บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ถึงความสำเร็จในศิลปะของพวกพราหมณ์แล้ว เป็นผู้มีความรู้ไม่ วันหนึ่งได้ไปยังสำนักของพระศาสดา ขณะฟังธรรมมีใจเลื่อมใส ได้เห็น จึงได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ตลอด ๗ วัน โดยล่วง ๗ วันไปแล้ว จึงหมอบลงที่บาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวันที่ ๗ แต่วันนี้ไป พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้สถาปนาภิกษุใดไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้ว ทรงทราบว่าสำเร็จผลแน่ จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล เขาบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม จักเป็นผู้เลิศกว่าพวก เขาได้ทำบุญไว้เป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดใน ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เขาได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระศาสนา ในบรรดาภิกษุทั้ง ๗ รูปเหล่านั้น พระสังฆเถระได้บรรลุพระอรหัต โดยล่วงไปเพียงราตรีเดียวเท่านั้น. พระเถระนั้นเคี้ยวไม้สีฟันชื่อนาคลดา ในสระอโนดาด ล้างหน้าแล้ว นำเอา ภิกษุเหล่านั้นพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกเราได้กระทำกติกาอย่างนี้ไว้แล้วหรือว่า รูปใดบรรลุพระอรหัตก่อน รูปที่เหลือจงบริโภคฉันบิณฑบาตที่รูปนั้นนำมาแล้ว. พระเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุ ข้อนั้นมิใช่เป็นเช่นนั้น. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ก็ถ้าว่าแม้พวกเราจักได้ทำคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นได้เหมือนอย่างทานไซร้ ตนเองก็จักนำมาบริโภคฉันเอง ดังนี้จึงไม่ปรารถนาแล้ว. ในวันที่ ๒ พระเถระรูปที่ ๒ ได้เป็นพระอนาคามี ได้นำเอา พระเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุ ก็ข้อนั้นมิใช่เป็นเช่นนั้น. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ แม้พวกเราจักทำคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นเหมือนอย่างพวกท่านอย่างนั้นแล้ว ก็จักอาจเพื่อขบฉันตามความเป็นอย่างบุรุษของตนของตน ดังนี้ ไม่ปรารถนาแล้ว. ในบรรดาภิกษุเหล่านั้นพระเถระที่ได้บรรลุพระอรหัต ได้ปรินิพพานแล้ว. พระเถระรูปที่ ๒ ได้เป็นพระอนาคามีได้ไปบังเกิดพรหมโลก. ภิกษุอีก ๕ รูปนอกนี้ไม่สามารถจะทำคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นได้ จึงเศร้าโศกใจในวันที่ ๗ ได้กระทำกาละไปบังเกิดในเทวโลก. ได้เสวยทิพยสุขในเทวโลกนั้นแล้ว ใน ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น คนหนึ่งไปเป็นพระราชาพระนามว่าปุกกุสะ อยู่ในกรุงตักกสิลา แคว้นคันธาระ คนหนึ่งชื่อว่ากุมารกัสสปะ คนหนึ่งชื่อว่าพาหิยทารุจิริยะ คนหนึ่งชื่อว่าทัพพมัลลบุตร และคนหนึ่งชื่อว่าสภิยปริพาชกแล. ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น พาหิยทารุจิริยะคนนี้ได้บังเกิดในตระกูลพ่อค้าที่ท่าสุปปารกะ ถึงความสำเร็จในพาณิชยกรรมแล้ว มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก. เขาได้ขึ้นเรือไปต่างประเทศพร้อมกับพวกพ่อค้าซึ่งกำลังเดินทางไปยังสุวรรณภูมิ เดินทางไปได้เล็กน้อย เรือก็อับปาง ผู้คนที่เหลือก็กลายเป็นภักษาของปลาและเต่า เหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นเกาะไม้ เขาไม่มีผ้านุ่งและผ้าห่ม เขามองไม่เห็นใครอื่น จึงเอาปอผูกท่อนไม้แห้งแล้ว นุ่งและห่ม ถือ พวกมนุษย์เห็นเขาเข้าแล้ว ต่างก็พากันให้ยาคูและภัตเป็นต้นแล้วยกย่องว่า ท่านผู้นี้คนเดียวเป็นพระอรหันต์. เมื่อพวกชาวบ้านนำเอาผ้านุ่งผ้าห่มมาให้มากมายเขาจึงคิดว่า ถ้าว่า เราจะนุ่งหรือจะห่มผ้าไซร้ ลาภและสักการะของเราก็จักเสื่อมสิ้นไป จึงพูดห้ามผ้าเหล่านั้นเสียแล้ว ใช้สอยเฉพาะแต่ผ้าเปลือกไม้อย่างเดียว. ลำดับนั้น เมื่อเขาได้รับยกย่องจากประชาชนเป็นอันมากว่าเป็นพระอรหันต์ พระ ในพระศาสนาแห่งพระกัสสปทศพล เมื่อชนทั้ง ๗ คนขึ้นไปยังภูเขา เมื่อรำพึงว่า ก็ในเวลานี้คนทั้ง ๕ เหล่านั้นไปบังเกิดในที่ไหนหนอ จึงได้ ในขณะนั้นนั่นแล จึงลงจากพรหมโลกแล้วได้ปรากฏข้างหน้าทารุจิริยะ ในระหว่างภาคราตรี ณ ที่ท่าสุปปารกะ. ทารุจิริยะนั้นเห็นแสงสว่างส่องมาในที่อยู่ของตน จึงออกมาข้างนอกเห็นท้าวมหาพรหมเข้า จึงประคองอัญชลีถามว่า ท่านเป็นใครหนอ. ท้าวมหาพรหมตอบว่า เราเป็นสหายเก่าของท่าน ได้บรรลุอนาคามิผลแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก หัวหน้าของพวกเราทั้งหมด เป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานแล้ว ส่วนพวกท่าน ๕ คน ไปบังเกิดในเทวโลก บัดนี้เรานั้นได้เห็นท่านเลี้ยงชีวิตด้วยการงานคือการหลอกลวงในที่นี้ จึงได้มาเพื่อสั่งสอนท่านแล้วกล่าวถึงเหตุนี้ว่า พาหิยะ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ทั้งไม่ใช่เป็นผู้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัตด้วยปฏิปทาใด ปฏิทาแม้นั้นไม่ได้มีแก่ท่านเลย. ลำดับนั้น ท้าวมหาพรหมได้บอกเขาว่า พระศาสดาทรงอุบัติขึ้นแล้ว และได้บอกเขาว่า พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้ส่งเขาไปด้วยสั่งว่า จงไปเฝ้าพระศาสดาเถิด แล้วก็ได้กลับไปยังพรหมโลกตามเดิม. ฝ่ายพาหิยะมองดูท้าวมหาพรหมผู้ยืนกล่าวอยู่ในอากาศแล้ว คิดว่า โอ เราได้กระทำกรรมหนักหนอ เรามิได้เป็นพระอรหันต์ แต่คิดว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ท้าว ลำดับนั้น พาหิยะจึงถามเทวดานั้นว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกใครเล่าเป็นพระอรหันต์ หรือว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัต. ลำดับนั้น เทวดาจึงบอกเขาว่า พาหิยะ ในอุตตรชนบทมีพระนครหนึ่งชื่อสาวัตถี บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ในส่วนแห่งราตรีนั้น พาหิยะได้ฟังถ้อยคำของเทวดาแล้ว ในขณะนั้น พระศาสดากำลังเสด็จเข้าไปยังกรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต เขาเข้าไปยังพระเชตวันแล้ว ถามพวกภิกษุมากรูปผู้กำลังเดินจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้งว่า บัดนี้ พระศาสดาเสด็จไปไหนเสียเล่า? พวกภิกษุตอบว่า พระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีแล้วถามว่า คุณมาจากไหนเล่า? เขาตอบว่า ผมมาจากท่าสุปปารกะขอรับ. ถามว่า คุณออกเดินทางเวลาเท่าไร? เขาตอบว่า ผมออกเดินทางเมื่อเย็นวานนี้ ขอรับ. พวกภิกษุกล่าวต้อนรับว่า คุณเดินทางมาไกล เชิญนั่ง ล้างเท้าทาน้ำมันเสียก่อน พักผ่อนสักหน่อย ในเวลาไม่นานนักจักได้เห็น พาหิยะกราบเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ผมไม่รู้ถึงอันตรายในชีวิตของพระศาสดาเสียก่อนแล้ว จึง เขาพูดอย่างนั้นแล้วก็รีบร้อน เข้าไปยัง ลำดับนั้น พระศาสดาทรงตรัสห้ามเขาไว้ว่า เวลานี้มิใช่กาล พาหิยะ เราจะเข้าไปยังละแวกบ้านเพื่อ พาหิยะได้สดับพระดำรัสนั้นแล้ว จึงกราบทูลวิงวอนอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏไม่เคยได้อาหารคือคำข้าวไม่มี ข้าพระองค์ไม่รู้อันตรายในชีวิตของพระองค์หรือว่าของข้าพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด ขอพระสุคตเจ้าจงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด. พระศาสดาตรัสห้ามอย่างนั้นนั่นแลแม้ครั้งที่ ๒. นัยว่า พระศาสดาได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า ตั้งแต่เวลาที่พาหิยะนี้เห็นแล้ว สรีระ เพราะเหตุนั้นในข้อนี้ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ พาหิยะ เมื่อเธอเห็นแล้ว จักเป็นสักว่าเห็น. พาหิยะนั้นขณะกำลังฟังธรรมของพระศาสดาอยู่นั่นแล ได้ทำอาสวะทั้งปวงให้หมดสิ้นไปแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต พาหิยะนั้น ในขณะที่ได้บรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล ระลึกถึง คำนั้นมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. ข้าพเจ้าจักกระทำ |