ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 33.3 / 1อ่านอรรถกถา 33.3 / 9อรรถกถา เล่มที่ 33.3 ข้อ 10อ่านอรรถกถา 33.3 / 11อ่านอรรถกถา 33.3 / 36
อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญทานบารมี
๑๐. สสปัณฑิตจริยา

               อรรถกถาสสปัณฑิตจริยาที่ ๑๐               
               พึงทราบวินิจฉัยในสสปัณฑิตจริยาที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้.
               บทว่า ยทา โหมิ คือ ในกาลใด เราเป็น.
               บทว่า สสโก ความว่า ดูก่อนสารีบุตร เราเที่ยวแสวงหาโพธิญาณ ในกาลเมื่อเราเป็นสสปัณฑิต (กระต่าย).
               จริงอยู่ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงความเป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของกรรมก็ยังบังเกิดในกำเนิดเดียรัจฉานเพื่ออนุเคราะห์สัตว์เดียรัจฉานเช่นนั้น.
               บทว่า ปวนจารโก คือ ผู้เที่ยวไปในป่าใหญ่ ชื่อว่า ติณปณฺณสากผลภกฺโข เพราะมีหญ้า มีหญ้าแพรกเป็นต้น ใบไม้ที่กอไม้ ผักอย่างใดอย่างหนึ่ง และผลไม้ที่ตกจากจากต้นไม้.
               บทว่า ปรวิเหฐนวิวชฺชิโต คือ เว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น.
               บทว่า สุตฺตโปโต จ คือ ลูกนาก.
               บทว่า อหํ ตทา คือ ในกาลเมื่อเราเป็นกระต่าย เราสอนสหายมีลิงเป็นต้น.
               บทว่า กิริเย กลฺยาณปาปเก คือ ในกุศลกรรมและอกุศลกรรม.
               บทว่า ปาปานิ เป็นบทแสดงอาการพร่ำสอน.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ปาปานิ ปริวชฺเชถ คือ ท่านทั้งหลายจงเว้นบาปเหล่านี้ คือฆ่าสัตว์ ฯลฯ มิจฉาทิฏฐิ.
               บทว่า กลฺยาเณ อภินิวิสฺสถ ได้แก่ กรรมดี คือทาน ศีล ฯลฯ การทำความเห็นให้ตรง.
               ท่านทั้งหลายจงตั้งอยู่ในกรรมดีนี้ ด้วยความเป็นผู้มีกายวาจาใจของตนให้อยู่เฉพาะหน้า.
               อธิบายว่า จงปฏิบัติกัลยาณปฏิบัตินี้เถิด.
               พระมหาสัตว์แม้อุบัติในกำเนิดเดียรัจฉานอย่างนี้ ก็เป็นกัลยาณมิตร เพราะเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยญาณ ทรงแสดงธรรมด้วยการให้โอวาทแก่สัตว์ทั้ง ๓ เหล่านั้นผู้เข้าไปหาตามกาลเวลา.
               สัตว์ทั้ง ๓ เหล่านั้นรับโอวาทของพระมหาสัตว์แล้วก็เข้าไปยังที่อยู่ของตน. เมื่อกาลผ่านไปอย่างนี้ พระโพธิสัตว์มองดูอากาศ เห็นดวงจันทร์เต็มดวง จึงสอนว่าพวกท่านจงรักษาอุโบสถ.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   เราเห็นพระจันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถ จึงบอก
                         แก่สหายเหล่านั้นว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ ท่านทั้งหลาย
                         จงตระเตรียมทานทั้งหลายเพื่อให้แก่ทักขิไณยบุคคล
                         ครั้นให้ทานแก่ทักขิไณยบุคคลแล้ว จงรักษาอุโบสถ.

               ในบทเหล่านั้น บทว่า จนฺทํ ทิสฺวา น ปูริตํ คือ เราเห็นพระจันทร์ยังไม่เต็มดวงอีกเล็กน้อยในวัน ๑๔ ค่ำข้างแรม แต่ครั้นราตรีสว่างเวลาอรุณขึ้น ในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ จึงบอกแก่สหายทั้งหลายของเรามีลิงเป็นต้นเหล่านั้นว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ. เพราะฉะนั้นพึงประกอบ บทว่า อาจิกฺขึ เราได้บอกแล้วอันเป็นวิธีปฏิบัติในวันอุโบสถนั้นด้วยบทมีอาทิว่า ทานานิ ปฏิยาเทถ ท่านทั้งหลายจงเตรียมทานทั้งหลายเถิด.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ทานานิ คือ ไทยธรรม.
               บทว่า ปฏิยาเทถ คือ จงเตรียมตามสติตามกำลัง. บทว่า ทาตเว คือ เพื่อให้.
               บทว่า อุปวสฺสถ คือ จงทำอุโบสถกรรม ได้แก่จงรักษาอุโบสถศีล.
               การตั้งอยู่ในศีลแล้วให้ทานย่อมมีผลมาก เพราะฉะนั้น เมื่อยาจกมาถึง พึงให้จากอาหารที่พวกท่านควรเคี้ยวกินแล้วจึงกิน ท่านแสดงไว้ดังนี้.
               บทว่า เต สาธูติ สัตว์เหล่านั้นรับโอวาทของพระโพธิสัตว์ด้วยศีรษะ แล้วอธิษฐานองค์อุโบสถ.
               ในสัตว์เหล่านั้น ลูกนากไปฝั่งแม่น้ำแต่เช้าตรู่ด้วยคิดว่าเราจักหาอาหาร.
               ครั้งนั้น พรานเบ็ดคนหนึ่งตกปลาตะเพียนได้ ๗ ตัว เอาเถาวัลย์ร้อยไว้แล้วหมกด้วยทรายที่ฝั่งแม่น้ำไปหาปลาต่อไป ตกลงไปทางใต้กระแสน้ำ. ลูกนากสูดกลิ่นปลา คุ้ยทรายเห็นปลาจึงนำออกประกาศ ๓ ครั้งว่า ปลาเหล่านี้มีเจ้าของไหม เมื่อไม่เห็นเจ้าของก็คาบที่เถาวัลย์วางไว้ที่พุ่มไม้อันเป็นที่อยู่ของตน คิดว่าเราจักกินในเวลาอันควร นอนนึกถึงศีลของตน.
               แม้สุนัขจิ้งจอกก็เที่ยวหาอาหาร เห็นเนื้อย่างสองชิ้น เหี้ยตัวหนึ่ง หม้อนมส้มหม้อหนึ่งที่กระท่อมของคนเฝ้านาคนหนึ่ง ประกาศ ๓ ครั้งว่า อาหารเหล่านี้มีเจ้าของไหม ครั้นไม่เห็นเจ้าของก็เอาเชือกที่ผูกหม้อนมส้มคล้องคอ คาบเนื้อย่างและเหี้ยวางไว้ที่พุ่มไม้อันเป็นที่อยู่ของตน คิดว่าจักกินในเวลาอันสมควร นอนนึกถึงศีลของตน.
               แม้ลิงก็เข้าป่านำผลมะม่วงมาวางไว้ที่พุ่มไม้อันเป็นที่อยู่ของตน คิดว่าจักกินในเวลาอันสมควร นอนนึกถึงศีลของตน.
               ทั้ง ๓ สัตว์ก็คิดว่า โอ ยาจกจะพึงมาที่นี่ไหมหนอ.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   สหายเหล่านั้นรับคำของเราว่า สาธุ แล้วได้
                         ตระเตรียมทานต่างๆ ตามสติกำลัง แล้วแสวงหา
                         ทักขิไณยบุคคล.

               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ออกในเวลาอันสมควร คิดว่า เราจักกินหญ้ามีหญ้าแพรกเป็นต้นนอนที่พุ่มไม้อันเป็นที่อยู่ของตน คิดว่าเมื่อยาจกทั้งหลายมาหาเรา ไม่อาจกินหญ้าได้ เราไม่มีแม้งาและข้าวสารเป็นต้น. หากยาจกมาหาเรา เราเลี้ยงชีวิตด้วยหญ้า เราจักให้เนื้อในร่างกายของตน.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   เรานอนคิดถึงทานอันสมควรแก่ทักขิไณย
                         บุคคลว่า ถ้าเราพึงได้ทักขิไณยบุคคล เราจักให้
                         อะไรเป็นทาน งา ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ข้าวสารและ
                         เปรียง ของเราไม่มี เราเลี้ยงชีวิตด้วยหญ้า เราไม่
                         อาจให้หญ้าได้ ถ้าทักขิไณยบุคคลมาสักท่านหนึ่ง
                         เพื่อขอในสำนักของเรา เราพึงให้ตนของตน
                         ทักขิไณยบุคคลจักไม่ไปเปล่า.

               ในบทเหล่านั้น บทว่า ทานํ ทกฺขิณณุจฺฉวํ คือ เราคิดถึงทานอันสมควร คือไทยธรรมที่ควรให้แก่ทักขิไณยบุคคล เพราะไม่มีทักขิไณยบุคคล.
               บทว่า ยทิหํ ลเภ คือ ผิว่าวันนี้เราพึงได้ทักขิไณยบุคคลไรๆ.
               บทว่า กึ เม ทานํ ภวิสฺสติ คือ เราจักเอาอะไรให้เป็นทาน.
               บทว่า น สกฺกา ติณทาตเว ความว่า ผิว่าเราไม่มีงาและถั่วเขียวเป็นต้น เพื่อให้แก่ทักขิไณยบุคคล เราไม่อาจให้หญ้าอันเป็นอาหารของเราได้.
               บทว่า ทชฺชาหํ สกมตฺตานํ เราพึงให้ตนของตน ความว่า ประโยชน์อะไรที่เราจะมามัวคิดเรื่องไทยธรรม. ร่างกายของเรานี้แหละไม่มีโทษ สมควรเป็นอาหารบริโภคของผู้อื่นทั้งหาได้ง่าย เพราะไม่ต้องพึ่งผู้อื่น หากทักขิไณยบุคคลคนหนึ่งมาหาเรา. เราจะให้ตนของตนนี้แก่เขา. เมื่อเป็นดังนั้น เขามาหาเราก็จักไม่ไปเปล่า คือจักไม่มีมือเปล่าไป.
               เมื่อพระมหาบุรุษปริวิตกถึงสภาพตามความเป็นจริงอย่างนี้ ด้วยอานุภาพแห่งความปริวิตกนั้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะก็แสดงอาการร้อน ท้าวเธอรำพึงอยู่ทรงเห็นเหตุนี้แล้วจึงดำริว่า เราจักทดลองพระยากระต่ายจึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ไปที่อยู่ของนากก่อน ได้ประทับยืนอยู่.
               เมื่อนากถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านยืนอยู่เพื่ออะไร.
               ท้าวเธอตอบว่า หากเราได้อาหารสักอย่าง เราจะรักษาอุโบสถ บำเพ็ญสมณธรรม.
               นากตอบว่าสาธุ เราจักให้อาหารแก่ท่าน.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   ปลาตะเพียนของเรามี ๗ ตัว เพิ่งเอาขึ้น
                         จากน้ำวางไว้บนบก ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้ามี
                         สิ่งนี้แหละ เชิญท่านบริโภค แล้วอยู่ในป่าเถิด.

               พราหมณ์กล่าวว่า รอไว้ก่อน จักรู้ภายหลัง. จึงไปหาสุนัขจิ้งจอกและลิง เหมือนอย่างนั้น แม้สัตว์เหล่านั้นก็ต้อนรับด้วยไทยธรรมที่ตนมีอยู่. พราหมณ์กล่าวว่า รอไว้ก่อน จักรู้ภายหลัง.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   เนื้อย่างสองชิ้น เหี้ย หม้อนมส้มของคนเฝ้า
                         นาโน้น ซึ่งข้าพเจ้านำมาเป็นอาหารกลางคืน ท่าน
                         พราหมณ์ ข้าพเจ้ามีอาหารอย่างนี้แหละ เชิญท่าน
                         บริโภคแล้วอยู่ในป่าเถิด. มะม่วงสุก น้ำเย็น สถาน
                         ที่ร่มรื่นเย็นสบาย ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้ามีอย่างนี้
                         เชิญท่านบริโภคแล้วอยู่ในป่าเถิด.

               ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุสฺส คือ โน้น.
               บทว่า รตฺติ ภตฺตํ อปาภตํ นำออกมา เพราะเป็นอาหารกลางคืน.
               บทว่า มํสสูลา จ เทฺว โคธา คือ เนื้อย่างสองชิ้น และเหี้ยตัวหนึ่ง.
               บทว่า ทธิวารกํ คือ หม้อนมส้ม.
               ต่อจากนั้น พราหมณ์จึงเข้าไปหาสสบัณฑิต. แม้เมื่อสสบัณฑิตถามว่า ท่านมาเพื่ออะไร? พราหมณ์ก็บอกเหมือนอย่างนั้น.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   ท้าวสักกะทรงทราบความดำริของเราแล้ว
                         จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ เสด็จเข้ามายังสำนัก
                         ของเรา เพื่อทรงทดลองทานของเรา.
                                   เราเห็นพราหมณ์นั้นแล้วก็ยินดี ได้กล่าวคำ
                         นี้ว่า ท่านมาถึงในสำนักเรา เพราะเหตุแห่งอาหาร
                         เป็นการดีแล้ว วันนี้เราจักให้ทานอันประเสริฐ ที่
                         ใครๆ ไม่เคยให้แก่ท่าน.
                                   ท่านผู้ประกอบด้วยศีลคุณ การเบียดเบียน
                         ผู้อื่นไม่ควรแก่ท่าน ท่านจงไปเอาไม้ต่างๆ มาก่อ
                         ไฟขึ้น เราจักย่างตัวของเรา ท่านจักได้กินเนื้อที่สุก.
                                   พราหมณ์นั้นรับคำแล้วมีใจร่าเริง นำเอาไม้
                         ต่างๆ มาทำเป็นเชิงตะกอนใหญ่ ทำเป็นห้องอัน
                         เต็มด้วยถ่านเพลิง ก่อไฟโพลงขึ้น ณ ที่นั้นทันที
                         เหมือนไฟนั้นเป็นกองใหญ่.
                                   เราสลัดตัวมีธุลี เข้าไปอยู่ข้างหนึ่ง ในเมื่อ
                         กองไม้อันไฟติดทั่วแล้ว เป็นควันตลบอยู่ ใน
                         กาลนั้นเราโดดลงในท่ามกลางระหว่างเปลวไฟ.
                                   น้ำเย็นอันผู้หนึ่งผู้ใดดำลงแล้ว ย่อมระงับ
                         ความกระวนกระวายและความร้อน ย่อมให้ความ
                         ยินดีและปีติฉันใด. ในกาลเมื่อเราเข้าไปยังไฟที่
                         ลุกโพลงก็ฉันนั้นเหมือนกัน ความกระวนกระวาย
                         ทั้งปวงย่อมระงับ ดังดำลงในน้ำเย็นฉะนั้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า มม สงฺกปฺปมญฺญาย คือ ท้าวสักกะทรงทราบความปริวิตก มีประการดังกล่าวแล้วในก่อน.
               บทว่า พราหมณวณฺณินา คือ มีอัตภาพเป็นรูปพราหมณ์.
               บทว่า อาสยํ คือ พุ่มไม้เป็นที่อยู่.
               บทว่า สนฺตุฏฺโฐ คือ ยินดีโดยส่วนทั้งปวงอย่างสม่ำเสมอ.
               บทว่า ฆาสเหตุ คือ เพราะเหตุแห่งอาหาร.
               บทว่า อทินฺนปุพฺพํ คือ อันใครๆ ที่มิใช่พระโพธิสัตว์ไม่เคยให้.
               บทว่า ทานวรํ คือ ทานอันอุดม.
               สสปัณฑิตกล่าวว่า วันนี้ เราจักให้แก่ท่าน. ท่านผู้ประกอบด้วยศีลคุณ การเบียดเบียนผู้อื่นไม่สมควรแก่ท่าน บัดนี้เพื่อจะเปลื้องพราหมณ์ออกจากการฆ่าสัตว์ แล้วทำตนให้สมควรแก่การบริโภคของพราหมณ์นั้นแล้วให้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เอหิ อคฺคึ ปทีเปหิ ท่านจงก่อไฟขึ้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อหํ ปจิสฺสมตฺตานํ เราจักย่างตัวของเรา คือเมื่อท่านทำห้องอันเต็มด้วยถ่านเพลิงแล้วเราจะโดดย่างตัวของเรา.
               บทว่า ปกฺกํ ตฺวํ ภกฺขยิสฺสสิ คือ ท่านจะได้กินเนื้อที่สุกเช่นนั้น.
               บทว่า นานากฏฺเฐ สมานยิ พราหมณ์นำเอาไม้ต่างๆ คือท้าวสักกะผู้ทรงเพศเป็นพราหมณ์นั้น ได้เป็นดุจหาไม้ต่างๆ.
               บทว่า มหนฺตํ อกาสิ จิตฺตกํ กตฺวานงฺคารคพฺภกํ นำเอาไม้ต่างๆ มาทำเป็นเชิงตะกอนใหญ่ทำเป็นห้องอันเต็มด้วยถ่านเพลิง คือพราหมณ์นั้นได้ทำเชิงตะกอนใหญ่ในขณะนั้นทันที ปราศจากเปลว ปราศจากควัน ภายในเต็มไปด้วยถ่านเพลิงลุกโพลงอยู่โดยรอบ พอที่ร่างกายของเราจะดำลงไปได้.
               อธิบายว่า ท้าวสักกะรีบเนรมิตขึ้นด้วยฤทธิ์.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อคฺคึ ตตฺถ ปทีเปสิ ยถา โส ขิปฺปํ มหาภเว ก่อไฟโพลงขึ้น ณ ที่นั้นทันที เหมือนไฟนั้นเป็นกองใหญ่.
               ในบทเหล่านั้นบทว่า โส คือ พราหมณ์ได้ก่อเหมือนกองไฟนั้นเป็นกองใหญ่ทันที.
               บทว่า โผเฏตฺรา รชคเต คตฺเต สลัดตัวอันมีธุลี.
               ความว่า สลัดตัวของเราอันมีฝุ่น ๓ ครั้งด้วยคิดว่า หากมีสัตว์อยู่ในระหว่างขน. สัตว์เหล่านั้นอย่าตายเสียเลย.
               บทว่า เอกมนฺตํ อุปาวสึ เราไปอยู่ข้างหนึ่ง คือเราเห็นว่ากองไม้ยังไม่ติดไฟ จึงเลี่ยงไปหน่อยหนึ่ง.
               บทว่า ยมา มหากฏฺฐปุญฺโช, อาทิตฺโต ธมธมาผติ ในเมื่อกองไม้อันไฟติดทั่วแล้ว เป็นควันและรมอยู่.
               ความว่า ในเมื่อกองไม้นั้นอันไฟติดทั่วแล้วโดยรอบเป็นควันตลบอยู่ ด้วยอำนาจแห่งเปลวไฟที่ก่อขึ้นด้วยความรวดเร็ว.
               บทว่า ตทุปฺปติตฺวา ปปตึ, มชฺเฌ ชาลสิขนฺตเร เราโดดลงในท่ามกลางระหว่างเปลวไฟ.
               ความว่า ในกาลนั้น เราคิดว่ากองถ่านเพลิงนี้สามารถเผาร่างของเราได้ จึงโดดลงไปให้ร่างทั้งสิ้นเป็นทาน โดดลงในท่ามกลางกองถ่านเพลิงนั้นซึ่งอยู่ในระหว่างเปลวไฟ มีใจเบิกบานดุจพระยาหงส์โดดลงในกอประทุมฉะนั้น.
               บทว่า ปวิฏฺฐํ ยสฺ กสฺสจิ น้ำเย็นอันผู้หนึ่งผู้ใดดำลงไป คือเหมือนในเวลาร้อน น้ำเย็นอันผู้หนึ่งผู้ใดดำลงไป ย่อมระงับความกระวนกระวายเดือดร้อนของผู้นั้นได้ คือให้เกิดความพอใจและปีติฉันใด.
               บทว่า ตเถว ชลิตํ อคฺคึ เราเข้าไปในไฟที่ลุกโพลงก็ฉันนั้น คือในกาลเมื่อเราเข้าไปในกองถ่านเพลิงที่ลุกโพลงก็ฉันนั้น มิได้มีแม้แต่ความร้อน. โดยที่แท้ได้มีความระงับความกระวนกระวายเดือดร้อนทั้งปวง ด้วยความอิ่มในทาน. สรีราพยพทั้งหมดมีขนและหนังเป็นต้นของเราเข้าถึงความเป็นของควรให้เป็นทาน. ความปรารถนาที่เราปรารถนาไว้ได้ถึงความสำเร็จแล้ว.
               ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
                                   เราได้ให้แล้วซึ่งกายทั้งสิ้นโดยไม่เหลือ
                         คือ ขน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกและชิ้นเนื้อหัวใจ
                         แก่พราหมณ์ ฉะนี้แล.

               ในบทเหล่านั้นบทว่า หทยพนฺธนํ คือ ชิ้นเนื้อหัวใจ.
               จริงอยู่ ชิ้นเนื้อหัวใจนั้นท่านเรียกว่า หทยพันธนะ เพราะตั้งอยู่ดุจผูกไว้ซึ่งหทยวัตถุ.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า หทยพนฺธนํ มีอธิบายว่า หทัย การผูก เนื้อหทัยและเนื้อตับตั้งอยู่ดุจผูกไว้ซึ่งหทยวัตถุนั้น.
               บทว่า เกวลํ สกลํ กายํ ได้แก่ สรีระทั้งหมดไม่มีส่วนเหลือ.
               แม้พระโพธิสัตว์ก็ไม่สามารถทำความร้อนแม้เพียงขุมขนในร่างกายของตนในกองไฟนั้นได้ จึงทำเป็นดุจเข้าห้องหิมะกล่าวกะท้าวสักกะผู้ทรงรูปเป็นพราหมณ์อย่างนี้ว่า ท่านพราหมณ์ท่านทำไฟให้เย็นจัดได้ ทำได้อย่างไร.
               พราหมณ์กล่าวว่า ท่านบัณฑิตข้าพเจ้ามิใช่พราหมณ์ดอก. ข้าพเจ้าเป็นท้าวสักกะ มาทำอย่างนี้ก็เพื่อทดลองท่าน.
               พระโพธิสัตว์ได้บันลือสีหนาทว่า ข้าแต่ท้าวสักกะช่างเถิด หากว่า โลกทั้งสิ้นพึงทดลองข้าพเจ้าด้วยทาน ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะไม่ให้ของข้าพเจ้าคงไม่มีอีกแล้ว. ใครจะให้ทานเกิดขึ้น ท่านจะเห็นทานนั้นได้อย่างไรอีกเล่า.
               ลำดับนั้น ท้าวสักกะตรัสว่า ท่านสสบัณฑิต คุณธรรมของท่านจงปรากฏอยู่ตลอดกัปเถิด แล้วทรงบีบภูเขา คือเอายางภูเขาวาดลักษณะของกระต่ายไว้ ณ จันทมณฑลแล้วให้พระโพธิสัตว์นอนบนตั่งหญ้าแพรกอ่อนที่พุ่มไม้ในราวป่านั้น แล้วเสด็จกลับเทวโลก.
               บัณฑิตทั้ง ๔ แม้เหล่านั้นก็สมัครสมานเบิกบานบำเพ็ญนิจศีลและอุโบสถศีล กระทำบุญตามสมควรแล้วก็ไปตามยถากรรม.
               นากในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนท์ในครั้งนี้.
               สุนัขจิ้งจอก คือพระมหาโมคคัลลานะ.
               ลิง คือพระสารีบุตร.
               สสบัณฑิต คือพระโลกนาถ.
               แม้ในสสบัณฑิตจริยานี้ พึงเจาะจงกล่าวถึงศีลบารมีเป็นต้นของสสบัณฑิตนั้นตามสมควรโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
               อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพของพระโพธิสัตว์ไว้ในที่นี้มีอาทิอย่างนี้ คือ
               เมื่อกุศลธรรมเป็นต้นแม้มีอยู่ในกำเนิดเดียรัจฉานการรู้ตามความจริงจากกุศลเป็นต้น.
               การเห็นโทษแม้มีประมาณน้อยในอกุศลเหล่านั้นโดยความเป็นของน่ากลัวแล้วเว้นจากอกุศลเด็ดขาด.
               การตั้งตนไว้ในกุศลธรรมทั้งหลายโดยชอบเท่านั้น.
               การชี้แจงโทษแก่คนอื่นว่า ธรรมลามกชื่อนี้อันท่านถือเอาแล้วอย่างนี้ ลูบคลำแล้วอย่างนี้ ย่อมมีคติอย่างนี้ ในภพหน้าอย่างนี้แล้ว ชักชวนในการเว้นจากโทษนั้น.
               การชี้แจงถึงอานิสงส์ในการทำบุญโดยนัยมีอาทิว่า เทวสมบัติ มนุษยสมบัติอยู่ในมือของผู้ตั้งอยู่ในทานศีลอุโบสถกรรมดังนี้แล้วให้เขาดำรงอยู่.
               การไม่คำนึงถึงร่างกายและชีวิตของตน.
               การอนุเคราะห์สัตว์เหล่าอื่น.
               และมีอัธยาศัยในทานอย่างกว้างขวาง.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เอวํ อจฺฉริยา เหเต ฯลฯ ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต ความว่า :-
                         ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ น่าอัศจรรย์
                         ทั้งไม่เคยมีมา แม้เพียงใจเลื่อมใสในท่านเหล่านั้น
                         ก็พึงพ้นจากทุกข์ได้ จะพูดไปทำไมถึงการทำตาม
                         ท่านเหล่านั้น โดยธรรมสมควรแก่ธรรมเล่า.
               จบอรรถกถาสสบัณฑิตจริยาที่ ๑๐               
               -----------------------------------------------------               

               บัดนี้จะกล่าวสรุปถึงจริยา ๑๐ ประการตามที่กล่าวแล้วโดยนัยมีอาทิว่า อกิตฺติพฺราหฺโณ ดังนี้.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   อกิตติดาบส สังขพราหมณ์ พระเจ้าธนญชัยกุรุราช
                         พระเจ้ามหาสุทัศนจักรพรรดิราช มหาโควินทพราหมณ์
                         พระเจ้าเนมิราช จันทกุมาร พระเจ้าสิวิราช พระเวสสันดร
                         และสสบัณฑิต ผู้ให้ทานอันประเสริฐในกาลนั้น เป็นเรานี่
                         เอง ทานเหล่านี้เป็นบริวารแห่งทาน เป็นทานบารมี เรา
                         ได้ให้ชีวิตเป็นทานแก่ยาจก จึงยังบารมีนี้ให้เต็มได้.

               ในบทเหล่านั้นบทว่า อหเมว ตทา อาสึ ในกาลนั้นเป็นเรานี่เอง คือผู้ใดได้ให้ทานอันประเสริฐเหล่านั้น คือผู้ใดได้ให้ทานอันอุดมเหล่านั้น ผู้นั้นมีอกิตติพราหมณ์เป็นต้น ในกาลนั้นได้เป็นเรานี่เอง มิใช่คนอื่น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกเทศนาขึ้นด้วยอำนาจแห่งทานบารมีเท่านั้น ทรงหมายถึงความกว้างขวางอย่างยิ่งของอัธยาศัยในทาน ในครั้งนั้นของพระองค์ ในความเป็นผู้บำเพ็ญศีลบารมีเป็นต้น แม้มีอยู่ในอัตภาพทั้งหลายเหล่านั้นด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า เอเต ทานปริกฺขารา, เอเต ทานสฺส ปารมี ทานเหล่านี้เป็นบริวารของทาน เป็นทานบารมี.
               ความว่า เราบริจาคไทยธรรมอันมีคุณมากมายในอกิตติชาดกเป็นต้น เราบริจาคอวัยวะและบุตรของเราเป็นครั้งสุดท้ายเหล่าใด การบริจาคเหล่านั้นเป็นทานบารมีเท่านั้น ด้วยถึงความยิ่งยวดอย่างยิ่งของทาน เพราะเรายึดความเป็นผู้ฉลาดในอุบายคือกรุณา เพราะเราบริจาคอุทิศพระสัพพัญญุญาณเท่านั้นโดยแท้. แม้ถึงอย่างนั้น ทานเหล่านี้ก็เป็นบริวารแห่งทาน เพราะช่วยหนุนทานของเราให้เป็นทานปรมัตถบารมี เพราะช่วยหนุนสันดานให้เจริญรอบ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงถึงทานที่เป็นบริวารเหล่านั้น จึงตรัสว่า ชีวิตํ ยาจเก ทตฺวา, อิมํ ปารมิ ปูรยึ เราได้ให้ชีวิตเป็นทานแก่ยาจก จึงยังบารมีนี้ให้เต็มได้.
               จริงอยู่ ในที่นี้พึงทราบทานบารมี ทานอุปบารมีใน ๙ จริยาที่เหลือตามสมควร เว้นสสบัณฑิตจริยา ก็เพราะในสสบัณฑิตจริยาเป็นทานปรมัตถบารมี.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   เราเห็นยาจกเข้ามาเพื่อขอแล้ว ได้สละ
                         ตนของตนให้ความเสมอด้วยทานของเราไม่มี
                         นี้เป็นทานบารมีของเรา.

               จริงอยู่ ไม่มีการกำหนดอัตภาพที่บำเพ็ญทานบารมีของพระมหาบุรุษ ในครั้งที่เสวยพระชาติเป็นอกิตติพราหมณ์เป็นต้นตามที่กล่าวแล้ว และในครั้งที่เสวยพระชาติเป็นพระมหาชนกและมหาสุตโสมเป็นต้น ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็พึงประกาศความเป็นปรมัตถบารมีแห่งทานบารมีในครั้งที่เสวยพระชาติเป็นสสบัณฑิตโดยส่วนเดียวเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
               จบอรรถกถาอกิตติวรรคที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

               รวมจริยาที่มีในวรรคนี้ คือ
               อกิตติดาบส สังขพราหมณ์ พระเจ้าธนญชัยกุรุราช พระเจ้ามหาสุทัศนจักรพรรดิราช มหาโควินทพราหมณ์ พระเจ้าเนมิราช จันทกุมาร พระเจ้าสิวิราช พระเวสสันดร และสสบัณฑิตผู้ให้ทานอันประเสริฐ ในกาลนั้น เป็นเรานี้เอง.
               ทานเหล่านี้เป็นบริวารแห่งทาน เป็นทานบารมี เราได้ให้ชีวิตเป็นทานแก่ยาจกจึงยังบารมีนี้ให้เต็มได้ เราเห็นยาจกเข้ามาเพื่อขอแล้ว ได้สละตนของตนให้ ความเสมอด้วยทานของเราไม่มี นี้เป็นทานบารมีของเราฉะนี้แล ฯ
               จบการบำเพ็ญทานบารมีที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญทานบารมี ๑๐. สสปัณฑิตจริยา จบ.
อ่านอรรถกถา 33.3 / 1อ่านอรรถกถา 33.3 / 9อรรถกถา เล่มที่ 33.3 ข้อ 10อ่านอรรถกถา 33.3 / 11อ่านอรรถกถา 33.3 / 36
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=8906&Z=8951
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=52&A=2704
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=52&A=2704
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :