บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อปทานของท่านพระวักกลิเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสฺสมฺหิ ดังนี้. แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้บำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระชิน ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล ในหังสวดีนคร บรรลุนิติภาวะแล้ว ได้ไปยังพระวิหารพร้อมกับพวกอุบาสกอุบาสิกา ซึ่งกำลังเดินทางไปเฝ้าพระศาสดา ไปถึงแล้วยืนอยู่ที่ท้ายบริษัท กำลังฟังธรรมอยู่ มองเห็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดา พระศาสดาทรงเห็นว่าเธอไม่มีอันตราย จึงได้ทรงพยากรณ์. เขาได้บำเพ็ญกุศลกรรมไว้จนตลอดชีวิตแล้ว ท่องเที่ยวไปใน ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในกรุงสาวัตถี. มารดาบิดาได้ตั้งชื่อเขาว่า วักกลิ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กลิ นี้เป็นชื่อของโทษมีมลทินและตกกระเป็นต้น กลิคือโทษของผู้นั้นไปปราศแล้ว จากไปแล้ว เพราะเป็นเช่นกับก้อนทองคำที่ไล่มลทินแล้ว เหตุนั้น ผู้นั้นท่านจึงเรียกว่า วักกลิ เพราะลง ว อาคม. วักกลินั้นเจริญวัยแล้ว เล่าเรียนไตรเพทจนจบในศิลปศาสตร์ของพวกพราหมณ์ทั้งหมด. (วันหนึ่ง) เห็นพระศาสดา มองดูรูปกายสมบัติไม่อิ่ม จึงเที่ยวจาริกไปกับ พระศาสดาทรงคอยความแก่รอบแห่งญาณของเธอ ถึงเธอจะเที่ยวติดตามไปดูรูปหลายเวลา ก็มิได้ตรัสอะไรๆ จนถึงวันหนึ่งจึงตรัสว่า ดูก่อนวักกลิ จะมีประโยชน์อะไรด้วยการที่เธอต้องมาดูร่างกายอันเปื่อยเน่านี้ วักกลิเอย ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ก็วักกลิเห็นธรรมอยู่ ก็ชื่อว่าเห็นเรา. แม้เมื่อพระศาสดาตรัสสอนอยู่อย่างนี้ พระเถระก็ไม่อาจจะละการมองดูพระศาสดาแล้วไปในที่อื่นได้. แต่นั้น พระศาสดาจึงทรงดำริว่า ภิกษุนั้นไม่ได้ความสังเวช จักไม่ได้ตรัสรู้แน่ พอใกล้วันเข้าพรรษา จึงทรงขับไล่พระเถระไปด้วยพระดำรัสว่า วักกลิ เธอจงหลีกไปเสียเถิด. เธอถูกพระศาสดาทรงขับไล่แล้วจึงไม่สามารถจะอยู่ต่อพระพักตร์ พระศาสดาทรงทราบความเป็นไปนั้นของเธอแล้ว ทรงดำริว่า ภิกษุนี้เมื่อไม่ได้รับความเบาใจจากสำนักของเรา ก็จะพึงทำให้อุปนิสัยแห่งมรรคและผลพินาศไป ดังนี้แล้วทรงแสดงพระองค์ เปล่งพระโอภาส ตรัสพระคาถาว่า :- ภิกษุผู้มากไปด้วยความปราโมทย์เลื่อมใสใน พระพุทธศาสนา จะพึงบรรลุบทอันสงบ อัน เข้าไประงับสังขารเป็นสุขได้ ดังนี้. ทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า มานี่เถิด วักกลิ. พระเถระได้เกิดปิติและโสมนัสใจเป็นกำลังว่า เราจะได้เห็นพระทศพลแล้ว ความไม่เสื่อมเราได้แล้ว ด้วยพระดำรัสว่า จงมา ดังนี้แล้วคิดว่า เราจะไปทางไหน แล้วไม่รู้หนทางที่ตนจะไปเฝ้า จึงไปในอากาศเฉพาะพระพักตร์พระศาสดา โดยเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนภูเขา รำพึงถึงพระคาถาที่พระศาสดาได้ตรัสแล้วข่มปิติในอากาศนั้นแล บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ แล้ว. เรื่องที่ว่ามานี้ มาในอรรถ ส่วนในอรรถกถานี้ นักศึกษาพึงทราบอย่างนี้ว่า พระวักกลิพอได้รับพระโอวาทจากพระศาสดา โดยนัยเป็นต้นว่า กึ เต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน ทิฏฺเฐน ดูก่อนวักกลิ จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการที่เธอต้องมาดูร่างกายอันเปื่อยเน่านี้ ดังนี้แล้วก็อยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว ได้ทรงประทานให้เธอ ต่อมาอาพาธเนื่องด้วยลมเกิดขึ้นแก่เธอ เพราะความบกพร่องแห่งอาหาร (ท้องว่าง). พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าเธอถูกอาพาธเนื่องด้วยโรคลมเบียดเบียน จึงเสด็จไปในที่นั้น เมื่อจะตรัสถาม จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ในป่าใหญ่ ซึ่งเป็นที่ ปราศจากโคจร เป็นที่เศร้าหมอง ถูกโรคลมครอบงำ จักทำอย่างไร. พระเถระได้สดับพระดำรัสนั้นแล้ว จึงกราบทูลด้วยคาถา ๔ คาถาว่า ข้าพระองค์จะทำปีติและความสุขอันไพบูลย์ ให้แผ่ไปสู่ร่างกาย ครอบงำปัจจัยอันเศร้าหมอง อยู่ในป่าใหญ่ จักเจริญสติปัฏฐาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ และโพชฌงค์ ๗ อยู่ในป่าใหญ่ เพราะได้เห็นภิกษุทั้งหลายผู้ปรารถนาความ เพียร มีใจเด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ มีความพร้อมเพรียงกัน มีความเห็นร่วมกัน ข้า พระองค์จึงจักอยู่ในป่าใหญ่ เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้มี พระองค์อันฝึกแล้ว มีพระหฤทัยตั้งมั่น จึงเป็น ผู้ไม่เกียจคร้านตลอดทั้งกลางคืนและกลางวัน อยู่ในป่าใหญ่ ดังนี้ เนื้อความแห่งคาถาเหล่านั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในอรรถกถา พระเถระพยายามเจริญวิปัสสนาอย่างนี้ ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว. พระวักกลิเถระนั้น ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้วได้ระลึกถึงบุรพกรรมของตน เกิดความโสมนัส เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสฺสมฺหิ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิโต ความว่า ในที่สุดแสนกัป ภายหลัง บทว่า ปทุมาการวทโน ได้แก่ มีพระพักตร์มีความงดงามดุจดอกปทุมที่เบ่งบานดีแล้ว. บทว่า ปทุมปตฺตกฺโข ความว่า มีพระเนตรเช่นกับดอกและใบปทุมขาว. บทวา ปทุมุติตรคนฺโธ ว ความว่า มีพระโอษฐ์มีกลิ่นคล้ายกลิ่นดอกปทุม. บทว่า อนฺธานํ นยนูปโม ความว่า เป็นเสมือนนัยน์ตาของปวงสัตว์ผู้ บทว่า สนฺตเวโส ได้แก่ ทรงมีความสงบระงับเป็นสภาพ คือทรงมีพระ บทว่า คุณนิธี ได้แก่ เป็นที่ฝังแห่งพระคุณทั้งหลาย. อธิบายว่า เป็นที่รองรับหมู่แห่งพระคุณทั้งหมด. บทว่า กรุณามติอากโร ความว่า เป็นบ่อเกิดคือเป็นที่รอง บทว่า พฺรหฺมาสุรสุรจฺจิโต ความว่า เป็นผู้อันพรหม อสูรและเทวดา เคารพคือบูชาแล้ว. บทว่า มธุเรน รุเตน จ เชื่อมความว่า ทรงยังประชาชนทั้งหมดให้ยินดีด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะสเนาะดุจนกการเวก. บทว่า สนฺถวี สาวกํ สกํ ความว่า ได้ทรงชมเชย คือทรงกระทำการชมเชยสาวกของพระองค์ด้วยพระธรรมเทศนาอันไพเราะเพราะพริ้ง. บทว่า สทฺธาธิมุตฺโต ความว่า น้อมใจตั้งมั่นในพระศาสนาด้วยศรัทธาคือการน้อมใจเชื่อ. บทว่า มม ทสฺสนลาลโส ความว่า ขวนขวายมีใจจดจ่อในการดูเรา. บทว่า ตํ ฐานมภิโรจยึ ความว่า เราชอบใจ ต้องการปรารถนาตำแหน่งสัทธาธิมุตนั้น. บทว่า ปีตมฏฺฐนิวาสนํ ความว่า ผู้นุ่งผ้ามีสีดุจทองคำเนื้อเกลี้ยง. บทว่า เหมยญฺโญปจิตงฺคํ ความว่า มีอวัยวะอันบุญสร้างสมให้คล้ายกับสายสร้อยทองคำ. บทว่า โนนีตสุขุมาลํ มํ ความว่า ผู้มีมือและเท้าอันละเอียดอ่อนดุจเนยข้น. บทว่า ชาตปลฺลวโกมลํ ความว่า นุ่มนิ่มอ่อน ดุจความอ่อนของใบอโศกอ่อนๆ ฉะนั้น. บทว่า ปีสาจีภยตชฺชิตา ความว่า ในคราวที่หญิงแม่มดอื่นคือ อธิบายว่า มารดาบิดาของผู้มีจิตหวาดกลัวได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโลก บทว่า ตทา ปฏิคฺคหิ โส มํ ความว่า ในคราวที่มารดาถวายเราแล้วนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า บทว่า สพฺพปารมิสมฺกูตํ ความว่า อันบังเกิดพร้อมด้วย บทว่า นีลกฺขินยนํ วรํ ได้แก่ มีดวงตาสีเขียวอันอุดม เกิดแต่บุญ บทว่า สพฺพสุภากิณฺณํ ความว่า ได้ดูพระรูปเช่น พระหัตถ์ พระบาทและพระ เชื่อมคำว่า เรา (ดู) อยู่ ไม่ถึงความอิ่ม. บทว่า ตทา มํ จรณนฺตโค ความว่า เมื่อเราได้บรรลุพระอรหัตแล้วนั้น ได้ทรงทำที่สุด อธิบายว่า บรรลุถึงที่สุด คือบำเพ็ญจนเต็มบริบูรณ์. บาลีเป็น มรรนฺตโต ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ถึงที่สุดแห่งความตายนั้นก็คือพระนิพพาน. เชื่อมความว่า ได้ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้เป็นสัทธาธิมุต. มีคำที่ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ลำดับนั้น พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุ คำที่เหลือมีเนื้อความพอกำหนดรู้ได้โดยง่ายทีเดียวแล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค ๒. วักกลิเถราปทาน จบ. |