรดาเจ้าศากยะเหล่านั้นผู้ไปยังอนุปิยอัมพวันแล้วบวชอย่างนั้น พระภัททิยเถระบรรลุพระอรหัตในภายในพรรษานั้นนั่นเอง. พระอนุรุทธเถระทำทิพยจักษุให้บังเกิด พระเทวทัตทำสมาบัติ ๘ ให้บังเกิด พระอานันทเถระตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล พระภคุเถระและพระกิมพิลเถระบรรลุพระอรหัตในภายหลัง. อภินีหารแห่งความปรารถนาในชาติก่อน ของพระเถระแม้ทั้งหมดนั้น จักมีแจ้งใน พระอนุรุทธเถระนี้เรียนพระกรรมฐานในสำนักของพระ พระศาสดาทรงทราบว่า พระอนุรุทธะลำบากในมหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ จึงทรงดำริว่า เราจักทำความดำริของอนุรุทธะให้บริบูรณ์ จึงเสด็จไปในที่นั้น ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาลาดไว้ ตรัสอริยวังสปฏิปทาอันประดับด้วยการอบรมสันโดษในปัจจัย ๔ เป็นที่มายินดี ทรงทำมหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ ให้บริบูรณ์ แล้วเหาะขึ้นสู่อากาศเสด็จไปเฉพาะเภสกลาวันนั่นแล. พระเถระ พอเมื่อพระศาสดาเสด็จไปแล้วเท่านั้น ได้เป็นพระมหาขีณาสพมีวิชชา ๓ คิดว่า พระศาสดาทรงทราบใจของเราจึงได้เสด็จมาประทานมหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ ให้บริบูรณ์ ก็มโนรถของเรานั้นถึงที่สุดแล้วได้ปรารภพระธรรมเทศนาของพระ พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงรู้ความดำริของเรา ได้เสด็จเข้าไปหาด้วยพระฤทธิ์ทางกายอันสำเร็จด้วยใจ เรา ได้มีความดำริในกาลใด ในกาลนั้น ได้ทรงแสดงให้ยิ่งกว่า นั้น. พระพุทธเจ้าผู้ยินดีในธรรมอันไม่มีความเนิ่นช้า ได้ ทรงแสดงธรรมอันไม่มีความเนิ่นช้า เรารู้ทั่วถึงธรรมของ พระองค์ ยินดีในพระศาสนาอยู่ วิชชา ๓ เราบรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราทำเสร็จแล้ว. ครั้นในกาลต่อมา พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงตั้งพระอนุรุทธเถระนั้นไว้ในตำแหน่งอันเลิศว่า อนุรุทธะเป็นเลิศแห่งภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์. พระอนุรุทธเถระนั้น ครั้นได้ตำแหน่งเลิศแห่งภิกษุผู้มีจักษุทิพย์จากสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้แล้ว ระลึกถึงบุรพกรรมของตน เมื่อจะประกาศ ในคำนั่นเชื่อมความว่า เมธาดี กล่าวคือปัญญาในการให้เข้าไปคอยปฏิบัติ ปัญญาในมรรคผล ปัญญาในวิปัสสนาและปฏิสัมภิทาเป็นต้น มีอยู่แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าใด พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ชื่อว่าสุเมธะผู้มีปัญญาดี, เราได้เห็นพระสุเมธะนั้นชื่อว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะทรงถึงพร้อมด้วยภาคยะคือบุญ ผู้เจริญที่สุดคือประเสริฐสุด ได้แก่เป็นประธานของโลก คือทรงออกจากสงสารก่อน ผู้องอาจคือไปเบื้องหน้าแห่งนรชนทั้งหลาย ผู้หลีกออก คือเป็นผู้สงัด ได้แก่ผู้ปราศจากความยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะอยู่. ความว่า เข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ชื่อว่าสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงด้วยพระองค์เอง. บทว่า อญฺชลึ ปคฺคเหตฺวาน ความว่า ประนมนิ้วทั้ง ๑๐ ไว้เหนือศีรษะ. คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น. บทว่า ทิวา รตฺติญฺจ ปสฺสามิ ความว่า ในกาลนั้น คือในกาลเกิดขึ้นใน บทว่า สหสฺสโลกํ ญาเณน ความว่า เราแลเห็นตลอดพันจักรวาลด้วย บทว่า สตฺถุ สาสเน ได้แก่ ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาม นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป คือบูชาด้วยประทีป อธิบายว่า ด้วยผลนี้ เราจึงบรรลุ คือได้ทำทิพยจักษุให้เกิดขึ้น. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค ๖. อนุรุทธเถราปทาน (๔) จบ. |