บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] ในขุททนิกายชื่อว่าปรมัตถทีปนี ขอความนอบน้อมจงมีแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น คันถารัมภกถา (กถาเริ่มแต่งคัมภีร์) พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณใหญ่พระองค์ใด ข้าพเจ้าขออภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้มี อานุภาพเป็นอจินไตย ผู้เป็นนายกเลิศของโลก. พระจริยาสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ นำสัตว์ ออกจากโลกด้วยพระธรรมใด ข้าพเจ้าขอนมัสการพระ ธรรมอันอุดมนั้น อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบูชาแล้ว. พระอริยสงฆ์ใด เป็นผู้ตั้งอยู่ในมรรคและผล สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อม พระอริยสงฆ์นั้น ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม. บุญใดเกิดแต่การนอบน้อมนมัสการพระรัตน- ตรัย ขอข้าพเจ้าจงปราศจากอันตราย ในที่ทั้งปวง ด้วยเดชแห่งบุญนั้น. บารมีใดมีทานบารมีเป็นต้น อันเป็นบารมีชั้น อุกฤษฏ์ซึ่งบุคคลทำได้ยาก อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงแสวงหาคุณใหญ่ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ในแคว้นสักกะ ทรงประกาศอานุภาพแห่งสัมโพธิ จริยาแห่งพระบารมีเหล่านั้น ทรงสะสมไว้ในภัทร กัปนี้. ปิฎกใด ชื่อว่าจริยาปิฎกอันพระโลกนาถทรง แสดงแล้วแก่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรผู้เป็นยอด แห่งพระสาวกทั้งปวง. พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายผู้แสวงหา คุณใหญ่ ได้ร้อยกรองปิฎกใดอันแสดงถึงเหตุสมบัติ ของพระศาสดา. การพรรณนาอรรถที่ทำได้ยาก ข้าพเจ้าสามารถ จะทำได้เพราะอาศัยนัยอันจำแนกสัมโพธิสมภารแห่ง ปิฎกนั้น. เพราะการพรรณนาอันเป็นคำสอนของพระ ศาสดา จะทรงอยู่ การวินิจฉัยของบุรพจารย์ผู้เป็น ดังสีหะ จะดำรงอยู่ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจะรักษาและยึด ปิฎกนั้นอันเป็นนัยแห่งอรรถกถาเก่า อาศัยชาดก โดยประการทั้งปวงเป็นที่อาศัยได้ มิใช่เป็นทาง แห่งคำพูด บริสุทธิ์ด้วยดี ไม่วุ่นวาย เป็นข้อวินิจฉัย อรรถอันละเอียดของพระเถระทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ ณ มหาวิหาร แล้วจักทำการพรรณนาอรรถแห่ง จริยาปิฎกนั้น แสดงพระบารมีอันมีเนื้อความที่ได้ แนะนำแล้ว และควรแนะนำต่อไป. ด้วยประการฉะนี้ ขอท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อหวังให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ตลอดกาลนาน จงพิจารณาอรรถแห่งปิฎกนั้น ซึ่งจำแนกไว้ฉะนี้แล. ในบทเหล่านั้นบทว่า จริยาปิฏกํ ชื่อว่าจริยาปิฎกด้วยอรรถว่าอย่างไร? ด้วยอรรถว่าเป็นตำราประกาศถึงพระจริยานุภาพของพระศาสดาในชาติที่เป็นอดีต. จริงอยู่ ปิฎกศัพท์นี้มีอรรถว่าตำรา ดุจในบทมีอาทิว่า มา ปิฎกสมฺปาทเนน อย่าเชื่อโดยอ้างตำรา. อีกอย่างหนึ่ง เพราะปริยัตินั้นเป็นดังภาชนะประกาศอานุภาพของพระจริยาทั้งหลาย ในชาติก่อนของพระศาสดานั้นเอง ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าจริยาปิฎก. จริงอยู่ แม้อรรถว่าภาชนะ ท่านก็แสดงถึงปิฎกศัพท์ ดุจในประโยคมีอาทิว่า อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย กุทาลปิฏกํ อาทาย ครั้นบุรุษเดินมาก็ถือเอาจอบและตะกร้ามาด้วย. อนึ่ง จริยาปิฎกที่นั้นนับเนื่องอยู่ในสุตตันตปิฎก ในปิฎก ๓ คือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก. นับเนื่องอยู่ในขุททกนิกายในนิกาย ๕ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตต สงเคราะห์เข้าในคาถา ในองค์แห่งคำสอน ๙ องค์ คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตะ เวทัลละ. สงเคราะห์เข้าในธรรมขันธ์เบ็ดเตล็ดในธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อันท่านผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริกได้ประกาศไว้อย่างนี้ว่า :- เราได้ถือธรรมที่ปรากฏแก่เราจากพระพุทธเจ้า ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จากภิกษุ ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์. โดยวรรคสงเคราะห์เข้าใน ๓ วรรค คือ อกิตติ คาถาต้นของอกิตติจริยานั้น มีอาทิว่า :- ความประพฤติทั้งหมด ในระหว่างสี่อสงไขยแสนกัป เป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณ. ต่อจากนี้ไปจะเป็นการพรรณนาอรรถของจริยาปิฎกนั้นตามลำดับ. นิทานกถา ฉะนั้น พึงทราบการจำแนกนิทานเหล่านั้น ดังต่อไปนี้. กถามรรคตั้งแต่พระมหาโพธิสัตว์ทรงสะสมบารมี ในศาสนาของพระทศพลพระนามว่าทีปังกรจนกระทั่งทรงอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต ชื่อว่าทูเรนิทาน. กถามรรคที่เป็นไปแล้วตั้งแต่สวรรค์ชั้นดุสิตจนถึงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ โพธิมณฑล ชื่อว่าอวิทูเรนิทาน. กถามรรคที่เป็นไปแล้วตั้งแต่มหาโพธิมณฑลจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ชื่อว่าสันติเกนิทาน. ในนิทาน ๓ อย่างนี้ เพราะทูเรนิทานและอวิทูเรนิทาน เป็นสรรพสาธารณะ ฉะนั้น นิทานเหล่านั้นพึงทราบโดยพิสดารตามนัยที่กล่าวไว้พิสดารแล้วในอรรถกถาชาดกนั่นแล. แต่ในสันติเกนิทานมีความต่างออกไป ดังนั้น พึงทราบกถาโดยสังเขปแห่งนิทานแม้ ๓ อย่าง ตั้งแต่ต้นดังต่อไปนี้. ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าทีปังกร พระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของโลก เป็นพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ สมควรแก่ เมื่อพระชนม์ ๒๙ พรรษา เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงเริ่มทำความเพียรใหญ่อยู่ถึง ๖ ปี ประทับนั่ง ณ โคนต้นโพธิในวันวิสาขบูรณมี เมื่อดวงอาทิตย์ตกทรงกำจัดมารและพลมาร ในปฐมยามทรงได้บุพเพนิวาสญาณ (ระลึกชาติได้) ในมัชฌิมยามทรงได้ทิพยจักษุ ในปัจฉิมยามทรงยังกิเลสพันห้าร้อยให้สิ้นไป ทรงบรรลุ แต่นั้นทรงประทับอยู่ ณ แถวๆ นั้นล่วงไป ๗ สัปดาห์ แล้วเสด็จไปยังป่า ครั้นต่อมาเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร เมื่อทรงตั้งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะไว้ในตำแหน่งพระอัครสาวก เมื่อเกิดสาวก พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงสดับว่า มีข่าวว่าพระโอรสของเราบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี แล้วได้บรรลุพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ทรงยังธรรมจักรอันบวรให้เป็นไป ทรงอาศัยกรุงราชคฤห์ประทับอยู่ดังนี้. จึงทรงส่งอำมาตย์ ๑๐ คนมีบุรุษหนึ่งหมื่นเป็นบริวารรับสั่งว่า พวกเจ้า จงนำโอรสของเรามา ณ ที่นี้. เมื่ออำมาตย์เหล่านั้นไปกรุงราชคฤห์แล้วได้ตั้งอยู่ในพระอรหัต เพราะพระ พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยพระขีณาสพสองหมื่นเสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ถึงกรุงกบิลพัสดุประมาณ ๖๐ โยชน์ เวลาสองเดือน. บรรดาเจ้าศากยะทั้งหลายทรงประชุมกันด้วยหวังพระทัยว่า จักเห็นพระญาติผู้ประเสริฐของพวกเรา จึงรับสั่งให้สร้างนิโครธารามเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเป็นที่อยู่ของภิกษุสงฆ์ ต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ทรงกระทำการต้อนรับทูลอาราธนาพระศาสดาให้เสด็จเข้าไปยังนิโครธาราม. ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยพระขีณาสพสองหมื่น ประทับเหนือพุทธาสนะอันประเสริฐที่เจ้าศากยะปูถวาย. เจ้าศากยะทั้งหลายทรงมานะจัดมิได้ทรงทำความเคารพ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอัธยาศัยของเจ้าศากยะเหล่านั้น แล้วทรงเข้าจตุตถฌานมีอภิญญาเป็นบาทเพื่อทำลายมานะ แล้วทำเจ้าศากยะเหล่านั้นให้เป็นภาชนะรองรับพระธรรมเทศนา ทรงออกจากสมาบัติเหาะไปสู่อากาศ ดุจเรี่ยรายฝุ่นพระบาทลงบนพระเศียรของเจ้าศากยะเหล่านั้น ได้ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์เช่นกับปาฏิหาริย์ที่พระองค์กระทำ ณ โคนต้นคัณฑมัพพฤกษ์. พระราชาทอดพระเนตรเห็นความอัศจรรย์นั้น ทรงดำริว่าโอรสนี้เป็นบุคคลเลิศในโลก. เมื่อพระราชาถวายบังคมแล้ว เจ้าศากยะทั้งหลายเหล่านั้นไม่อาจ นัยว่า ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ ได้ทรงกระทำปาฏิหาริย์เปิดโลก เมื่อปาฏิหาริย์เป็นไปอยู่พวกมนุษย์ยืนอยู่ก็ตาม นั่งอยู่ก็ตามในมนุษยโลก ย่อมเห็นแต่เทวดาสนทนาธรรมซึ่งกันและกัน ตั้งแต่สวรรค์ชั้น พวกเทวดาในหมื่นโลกธาตุ เข้าไปเฝ้าพระตถาคตด้วยเทวานุภาพอันยิ่งใหญ่ บังเกิดจิตอัศจรรย์อย่างไม่เคยมี ประคองอัญชลีนมัสการ พากันเข้าไปเฝ้า ต่าง ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :- ภุมมเทวดา จาตุมมหาราชิกาเทวดา พวกเทพ ชั้นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมิตเทพ ปรนิมมิตเทพ และหมู่พรหมกายิกา ต่างยินดีพากันบอกกล่าวป่าว ร้องแพร่หลาย. ก็ในครั้งนั้น พระทศพลทรงดำริว่า เราจักแสดงกำลังของพระพุทธเจ้าของพระองค์มิให้มีใครเปรียบได้ จึงเพิ่มพระมหากรุณาให้สูงขึ้น ทรงเนรมิตจงกรมในที่ประชุมหมื่นจักรวาฬบนอากาศ เสด็จยืน ณ ที่จงกรมสำเร็จด้วยแก้วทุกอย่างในเนื้อที่กว้าง ๑๒ โยชน์ ทรงแสดงปาฏิหาริย์แสดงถึงอานุภาพแห่งสมาธิและญาณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น น่าอัศจรรย์ ตกไปในที่แห่งเดียวกันของเทวดามนุษย์และผู้ไปในเวหาได้ เห็นกันตามที่กล่าวแล้ว เสด็จจงกรม ณ ที่จงกรมนั้น ทรงแสดงธรรมสมควรแก่อัธยาศัยของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ด้วยพระพุทธลีลาอันไม่มีที่เปรียบ อันมีอานุภาพที่เป็นอจินไตย. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :- เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้านี้เป็นผู้สูงสุดกว่าคนเป็นเช่นไร กำลัง ฤทธิ์และกำลังปัญญาเป็นเช่นไร กำลังของพระพุทธ เจ้าพึงเป็นประโยชน์แก่สัตวโลก เป็นเช่นไร เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้านี้เป็นผู้สูงสุดกว่าคนเป็นเช่นนี้ กำลัง ฤทธิ์และกำลังปัญญาเป็นเช่นนี้ กำลังพระพุทธเจ้า พึงเป็นประโยชน์แก่โลกเป็นเช่นนี้. เอาเถิด เราจักแสดงกำลังของพระพุทธเจ้า อันยอดเยี่ยม เราจักเนรมิตจงกรมประดับด้วยแก้ว บนท้องฟ้า. เมื่อพระตถาคตทรงแสดงปาฏิหาริย์ แสดงถึงพุทธานุภาพของพระองค์อย่างนี้แล้วทรงแสดงธรรม ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ยืนอยู่บนภูเขา ทันใดนั้นเองจึงมาทางอากาศด้วยฤทธิ์พร้อมกับบริวาร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประคองอัญชลีขึ้นเหนือศีรษะ กราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำท่านพระสารีบุตรนั้นให้เป็นกายสักขี สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :- พระสารีบุตรผู้มีปัญญามาก ฉลาดในสมาธิฌาน บรรลุบารมีด้วยปัญญา ย่อมทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นนายกแห่งโลกว่า ข้าแต่พระมหาวีระผู้สูงสุดกว่าคน อภินิหารของพระองค์เป็นเช่นไร ข้าแต่ท่านผู้ทรงปัญญา ในกาลไร ที่พระองค์ทรงปรารถนาความตรัสรู้อันอุดม. ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตาและอุเบกขาเป็นเช่นไร. ข้าแต่ท่านผู้ทรงปัญญา ผู้เป็นนายกแห่งสัตวโลก บารมี ๑๐ ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญแล้วเป็นเช่นไร. อุปบารมีเป็นอย่างไร ปรมัตถบารมีเป็นอย่างไร. พระองค์ผู้มีพระสุรเสียงไพเราะ ดุจนกการะเวก ข้าพระองค์เมื่อจะยังหทัยให้เยือกเย็น ยังมนุษย์พร้อม ด้วยเทวดาให้รื่นเริง จึงทูลถามขอพระองค์ทรงพยากรณ์ แก่ข้าพระองค์เถิด. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพุทธวงศ์อย่างนี้แล้ว ท่าน ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรนั้นตามไปตามระลึกถึงโดยติดตามธรรม ถึงพระพุทธ จริงอยู่ พระเถระ เมื่อนึกถึงที่สุดก็ดี ประมาณก็ดี แห่งคุณทั้งหลายแม้ของตนเองก็ไม่เห็น. พระเถระนั้นจักเห็นประมาณ หรือข้อกำหนดแห่งพระคุณทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้อย่างไร. จริงอยู่ ผู้ที่มีปัญญามาก มีญาณเฉียบแหลมย่อมเชื่อพระพุทธคุณทั้งหลายโดยความเป็นพระพุทธคุณใหญ่. ด้วยประการฉะนี้ พระเถระเมื่อไม่เห็นประมาณ หรือข้อกำหนดแห่งพระคุณทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตัดสินใจลงไปว่า เมื่อคนเช่นเราผู้ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณยังไม่สามารถกำหนดพระพุทธคุณทั้งหลายโดยญาณได้ จะกล่าวไปไยถึงคนพวกนี้ น่าอัศจรรย์พระสัพพัญญูคุณเป็นอจินไตย ไม่มีข้อกำหนด มีอานุภาพมาก. อนึ่ง พระสัพพัญญูคุณเหล่านี้เป็นโคจรแห่งพุทธญาณอย่างเดียวเท่านั้นโดยประการทั้งปวง มิได้เป็นโคจรแก่ผู้อื่น. แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่สามารถกล่าวโดยพิสดารได้เลย. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :- แม้พระพุทธเจ้าก็กล่าวคุณของพระพุทธเจ้า หากว่า กล่าวถึงคุณอื่นแม้ตลอดกัป กัปย่อมสิ้นไปในระหว่าง เวลายาวนาน คุณของพระตถาคต หาได้สิ้นไปไม่. พระสารีบุตรเถระมีปีติโสมนัสเป็นกำลังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระคุณใหญ่อย่างนี้จึงคิดต่อไปว่า น่าอัศจรรย์ ธรรมทำให้เป็นพระพุทธเจ้าคือบารมี มีอานุภาพมาก เป็นเหตุแห่งพุทธคุณทั้งหลายเห็นปานนี้. ความเป็นบารมี เป็นความเจริญงอกงามในชาติไหนหนอ หรือว่าถึงความแก่กล้าอย่างไร. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิ ๓ ชั้น ณ รตนะจงกรมนั้น ประทับนั่งรุ่งโรจน์ดุจดวงอาทิตย์อ่อนรุ่งเรืองอยู่ ณ ภูเขายุคนธร ฉะนั้น ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร พุทธการกธรรมของเราได้เจริญงอกงามจากภพสู่ภพ จากชาติสู่ชาติ ในกัปทั้งปวง เพราะทำด้วยความเคารพติดต่อกัน และด้วยการอุปถัมภ์ของวิริยะตั้งแต่สมาทาน. แต่ในภัทรกัปนี้ พุทธการกธรรมเหล่านั้นเกิดแก่กล้าในชาติเท่านี้แล้วได้ตรัสธรรมปริยาย อันมีชื่อเป็นที่สองว่า จริยาปีฏกํ พุทฺธาปทานิยํ จริยาปิฎกเป็นที่ตั้งแห่งตำนานของพระพุทธเจ้า ด้วยบทมีอาทิว่า กปฺเป จ สตสหสฺเส ตลอดแสนกัป. ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดาทรงจงกรมอยู่ ณ ที่จงกรมแก้ว อันเทวดาและพรหมเป็นต้นบูชาทรงหยั่งลง ณ นิโครธารามแวดล้อมด้วยพระขีณาสพสองล้านรูป ประทับนั่งเหนือวรพุทธาสนะที่เขาปูไว้ อันท่านพระสารีบุตรทูลถามโดยนัยดังกล่าวแล้ว จึงทรงแสดงจริยาปิฎก. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ท่านแสดงทูเรนิทานและอวิทูเรนิทานโดยสังเขปแล้วชี้แจง สันติเกนิทานแห่งจริยาปิฎก โดยพิสดาร. ส่วนทูเรนิทานจักมีแจ้งในการอธิบายเรื่องอสงไขย. บัดนี้จะพรรณนาเนื้อความแห่งบาลี จริยาปิฎกที่มีมาโดยนัยมีอาทิว่า กปฺเป จ สตสหสฺเส ดังนี้. กัปปศัพท์ในบทนั้นทั้งที่มีอุปสรรคและไม่มีอุปสรรค ย่อมปรากฏในความมีอาทิว่า วิตก วิธาน ปฏิภาค บัญญัติ กาล ปรมายุ สมณโวหาร สมันตภาวะ อภิสัททหนะ เฉทนะ วินิโยคะ วินยะกิริยา เลสะ อันตรกัป ตัณหาทิฏฐิ อสงไขยกัป มหากัป. กัปปศัพท์มาในวิตก ในบทมีอาทิว่า เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป อพฺยาปาทสงฺกปฺโป ดำริในการออกจากกาม ดำริในความไม่พยาบาท. มาในวิธาน ในบทมีอาทิว่า จีวเร วิกปฺปํ อาปชฺเชยฺย ภิกษุพึงทำวิกัปในจีวร. อธิบายว่า ควรปฏิบัติตามธรรมเนียมเป็นอย่างยิ่ง. มาในปฏิภาค ในบทมีอาทิว่า สตฺถุกปฺเปน วต ฯลฯ น ชานิมฺหา ท่านผู้เจริญทั้งหลายได้ยินว่า พวกเราปรึกษากับพระสาวกซึ่งคล้ายกับพระศาสดาก็ยังไม่รู้. ในบทนั้นมีอธิบายว่า คล้ายกับเช่นกับพระศาสดา. มาในบัญญัติ ในบทมีอาทิว่า อิธายสฺมา กปฺโป ท่านผู้มีอายุเป็นบัญญัติในศาสนานี้. มาในกาล ในบทมีอาทิว่า เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามิ ได้ยินว่า ข้าพเจ้าจะอยู่ตลอดกาลเป็นนิจ. มาในปรมายุ ในบทมีอาทิว่า อากงฺขมาโน ฯลฯ กปฺปาวเสสํ วา ดูก่อนอานนท์ ตถาคตหวังจะดำรงอยู่ตลอดกัปหรือตลอดส่วนที่เหลือของกัป. กัปในที่นี้ ท่านประสงค์เอาอายุกัป. มาในสมณโวหาร ในบทมีอาทิว่า อนุชานามิ ฯลฯ ปริภุญฺชิตุํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ฉันผลไม้ด้วยสมณกัป ๕ อย่าง. มาในสมันตภาวะ ในบทมีอาทิ เกวลกปฺปํ เชตวนํ โอภาเสตฺวา ยังพระเชตวันโดยรอบทั้งสิ้นให้สว่างไสว. มาในอภิสัททหนะในบทมีอาทิว่า สทฺธา สทฺทหนา โอกปฺปนา อภิปฺปสาโท ศรัทธา ความเชื่อ ความเชื่ออย่างยิ่ง ความเลื่อมใสอย่างยิ่ง. มาในเฉทนะ ในบทมีอาทิว่า อลงฺกโต กปฺปิตเกสมสฺสุ โกนผมแลหนวด มาในวินิโยคะ ในบทมีอาทิว่า เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺปติ ทานที่ให้แล้วจากโลกนี้ย่อมสำเร็จแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ฉันนั้น. มาในวินยกิริยา ในประโยคมีอาทิว่า กปฺปกเตน อกปฺปกตํ สํสิพฺพิตํ โหติ จีวรอันภิกษุผู้ทำกัปปะมิได้ทำตามวินัยก็เป็นอันเย็บดีแล้ว. มาในเลสะ ในประโยคมีอาทิว่า อตฺถิ กปฺโป นิปชฺชิตุํ หนฺทาหํ นิปชฺชามิ มีเลสเพื่อจะนอน เอาเถิดเราจะนอนละ. มาในอันตรกัป ในประโยคมีอาทิว่า อาปายิโก เนรยิโก ฯลฯ นิรยมุหิ ปจฺจติ ผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ต้องตกอบาย ตกนรก ตั้งอยู่กัปหนึ่ง และไหม้อยู่ในนรกตลอดกัป. มาในตัณหาและทิฏฐิ ในคาถามีอาทิว่า :- น กปฺปยนฺติ น ปุเรกฺขโรนฺติ ธมฺมาปิ เตสํ น ปฏิจฺฉิตาเส น พฺราหฺมโณ สีลวเตน เนยฺโย ปารงฺคโต น ปจฺเจติ ตาทีติ แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่ดำริถึง ไม่ทำไว้ข้างหน้า ไม่ยอมรับ เขามิใช่พราหมณ์ที่ผู้มีศีลจะพึงแนะนำ เขาเป็นผู้ถึงฝั่ง เป็นผู้คงที่ ย่อมไม่หมกไหม้. เป็นความจริงอย่างนั้นท่านกล่าวไว้ในนิทเทสว่า จากบทว่า กปฺป นี้ กัปมีสองอย่าง คือ ตัณหากัป ๑ ทิฏฐิกัป ๑. มาในอสงไขยกัป ในบทมีอาทิว่า อเนเกปิ สํวฏฺฏ มาในมหากัป ในบทมีอาทิว่า จตฺตาริมานิ ภิกฺขเว กปฺปสฺส อสงฺเขยฺยานิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหากัปมีสี่อสงไขย. กัปในที่นี้ได้แก่มหากัป. บทสำเร็จในคำว่า กปฺป นั้นมีดังนี้ ชื่อว่า กปฺโป เพราะย่อมกำหนด. อธิบายว่า พึงกำหนดมีปริมาณที่ควรกำหนดด้วยการเปรียบกับกองเมล็ดผักกาดเป็นต้นอย่างเดียวเพราะไม่สามารถคำนวณด้วยปีได้ว่า เท่านั้นปี เท่านั้นร้อยปี เท่านั้นพันปี เท่านั้นแสนปี. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :- ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปยาวเพียงไรหนอ. ดูก่อนภิกษุ กัปยาวมาก กำหนดไม่ได้ว่า เท่านั้นปี เท่านั้นร้อยปี เท่านั้นพันปี เท่านั้นแสนปี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สามารถจะเปรียบเทียบได้หรือไม่ พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สามารถเปรียบเทียบได้ ภิกษุ. เหมือนอย่างว่ากองเมล็ดผักกาด โดยความยาวโยชน์หนึ่ง โดยความกว้างโยชน์หนึ่ง โดยความสูงโยชน์หนึ่ง เมื่อล่วงไปร้อยปี พันปี ผู้วิเศษเก็บเมล็ดผักกาดไปเมล็ดหนึ่งๆ เมล็ดผักกาดหมด ก็ยังไม่สิ้นกัป. ดูก่อนภิกษุ กัปยาวอย่างนี้แล. มหากัปนี้นั้นสงเคราะห์เข้าด้วยสี่อสงไขยกัป ด้วยสามารถแห่งสังวัฏฏกัปเป็นต้น. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สี่อสงไขยกัปเหล่านี้ สี่อสงไขยกัปเป็นไฉน. คือ สังวัฏฏกัป สังวัฏฏัฏฐายีกัป วิวัฏฏกัป วิวัฏฏัฏฐายีกัป. ในกัปเหล่านั้น สังวัฏฏกัปมี ๓ คือ เตโชสังวัฏฏกัป ๑ อาโปสังวัฏฏกัป ๑ วาโยสังวัฏฏกัป ๑. แดนสังวัฏฏกัปมี ๓ คือ อาภัสสรา ๑ สุภกิณหา ๑ เวหัปผลา ๑. ก็ในกาลใดกัปย่อมเป็นไปด้วยไฟ ในกาลนั้น กัปเบื้องล่างจากอาภัสสราย่อมถูกไฟไหม้. ในกาลใดกัปย่อมเป็นไปด้วยน้ำ ในกาลนั้นกัปเบื้องล่างจากสุภกิณหาย่อมถูกน้ำละลาย. ในกาลใดกัปย่อมเป็นไปด้วยลม ในกาลนั้นกัปเบื้องล่างจากเวหัป ในสังวัฏฏกัป ๓ เหล่านั้น การทำลายเปลวไฟ น้ำหรือลม ตั้งแต่มหาเมฆยังกัปให้พินาศตามลำดับ นี้เป็นอสงไขยหนึ่ง ชื่อว่าสังวัฏฏกัป. มหาเมฆตั้งขึ้นเต็มจักรวาฬแสนโกฏิตั้งแต่การทำลายเปลวไฟอันยังกัปให้พินาศ นี้เป็นอสงไขย ความปรากฏแห่งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ตั้งแต่มหาเมฆตั้งขึ้น นี้เป็น มหาเมฆยังกัปให้พินาศอีก ตั้งแต่ความปรากฏแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ นี้เป็นอสงไขยกัปที่สี่ ชื่อว่าวิวัฏฏัฏฐายีกัป. ในกัปเหล่านี้ การสงเคราะห์กัปในระหว่าง ๖๔ กัป ชื่อว่าวิวัฏฏัฏฐายีกัป. ด้วยบทนั้นพึงทราบว่าวิวัฏฏกัปเป็นต้นกำหนดด้วยกาลอันเสมอกัน. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า การสงเคราะห์กัปในระหว่าง ๒๐ กัป. ด้วยประการฉะนี้ สี่อสงไขยกัปเหล่านี้เป็นหนึ่งมหากัป. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มหากัปนี้นั้นสงเคราะห์ด้วยสี่อสงไขยกัปด้วยอำนาจแห่งสังวัฏฏกัปเป็นต้น. อนึ่ง บทว่า กปฺเป เป็นทุติยาวิภัตติ์พหุวจนะ ด้วยเป็นอัจจันตสังโยคะ แปลว่า ตลอดกัป สิ้นกัป. บทว่า สตสหสฺเส แสดงถึงปุลลิงค์โดยเชื่อมกับศัพท์ว่า กปฺป. แม้ในที่นี้ก็เป็นพหุวจนะด้วยเป็นอัจจันตสังโยคะ. ทั้งสองบทนี้เป็นอธิกรณะเสมอกัน. แม้ในบทว่า จตุโร จ อสงฺขิเย นี้ ก็มีนัยนี้แล. อนึ่ง บทว่า อสงฺขิเย ย่อมให้รู้ความนี้ว่า กปฺปานํ โดยคัมภีร์ เพราะไม่กล่าวบทอื่นและเพราะกล่าวถึงกัปเท่านั้น. การเว้นบทที่กล่าวแล้วคือเอาบทอะไรๆ ที่ไม่ได้กล่าวไว้ไม่สมควร. จ ศัพท์เป็นสัมบิณฑนัตถะ (บวกความท่อนหลังเข้ากับความท่อนต้น). มีเนื้อความว่า สี่อสงไขยแห่งมหากัปและแสนมหากัป พึงทราบความในบทว่า อสงฺขิเย นี้ ชื่อว่า อสงฺขิยา เพราะไม่สามารถจะนับได้. อธิบาย เกินการคำนวณ. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า บทว่า อสงฺเขยฺยํ เป็นการนับที่แปลกอย่างหนึ่ง. อาจารย์พวกนั้นกล่าวว่า คะแนนมหากำลังสิบเว้นฐานะ ๕๙ อันมีคะแนนมหากำลังเป็นที่สุดตั้งแต่ รวมเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าอสงไขย ในลำดับอัฏฐานะ ๖๐. ข้อนั้นไม่ถูก การคำนวณที่แปลกชื่อว่าในระหว่างฐานะที่นับได้. ในระหว่างฐานะหนึ่ง ชื่อว่าอสงไขย เพราะไม่มีความที่การคำนวณที่แปลกนั้นจะพึงนับไม่ได้ เพราะเหตุนั้น ข้อนั้นจึงผิด. ข้อที่กัปนั้นมี ๔ อย่าง ในความเป็นอสงไขยกัป เพราะความที่เป็นกัปนับไม่ได้ไม่ถูกมิใช่หรือ. ไม่ถูกก็ไม่ใช่ เพราะความที่อสงไขยกัปท่านปรารถนาแล้วในฐานะ ๔. ในบทนั้นพึงทราบการชี้แจงตั้งแต่ต้นดังต่อไปนี้. มีเรื่องเล่ามาว่า ในกัปนี้ครั้งอดีต พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระตัณหังกร ๑ พระเมธังกร ๑ พระสรณังกร ๑ พระทีปังกร ๑ ทรงอุบัติขึ้นในโลกตามลำดับ. ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าทีปังกร ได้มีเมืองชื่อว่าอมรวดี. สุเมธพราหมณ์อาศัยอยู่ในเมืองนั้นเป็นอุภโตสุ สุเมธพราหมณ์มิได้ทำการงานอย่างอื่น เรียนศิลปะของพราหมณ์อย่างเดียว. มารดาบิดาได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่เขายังเป็นหนุ่ม. ครั้งนั้น สิริวัฑฒกะอำมาตย์ของเขา นำบัญชีทรัพย์สินมาให้แล้วเปิดห้องทรัพย์สินเต็มไปด้วย ทอง เงิน แก้วมณี แก้วมุกดาเป็นต้น แล้วแจ้งทรัพย์สินตั้งแต่ ๗ ชั่วตระกูลว่า ข้าแต่กุมาร ทรัพย์ประมาณเท่านี้เป็นของมารดาของท่าน ประมาณเท่านี้เป็นของบิดาของท่าน ประมาณเท่านี้เป็นของปู่ ย่า ตา ยายและทวดของท่าน แล้วกล่าวว่า ขอท่านจงปกครองทรัพย์สินนี้เถิด. สุเมธบัณฑิตคิดว่า ญาติทั้งหลายมีมารดาบิดาเป็นต้นของเรา รวบรวมทรัพย์สินนี้ไว้เป็นอันมาก ถึงอย่างนี้ก็ยังไปสู่ปรโลก มิได้ถือเอาไปได้แม้แต่ ก็ในกาลนั้น พระทศพลพระนามว่าทีปังกรบรรลุพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ยังบวรธรรมจักรให้เป็นไปแวดล้อมด้วยพระขีณาสพหนึ่งแสนรูป เสด็จจาริกไปโดยลำดับ ถึงรัมมวดีนครประทับอาศัยอยู่ที่สุทัศนมหาวิหารไม่ไกลเมืองนั้น. ชาวเมืองรัมมวดีนครได้ฟังว่า ได้ยินว่า พระศาสดาเสด็จถึงนครของพวกเราแล้วประทับอยู่ ณ สุทัศนมหาวิหาร จึงพากันถือของหอมมีดอกไม้เป็นต้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดาถวายบังคมแล้ว บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น นั่งอยู่ส่วนข้างหนึ่งฟังพระธรรมเทศนา แล้วนิมนต์เพื่อเสวยภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น พากันลุกจากที่นั่งกลับไป. วันรุ่งขึ้น ชาวเมืองเหล่านั้นเตรียมมหาทานตกแต่งนคร ต่างรื่นเริงยินดีทำความสะอาดทางที่พระทศพลเสด็จมา. อนึ่ง ในกาลนั้น สุเมธดาบสมาทางอากาศเห็นพวกมนุษย์เหล่านั้นรื่นเริงยินดีจึงถามว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านทำความสะอาดทางนี้เพื่อใคร. เมื่อพวกมนุษย์บอกว่า พวกเราทำความสะอาดทางเพื่อพระสัมมา ครั้นพวกมนุษย์ให้โอกาสแล้วจึงคิดว่า ความจริงเราพอจะทำทางนี้ให้วิจิตรด้วยรัตนะ ๗ ด้วยฤทธิ์แล้วตกแต่งได้ แต่วันนี้เราควรทำความขวนขวายทางกาย เราจักถือเอาบุญสมควรแก่กาย แล้วจึงนำหญ้าและหยากเยื่อเป็นต้น ก็เมื่อทำความสะอาดที่นั้นยังไม่สำเร็จ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระทีปังกร สุเมธบัณฑิตคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวกของพระ และเขาคิดอย่างนี้ว่า หากเราจักปรารถนา เราจักเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ จักทำลายกิเลสในวันนี้ทีเดียว. ประโยชน์อะไรด้วยการออกจากโอฆะใหญ่คือสงสารของเราเพียงผู้เดียวเท่านั้น ถ้ากระไรแม้เราก็พึงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นปานนี้ ยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามจากห้วงน้ำใหญ่คือสงสาร. สุเมธบัณฑิตตั้งใจด้วยอภินิหารประกอบด้วยองค์ ๘ ด้วยประการฉะนี้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาประทับยืน ณ เบื้องศีรษะของสุเมธบัณฑิตนั้น ทรงทราบความสำเร็จวารจิตของสุเมธบัณฑิตนั้น ทรงพยากรณ์ความเป็นไปนี้ทั้งหมดของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า จากนี้ไปในที่สุด สี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป สุเมธบัณฑิตนี้จักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ดังนี้แล้วหลีกไป. จากนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้อื่นทรงอุบัติขึ้นตามลำดับ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะเป็นต้นจนถึงพระทศพลพระนามว่ากัสสปเป็นที่สุด ทรงพยากรณ์พระมหาสัตว์ว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า. เมื่อพระโพธิสัตว์ของพวกเราทรงบำเพ็ญบารมีอยู่นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น ๒๔ พระองค์. ในกัปที่พระทศพลพระนามว่าทีปังกร ทรงอุบัติได้มีพระพุทธเจ้าอื่นอีก ๓ พระองค์. ในสำนักของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นมิได้มีการพยากรณ์พระโพธิสัตว์. เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้นจึงไม่ถือเอาในที่นี้. แต่ในอรรถกถาเก่า เพื่อแสดงถึงพระสัมพุทธเจ้าทั้งหลายตั้งแต่กัป ท่านจึงกล่าวคาถานี้ว่า :- พระตัณหังกร พระเมธังกร พระสรณังกร พระ ทีปังกร ผู้เป็นพระสัมพุทธเจ้า และพระโกณฑัญญะ ผู้สูงสุดกว่าสัตว์สองเท้า พระมังคละ พระสุมนะ พระ เรวตะ พระโสภิตะ ผู้เป็นมุนี พระอโนมทัสสี พระปทุม พระนารทะ พระปทุมุตตระ พระสุเมธะ ผู้เกิดดีแล้ว พระปิยทัสสี ผู้มียศใหญ่ พระอัตถทัสสี พระธรรมทัสสี พระสิทธัตถะ ผู้เป็นนายกของโลก พระติสสะ พระผุสสะ ผู้เป็นพระสัมพุทธเจ้า พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ ผู้เป็นนายก. ท่านเหล่านี้ได้เป็นพระสัมพุทธเจ้า ปราศจาก ราคะ ตั้งมั่นแล้ว มีรัศมี ๑๐๐ บรรเทาความมืดใหญ่ รุ่งเรืองดุจกองไฟ พระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นพร้อมด้วย สาวกทั้งหลาย ได้นิพพานแล้ว. ในระหว่างพระทศพลพระนามว่าทีปังกร และพระทศพลพระนามว่า |