บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ในกัปหนึ่ง สุดท้ายสามหมื่นกัปนับแต่กัปนี้ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดสองพระองค์ คือ พระสุเมธะและพระสุชาตะ. ในสองพระองค์นั้น พระโพธิสัตว์นามว่าสุเมธะ ผู้บรรลุเมธาปัญญาแล้ว บำเพ็ญบารมีทั้งหลาย บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้นแล้วก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุทัตตาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าสุทัตตะ กรุงสุทัสสนะ ถ้วนกำหนดทศมาสก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ สุทัสสนราชอุทยาน ประหนึ่งดวงทินกรอ่อนๆ ลอดหลืบเมฆ ฉะนั้น. พระองค์ครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี เขาว่าทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่าสุจันทนะ สุกัญจนะและสิริวัฒนะ ปรากฏมีพระสนมนารีสามหมื่นแปดพันนางมีพระนางสุมนามหาเทวีเป็นประมุข. พระสุเมธกุมารนั้น เมื่อพระโอรสของพระนางสุมนาเทวี พระนามว่าปุนัพพสุมิตตะ ทรงสมภพ ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง ทรงผนวช. มนุษย์ร้อยโกฏิก็บวชตาม. พระองค์อันมนุษย์เหล่านั้นแวดล้อมแล้วทรงทำความเพียร ๘ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดานกุลเศรษฐี ณ นกุลนิคม ถวายแล้ว ทรง ทรงยับยั้งใกล้ๆ โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ ในสัปดาห์ที่ ๘ ทรงรับอาราธนาแสดงธรรมของท้าวมหา ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ต่อจากสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า มีพระพุทธ เจ้าพระนามว่าสุเมธ ผู้นำ ผู้ที่เข้าเฝ้ายาก มีพระเดชยิ่ง เป็นพระมุนี สูงสุดแห่งโลกทั้งปวง. พระองค์มีพระเนตรผ่องใส พระพักตร์งาม พระวร- กายใหญ่ ตรง สดใส ทรงแสวงประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ทรงเปลื้องสัตว์เป็นอันมาก จากเครื่องผูก. ครั้งพระพุทธเจ้าทรงบรรลุพระโพธิญาณ อันสูง สุดสิ้นเชิง ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงสุทัสสนะ. อภิสมัยในการทรงแสดงธรรมแม้ของพระองค์ ก็ มี ๓ ครั้ง อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ. แก้อรรถ บทว่า ปสนฺนเนตฺโต ได้แก่ มีพระนัยนาใสสนิท พระเนตรใสเหมือนก้อนแก้วมณี ที่เขาชำระขัดวางไว้ เพราะฉะนั้นพระองค์เขาจึงเรียกว่า ผู้มีพระเนตรใส. อธิบายว่า มีพระนัยนาประกอบด้วย ขนตาอันอ่อนน่ารักเขียวไร้มลทินและละเอียด จะกล่าวว่า สุปฺปสนฺนปญฺจนยโน มีพระจักษุ ๕ ผ่องใสดี ดังนี้ก็ควร. บทว่า สุมุโข ได้แก่ มีพระพักตร์เสมือนดวงจันทร์เต็มดวงในฤดูสารท. บทว่า พฺรหา ได้แก่ พรหาคือใหญ่ เพราะทรงมีพระสรีระขนาด ๘๘ ศอก. อธิบายว่า ขนาดพระสรีระไม่ทั่วไปกับคนอื่นๆ. บทว่า อุชุ ได้แก่ มีพระองค์ตรงเหมือนพรหม คือมีพระสรีระสูงตรงขึ้นนั่นเอง. อธิบายว่า มีพระวรกายเสมือนเสาระเนียดทอง ที่เขายกขึ้นกลางเทพนคร. บทว่า ปตาปวา ได้มีพระสรีระรุ่งเรือง. บทว่า หิเตสี แปลว่า แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล. บทว่า อภิสมยา ตีณิ ก็คือ อภิเสมยา ตโย อภิสมัย ๓ ทำเป็น ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติตอนย่ำรุ่ง ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ทรงตรวจดูโลก ก็เห็นยักษ์กินคนชื่อกุมภกรรณ มีอานุภาพเสมือนกุมภกรรณ ปรากฏเรือนร่างร้ายอยู่ปากดงใหญ่ คอยดักตัดการสัญจรทางเข้าดงอยู่ แต่ลำพังพระองค์ไม่มีสหาย เสด็จเข้าไปยังภพของยักษ์ตนนั้น เข้าไปข้างใน ประทับนั่งบนที่ไสยาสน์อันมีสิริ. ลำดับนั้น ยักษ์ตนนั้นทนการลบหลู่ไม่ได้ ก็กริ้วโกรธเหมือนงูมีพิษร้ายแรง ถูกตีด้วยไม้ ประสงค์จะขู่พระทศพลให้กลัวจึงทำอัตภาพของตนให้ร้ายกาจ ทำศีรษะเหมือนภูเขาเนรมิตดวงตาทั้งสองเหมือนดวงอาทิตย์ ทำเขี้ยวคมยาวใหญ่อย่างกับหัวคันไถ มีท้องเขียวใหญ่ยาน มีแขนอย่างกะลำต้นตาลมีจมูกแบนวิกลและคด มี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำยักษ์ตนนั้นเข้าสู่วินัยด้วยทรงพยากรณ์ปัญหา. เขาว่า วันที่ ๒ จากวันนั้น พวกมนุษย์ชาวแคว้นนำเอาราชกุมารพร้อมด้วยภัตตาหารที่บรรทุกมาเต็มเกวียน มอบให้ยักษ์ตนนั้น. ครั้งนั้น ยักษ์ได้ถวายพระราชกุมารแด่พระพุทธเจ้า พวกมนุษย์ที่อยู่ประตูดงก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. ครั้งนั้น ในสมาคมนั้น พระทศพลเมื่อจะทรงแสดงธรรมอันเหมาะแก่ใจของยักษ์ ทรงยังธรรมจักษุให้เกิดแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ นั้นเป็น ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า วันรุ่งขึ้น พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงทรมาน ยักษ์กุมภกรรณ อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่น โกฏิ. ครั้งที่ทรงประกาศสัจจะ ๔ ณ สิรินันทราช อุทยาน อุปการีนคร ธรรมา ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ต่อมาอีก พระผู้มีพระยศหาประมาณมิได้ ก็ทรง ประกาศสัจจะ ๔ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปด หมื่นโกฏิ. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าสุเมธะก็ทรงมีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง ในสันนิบาตครั้งที่ ๑ ณ กรุงสุทัสสนะ มีพระขีณาสพร้อยโกฏิ. ในสันนิบาตครั้งที่ ๒ เมื่อพวก ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีสันนิบาต ประชุมสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบคงที่ ๓ ครั้ง. ครั้งพระชินพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปยังกรุงสุทัสสนะ ภิกษุขีณาสพร้อยโกฏิประชุมกัน. ต่อมา ครั้งภิกษุทั้งหลายช่วยกันกรานกฐิน ณ ภูเขาเทวกูฎ พระขีณาสพเก้าสิบโกฏิประชุมกัน เป็น สันนิบาตครั้งที่ ๒. ต่อมา ครั้งพระทศพลเสด็จจาริกไป พระขีณาสพ แปดสิบโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นมาณพที่เป็นยอดของคนทั้งปวง ชื่ออุต พระศาสดาแม้พระองค์นั้น เมื่อทรงทำอนุโมทนาโภชนทาน ก็ทรงพยากรณ์ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า สมัยนั้น เราเป็นมาณพชื่ออุตตระ เราสั่งสมทรัพย์ ไว้ในเรือนแปดสิบโกฏิ. เราถวายทรัพย์ทั้งหมดสิ้น แด่พระผู้นำโลกพร้อม ทั้งพระสงฆ์ ถึงพระองค์เป็นสรณะ และเราชอบใจการ บวชอย่างยิ่ง. พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อทรงทำอนุโมทนา ก็ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อ ล่วงไปสามหมื่นกัป. พระตถาคต ทรงตั้งความเพียร ฯลฯ จักอยู่ต่อ หน้าของท่านผู้นี้. พึงทำคาถาพยากรณ์ให้พิศดาร เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์. เราเล่าเรียนพระสูตรพระวินัย และนวังคสัตถุศาสน์ ทุกอย่าง ยังศาสนาของพระชินพุทธเจ้าให้งาม. เราไม่ประมาทในพระศาสนานั้น อยู่แต่ในอิริยาบถ นั่ง ยืน และเดิน ก็ถึงฝั่งแห่งอภิญญา เข้าถึงพรหมโลก. แก้อรรถ บทว่า เกวลํ แปลว่า ทั้งสิ้น. บทว่า สพฺพํ ได้แก่ ให้ไม่เหลือเลย. บทว่า สสงฺเฆ ก็คือ พร้อมกับพระสงฆ์. บทว่า ตสฺสูปคญฺฉึ ก็คือ ตํ อุปคญฺฉึ ฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถทุติยาวิภัตติ. บทว่า อภิโรจยึ ได้แก่ บวช. บทว่า ตึสกปฺปสหสฺสมฺหิ ความว่า เมื่อสามหมื่นกัปล่วงแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าสุเมธะทรงมีพระนครชื่อว่าสุทัสสนะ พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุทัตตะ พระชนนีพระนามว่าพระนางสุทัตตา คู่พระอัครสาวกชื่อว่าพระสรณะและพระสัพพกามะ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อพระสาคระ คู่พระอัครสาวิกาชื่อพระรามาและพระสุรามา โพธิพฤกษ์ชื่อมหานีปะคือต้นกะทุ่มใหญ่ พระสรีระสูง ๘๘ ศอก พระชนมายุเก้าหมื่นปี ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี พระอัครมเหสีพระนามว่าพระนางสุมนา พระโอรสพระนามว่าปุนัพพสุมิตตะ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง. คำที่เหลือปรากฏในคาถาทั้งหลาย ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี พระนครชื่อว่าสุทัสสนะ พระชนกพระนามว่าพระเจ้า สุทัตตะ พระชนนีพระนามว่าพระนางสุทัตตา. พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีพระ อัครสาวก ชื่อว่า พระสรณะ พระสัพพกามะ พระพุทธ- อุปัฏฐาก ชื่อว่าพระสาคระ. พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระรามา พระสุรามา โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นมหานีปะ คือต้นกะทุ่มใหญ่. พระมหามุนี สูง ๘๘ ศอก ทรงส่องสว่างทั่วทุกทิศ เหมือนดวงจันทร์ส่องสว่างในหมู่ดาว ฉะนั้น. ธรรมดามณีรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมส่อง สว่างไปได้โยชน์หนึ่ง ฉันใด รัตนะคือพระรัศมีของพระ สุเมธพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็แผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบ ฉันนั้นเหมือนกัน. ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์มีพระ ชนม์ยืนถึงเพียงนั้น ย่อมยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้าม โอฆสงสาร. พระศาสนานี้ เกลื่อนกล่นด้วยพระอรหันต์ ผู้มี วิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ ผู้ถึงกำลังคงที่ดี. พระอรหันต์เหล่านั้นทั้งหมด มียศที่หาประมาณ มิได้ หลุดพ้น ปราศจากอุปธิ ท่านผู้มียศใหญ่เหล่านั้น แสดงแสงสว่างคือญาณแล้ว ต่างก็นิพพานไป. แก้อรรถ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า จนฺโท ปณฺณรโส ยถา ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้น ความง่ายเหมือนกัน. บทว่า จกฺกวตฺติมณี นาม ความว่า มณีรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิ ยาว ๔ ศอก ใหญ่ บทว่า เตวิชฺชฉฬภิญฺเญหิ ความว่า ผู้มีวิชชา ๓ และอภิญญา ๖. บทว่า พลปฺปตฺเตหิ ได้แก่ ผู้ถึงกำลังแห่งฤทธิ์. บทว่า ตาทิหิ ได้แก่ ผู้ถึงความเป็นผู้คงที่. บทว่า สมากุลํ ได้แก่ เกลื่อนกล่น คือรุ่งเรืองด้วยผ้ากาสาวะอย่างเดียวกัน. ท่านกล่าวว่า อิทํ หมายถึง พระศาสนาหรือพื้นแผ่นดิน. บทว่า อมิตยสา ได้แก่ ผู้มีบริวารหาประมาณมิได้ หรือผู้มีเกียรติก้องที่ชั่งไม่ได้. บทว่า นิรูปธี ได้แก่ เว้นจากอุปธิ ๔. คำที่เหลือในคาถาทั้งหลายในที่นี้ทุกแห่ง ชัดแล้วทั้งนั้นแล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๑. สุเมธพุทธวงศ์ จบ. |