ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]อ่านอรรถกถา 33.1 / 1อ่านอรรถกถา 33.1 / 180อรรถกถา เล่มที่ 33.2 ข้อ 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 2อ่านอรรถกถา 33.2 / 28
อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์
รัตนะจงกรมกัณฑ์

หน้าต่างที่ ๒ / ๑๒.

               อัพภันตรนิทาน               
               พรรณนารัตนจังกมนกัณฑ์               
               ก็บัดนี้จะพรรณนาความแห่งอัพภันตรนิทาน ที่เป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า
                                   ท้าวสหัมบดีพรหม เจ้าโลก ประคองอัญชลีทูล
                         ขอพรอันยอดเยี่ยมว่า สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสดุจธุลีใน
                         ดวงตาน้อย มีอยู่ในโลกนี้ ขอพระองค์ทรงเอ็นดูหมู่
                         สัตว์นี้แสดงธรรมโปรดเถิด.

               ในข้อนี้ ผู้ทักท้วงกล่าวว่า เหตุไรท่านไม่กล่าวนิทานโดยนัยเป็นต้นว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ. ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงพุทธวงศ์ดังนี้ แต่กล่าวนิทานโดยนัยเป็นต้นว่า ท้าวสหัมบดีพรหม เจ้าโลก ประคองอัญชลีทูลขอพรอันยอดเยี่ยม ดังนี้.
               ขอชี้แจงดังนี้ว่า ท่านกล่าวดังนั้นก็เพื่อชี้ถึงการทูลขอให้ทรงแสดงธรรมของพรหม อันเป็นเหตุแห่งการแสดงธรรมทั้งปวงของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ขอชี้แจงปัญหานี้ที่ว่า
                                   พระชินพุทธเจ้านี้ถูกพรหมอาราธนา เพื่อทรง
                         แสดงธรรมเมื่อไร ก็คาถานี้ ใครยกขึ้นกล่าว กล่าวเมื่อ
                         ไร และที่ไหน.
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า เข้าสัปดาห์ที่ ๘ พระศาสดาก็ถูกพรหมทูลอาราธนาอ้อนวอน เพื่อทรงแสดงธรรม.
               ในเรื่องนั้น กล่าวความตามลำดับ ดังนี้.
               ได้ยินว่า ในวันเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พระมหาบุรุษทรงเห็นนางรำ นักสนมนอนผ้าผ่อนเปิดน่าเกลียด ทรงสังเวชพระหฤทัยยิ่งนัก เรียกนายฉันนะผู้ปิดกายด้วยผ้าส่วนหนึ่งตรัสว่า เจ้าจงนำม้าฝีเท้าดี ชื่อกัณฐกะ ที่ข่มข้าศึกตัวยงได้ ให้นำม้ากัณฐกะมาแล้ว ทรงมีนายฉันนะเป็นสหาย เสด็จขึ้นทรงม้า เมื่อเทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ประตูพระนคร เปิดประตูพระนครแล้วก็ออกจากพระนครไป ผ่าน ๓ ราชอาณาจักร โดยส่วนที่เหลือจากสมบัติที่พระราชาพระองค์นั้นทรงยินดีแล้ว ทรงเป็นสัตว์ที่ไม่ต่ำทราม ประทับยืนริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ตรัสกะนายฉันนะเท่านั้นว่า ฉันนะ เจ้าจงพาเครื่องอาภรณ์ที่ไม่ทั่วไปกับคนอื่นๆ เหล่านี้ และกัณฐกะม้าฝีเท้าดีของเรากลับไปกรุงกบิลพัสดุ์นะ ทรงปล่อยนายฉันนะแล้ว ก็ทรงตัดมกุฏผ้าโพกพร้อมกับพระเกศา ด้วยดาบคือพระขรรค์อันคมกริบ เสมือนกลีบบัวขาบ แล้วเหวี่ยงไปในอากาศ ทรงถือบาตรจีวรที่เทวดาถวาย ทรงผนวชด้วยพระองค์เอง เสด็จจาริกไปโดยลำดับ
               ทรงข้ามแม่น้ำคงคาที่มีคลื่นหักโหมปั่นป่วนเพราะแรงลมได้ไม่ติดขัด เสด็จเข้าสู่พระนครชื่อว่าราชคฤห์ ที่มีราชนิเวศน์โชติช่วงด้วยข่ายรัศมีแห่งหมู่แก้วมณี ทรงไม่ติดขัดด้วยการเสด็จดำเนิน มีพระอินทรีย์สงบ มีพระมนัสสงบ ทรงแลดูชั่วแอก ประหนึ่งทรงปลอบชนผู้มัวเมาเพราะความเมาในความเป็นใหญ่ แห่งกรุงราชคฤห์นั้น ประหนึ่งทรงทำให้เกิดความละอายแก่ชนผู้มีเพศอันฟุ้งเฟ้อแล้ว ประหนึ่งทรงผูกหัวใจของชนชาวกรุงไว้ในพระองค์ ด้วยความรักในวัย ประหนึ่งทรงแย่งดวงตาของชนทุกคนด้วยพระสิริรูป ที่ส่องประกายด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ประหนึ่งกองบุญ และประหนึ่งบรรพตที่เดินได้ด้วยพระบาทที่มีรูปงาม เสด็จเที่ยวบิณฑบาตไปยังกรุงราชคฤห์
               ทรงรับอาหารเพียงยังอัตภาพให้พอเป็นไปได้ เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ประทับนั่ง ณ โอกาสสงัดน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง เป็นภูมิภาคสะอาด พรั่งพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ ข้างปัณฑวบรรพต เสวยอาหารที่คลุกกัน อันพระเจ้าพิมพิสารมหาราชแห่งอาณาจักรมคธ เสด็จไปหาพระมหาบุรุษ ตรัสถามพระนามและพระโคตรแล้ว มีพระราชหฤทัยบันเทิงกับพระองค์ ทรงเชื้อเชิญด้วยราชสมบัติว่า ขอทรงโปรดรับราชสมบัติส่วนหนึ่งของหม่อมฉันเถิด.
               ด้วยพระสุรเสียงไพเราะดังบัณเฑาะว์ตรัสตอบว่า อย่าเลย พระมหาราชเจ้า หม่อมฉันไม่ประสงค์ด้วยราชสมบัติดอก หม่อมฉันละราชสมบัติมาประกอบความเพียร เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลก แล้วจักเป็นพระพุทธเจ้าผู้มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก ดังนี้แล้วเสด็จออกไป
               อันพระเจ้าพิมพิสารพระองค์นั้นตรัสวอนว่า พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้วโปรดเสด็จมายังแคว้นของหม่อมฉันก่อนแคว้นอื่นทั้งหมด ทรงถวายปฏิญญาคำรับรองแด่พระเจ้าพิมพิสารนั้นว่า สาธุ แล้วเสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบสและอุทกดาบส ไม่ทรงพบสาระแห่งธรรมเทศนาของดาบสทั้งสองท่านนั้น ก็ทรงหลีกออกจากที่นั้น แม้ทรงทำทุกกรกิริยาถึง ๖ ปี ณ ตำบลอุรุเวลา ก็ไม่อาจบรรลุอมตธรรมได้ ทรงทำพระสรีระให้อิ่มหนำสำราญด้วยการเสวยพระกระยาหารอย่างหยาบ.
               ครั้งนั้น หญิงรุ่นชื่อสุชาดา ธิดาของกุฎุมพีเสนานิคม ในตำบลอุรุเวลา เสนานิคม โตเป็นสาวแล้วทำความปรารถนา ณ ต้นไทรต้นหนึ่งว่า ถ้าดิฉันไปเรือนสกุลที่มีชาติสมกัน [มีสามี] ได้ลูกชายในท้องแรกก็จักทำพลีกรรมสังเวย. ความปรารถนาของนางสำเร็จแล้ว ในวันเพ็ญเดือน ๖ นางดำริว่า วันนี้จักทำพลีกรรม พอเช้าตรู่จึงให้จัดข้าวปายาสที่ไม่แข้นแข็ง มีรสอร่อยอย่างยิ่ง.
               ในวันนั้นนั่นเอง แม้พระโพธิสัตว์ทรงทำสรีรกิจแล้ว คอยเวลาภิกษาจาร เช้าตรู่ก็เสด็จไปประทับนั่ง ณ โคนต้นไทรนั้น.
               ครั้งนั้น ทาสีชื่อปุณณา แม่นมของนางสุชาดาเดินไปหมายจะทำความสะอาดที่โคนต้นไทร ก็พบพระโพธิสัตว์ประทับนั่งสำรวจโลกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่ ผู้มีพระสรีระงาม เสมือนยอดภูเขาทองซึ่งเรืองรองด้วยแสงสนธยา ผู้เป็นดวงอาทิตย์แห่งมุนี ผู้เข้าไปสู่ต้นไม้อันประเสริฐ เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ผู้ทำการฝังตัวลงในกลุ่มมืด [กำจัดมืด] ผู้ทำความแย้มผลิแห่งดงบัว ผู้สอดเข้าสู่หลืบเมฆ.
               เพราะเห็นต้นไม้นั้นมีสีเหมือนสีทองหมดทั้งต้น โดยรัศมีที่แล่นออกจากพระสรีระของพระโพธิสัตว์นั้น นางปุณณาทาสีจึงคิดว่า วันนี้เทวดาของเราลงจากต้นไม้ คงอยากจะรับเครื่องพลีกรรมด้วยมือตนเอง จึงมานั่งคอย. นางจึงรีบไปบอกความเรื่องนั้นแก่นางสุชาดา.
               จากนั้น นางสุชาดาเกิดศรัทธาขึ้นมาเอง ก็แต่งตัวด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง บรรจุถาดทองมีค่านับแสนเต็มด้วยข้าวมธุปายาสมีรสอร่อยอย่างยิ่ง ปิดด้วยถาดทองอีกถาดหนึ่ง เทินศีรษะ เดินมุ่งหน้าตรงต้นไทร.
               นางกำลังเดินไป เห็นพระโพธิสัตว์นั้นแต่ไกล ประทับนั่งงดงามเหมือนกองบุญ ทำต้นไม้นั้นทั้งต้นมีสีเหมือนสีทองด้วยรัศมีแห่งพระสรีระ ประหนึ่งรุกขเทวดา ก็เกิดปิติปราโมทย์ เดินน้อมตัวลงตั้งแต่ที่เห็นด้วยเข้าใจว่าเป็นรุกขเทวดา ปลงถาดทองนั้นลงจากศีรษะ ประคองวางไว้ในพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์ แล้วไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์กล่าวว่า มโนรถ ความปรารถนาของดิฉันสำเร็จแล้วฉันใด มโนรถแม้ของพระองค์ก็จงสำเร็จฉันนั้นเถิด แล้วก็กลับไป.
               ครั้งนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงถือถาดทอง เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงวางถาดทองไว้ที่ริมฝั่งใกล้ท่าน้ำชื่อสุปปติฏฐิตะ สรงสนานแล้วเสด็จขึ้น ทรงทำเป็นก้อนได้ ๔๙ ก้อน เสวยข้าวปายาสนั้นแล้วทรงลอยถาดทองนั้นลงไป พร้อมทรงอธิษฐานว่า ถ้าวันนี้เราจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ขอถาดทองนี้จงลอยทวนน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนน้ำ เข้าไปยังภพของพระยานาคชื่อว่ากาฬนาคราช ยกถาดของพระพุทธเจ้าสามพระองค์ขึ้นแล้วตั้งอยู่ข้างใต้ถาดเหล่านั้น.
               พระมหาสัตว์ประทับพักกลางวัน ณ ราวป่านั้นนั่นแล เวลาเย็น ทรงรับหญ้า ๘ กำที่คนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะ ทราบอาการของพระมหาบุรุษ ถวายแล้ว เสด็จขึ้นสู่โพธิมัณฑสถาน ประทับยืน ณ ทิศทักษิณ. ประเทศนั้นก็ไหวเหมือนหยาดน้ำบนใบบัว. พระมหาบุรุษทรงทราบว่า ประเทศตรงนี้ไม่อาจทรงคุณของเราได้ ก็เสด็จไปทิศปัศจิม. แม้ประเทศตรงนั้นก็ไหวเหมือนกัน จึงเสด็จไปทิศอุดรอีก แม้ประเทศตรงนั้นก็ไหวเหมือนกัน จึงเสด็จไปทิศบูรพาอีก.
               ในทิศนั้น สถานที่ขนาดบัลลังก์ มิได้ไหวเลย พระมหาบุรุษทรงสันนิษฐานว่า ที่นี้เป็นสถานที่กำจัดกิเลสแน่จึงทรงจับปลายหญ้าเหล่านั้นสะบัด. หญ้าเหล่านั้นได้เรียงเรียบเหมือนถูกกำหนดด้วยปลายแปรงทาสี.
               พระโพธิสัตว์ก็ทรงอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ว่า เราไม่บรรลุโพธิญาณแล้วจักไม่ทำลายบัลลังก์ แล้วทรงคู้บัลลังก์นั่งขัดสมาธิ ประทับนั่งให้ต้นโพธิ์อยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ หันพระพักตร์ออกสู่ทิศบูรพา.
               ทันใดนั้นเอง มารผู้รังควานโลกทั้งปวง ก็เนรมิตแขนพันแขนขึ้น ขี่พระยาช้าง ผู้กำจัดศัตรูตัวยงชื่อคิริเมขละ ขนาด ๑๕๐ โยชน์ เสมือนยอดเขาหิมวันตคิรี ถูกห้อมล้อมด้วยพลมารหนาแน่นยิ่งนัก มีพลธนู พลดาบ พลขวาน พลศร พลหอกเป็นกำลัง ครอบทะมึนโดยรอบดุจภูเขา ยาตรเยื้องเข้าหาพระมหาสัตว์ผู้เป็นประดุจศัตรูใหญ่.
               พระมหาบุรุษ เมื่อดวงอาทิตย์ตั้งอยู่นั่นแล ก็ทรงกำจัดพลมารจำนวนมากมายได้ ถูกบูชาด้วยยอดอ่อนโพธิที่งดงามน่าดูเสมือนหน่อแก้วประพาฬสีแดง ซึ่งร่วงตกลงบนจีวรที่มีสีเสมือนดอกชบาแย้ม ประหนึ่งแทนปีติทีเดียว ปฐมยามก็ทรงได้บุพเพนิวาสานุสติญาณ มัชฌิมยามก็ทรงชำระทิพยจักษุญาณ ปัจฉิมยามก็ทรงหยั่งพระญาณลงในปฏิจจสมุปบาท ทรงพิจารณาวัฏฏะและวิวัฏฏะ พออรุณอุทัยก็ทรงเป็นพระพุทธเจ้า ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า
                                   เราแสวงหาช่างผู้สร้างเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่พบ
                         ก็ท่องเที่ยวไปสิ้นสงสารนับด้วยชาติมิใช่น้อย ความเกิด
                         บ่อยๆ เป็นทุกข์. ดูก่อนช่างผู้สร้างเรือนคืออัตภาพ เรา
                         พบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนคืออัตภาพอีกไม่ได้ โครง
                         เรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว ยอดเรือนคืออวิชชา
                         เราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงพระนิพพานแล้ว เพราะเรา
                         ได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาทั้งหลายแล้ว.

               ทรงยับยั้งอยู่ด้วยการเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน วันที่ ๘ ทรงออกจากสมาบัติ ทรงทราบความสงสัยของเทวดาทั้งหลายทรงเหาะไปในอากาศ เพื่อกำจัดความสงสัยของเทวดาเหล่านั้น ครั้นทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์กำจัดความสงสัยของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ประทับยืน ณ เบื้องทิศอุดร เยื้องทิศบูรพาจากบัลลังก์ไปนิดหน่อย ทรงจ้องดูบัลลังก์และต้นโพธิ สถานที่บรรลุผลแห่งพระบารมีทั้งหลายที่ทรงบำเพ็ญมาถึงสี่อสงไขยแสนกัป ด้วยดวงพระเนตรที่ไม่กระพริบว่า เราแทงตลอดสัพพัญญุตญาณเหนือบัลลังก์นี้ ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน สถานที่นั้นจึงชื่อว่าอนิมิสเจดีย์.
               ต่อจากนั้น เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรม ต่อจากทิศบูรพาและทิศปัศจิม ระหว่างบัลลังก์และสถานที่ประทับยืน ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน สถานที่นั้นจึงชื่อว่ารัตนจังกมเจดีย์.
               เทวดาทั้งหลายช่วยกันเนรมิตเรือนแก้วถวายในส่วนทิศปัศจิม ต่อจากนั้นก็ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ ที่นั้นทรงพิจารณาเฟ้นพระอภิธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคัมภีร์สมันตปัฏฐานที่มีนัยไม่มีที่สุด ณ ที่นั้น ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน สถานที่นั้นจึงชื่อว่ารัตนฆรเจดีย์.
               พระพุทธเจ้าทรงยับยั้งอยู่ ใกล้ๆ ต้นโพธิ ๔ สัปดาห์อย่างนี้แล้ว ในสัปดาห์ที่ ๕ จึงออกจากโคนต้นโพธิ์ เสด็จเข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธ. แม้ในที่นั้นก็ทรงพิจารณาเฟ้นธรรมและเสวยวิมุตติสุข ทรงยับยั้งอยู่ ณ อชปาลนิโครธ ๗ วัน.
               ประทับนั่ง ณ มุจลินท์ ต้นจิกด้วยอาการอย่างนี้อีก ๗ วัน พระผู้มีพระภาคเจ้าพอประทับนั่งในที่นั้นเท่านั้น มหาเมฆซึ่งมิใช่ฤดูกาลก็เกิดขึ้นเต็มทั่วห้องจักรวาล เมื่อมหาเมฆเกิดขึ้นแล้ว. พระยานาคชื่อมุจลินท์ก็คิดว่า เมื่อพระศาสดาพอเสด็จเข้าสู่ภพของเรา มหาเมฆนี่ก็เกิดขึ้น ควรได้อาคารที่ประทับอยู่สำหรับพระศาสดานั้น พระยานาคนั้นแม้จะสามารถเนรมิตวิมานทิพย์ได้เหมือนวิมานเทพ อันสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ก็คิดว่า เมื่อเราสร้างวิมานอย่างนี้จักไม่มีผลมากแก่เรา จำเราจักขวนขวายด้วยกายตนเองเพื่อพระทศพล จึงทำอัตภาพให้ใหญ่ยิ่งล้อมพระศาสดาไว้ด้วยขนด ๗ ชั้น แผ่พังพานไว้ข้างบน.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บัลลังก์มีค่ายิ่ง ที่สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ เพดานมีพวงดอกไม้หอมต่างชนิดห้อยอยู่เบื้องบน อบด้วยกลิ่นหอมต่างชนิด ในโอกาสใหญ่ภายในขนดล้อม เหมือนประทับอยู่ในพระคันธกุฎี.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ที่ต้นมุจลินท์นั้นตลอด ๗ วันนั้นอย่างนี้.ต่อจากนั้นก็ประทับนั่ง ณ ราชายตนะต้นเกดอีก ๗ วัน เสวยวิมุตติสุขอยู่ในที่นั้นนั่นแล ด้วยอาการดังกล่าวมานี้ ก็ครบ ๗ สัปดาห์บริบูรณ์ ในระหว่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ด้วยสุขในฌานและสุขในผล.
               ครั้นล่วงไป ๗ สัปดาห์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นก็เกิดจิตคิดจะบ้วนพระโอษฐ์ ท้าวสักกะจอมทวยเทพก็นำผลสมอที่เป็นยาถวาย ครั้งนั้น ท้าวสักกะได้ถวายไม้สีฟันชื่อนาคลดา และน้ำบ้วนพระโอษฐ์แด่พระองค์. ต่อแต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเคี้ยวไม้สีฟัน ทรงบ้วนพระโอษฐ์ด้วยน้ำในสระอโนดาต ประทับนั่ง ณ โคนต้นราชายตนะ.
               สมัยนั้น เมื่อท้าวจตุโลกบาล น้อมบาตรศิลามีค่ายิ่งเข้าไปถวาย ทรงรับข้าวสัตตูผงและสัตตูก้อนของพาณิชชื่อตปุสสะและภัลลิกะ [ด้วยบาตรนั้น] เสวยเสร็จแล้วเสด็จกลับมาประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ.
               ลำดับนั้น พระองค์พอประทับนั่ง ณ ที่นั้นเท่านั้น ทรงพิจารณาทบทวนถึงภาวะแห่งธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุเป็นธรรมลุ่มลึก ก็ทรงเกิดปริวิตกที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประพฤติมา ถึงอาการคือความที่มีพระพุทธประสงค์จะไม่ทรงแสดงธรรมโปรดผู้อื่นว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ลึกซึ้ง เห็นยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ตรึกคาดคิดเอาไม่ได้ ละเอียด บัณฑิตพึงรู้.
               ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมล่วงรู้ถึงจิตปริวิตกของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจตนแล้ว ก็เปล่งวาจาว่า น่าที่โลกจะพินาศละสิหนอ น่าที่โลกจะพินาศละสิหนอ อันหมู่พรหมในหมื่นจักรวาลแวดล้อมแล้ว อันท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมิต ท้าวปรนิมมิตวสวัตดีติดตามเสด็จมา ปรากฏอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ท้าวสหัมบดีพรหมนั้นทรงเนรมิตผืนแผ่นดิน เพื่อเป็นที่ประทับยืนของพระองค์เอง จึงทรงคุกชาณุมณฑล [เข่า] เบื้องขวาลงที่แผ่นดิน ทรงทำอัญชลี ประนมกรที่รุ่งเรืองด้วยทศนขสโมธาน เสมือนบัวตูมเกิดในน้ำไร้มลทินไม่วิกลขึ้นเหนือเศียร ทูลวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงธรรม ด้วยนัยมิใช่น้อยเป็นต้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรม ขอพระสุคตเจ้าจงทรงแสดงธรรมโปรดเถิด หมู่สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย ยังมีอยู่ เพราะไม่ได้สดับธรรม ก็ย่อมเสื่อมเสียประโยชน์ไปเปล่า หมู่สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงธรรม คงจักมีแน่แท้ ดังนี้
                                   แต่ก่อนในแคว้นมคธ ปรากฏมีแต่ธรรมที่ไม่
                         บริสุทธิ์ อันมีผู้มีมลทินคิดแล้ว ประตูแห่งอมตนคร
                         ก็ยังมิได้เปิด ขอหมู่สัตว์จงสดับธรรมที่พระผู้ไร้มลทิน
                         ตรัสรู้แล้วเถิด ชนผู้ยืนอยู่เหนือยอดภูผาหิน จะพึง
                         เห็นหมู่ชนได้โดยรอบแม้ฉันใด ข้าแต่พระผู้มีปัญญา
                         ดี มีพระสมันตจักษุ พระองค์ปราศจากโศกแล้วจง
                         เสด็จขึ้นสู่ปราสาท ที่สำเร็จด้วยธรรม โปรดพิจารณาดู
                         หมู่ชน ผู้ระงมด้วยโศก ถูกชาติชราครอบงำแล้ว ก็
                         อุปมาฉันนั้น ข้าแต่พระผู้แกล้วกล้า ผู้ชนะสงคราม
                         แล้ว ผู้ประดุจนายกองเกวียน ไม่เป็นหนี้ โปรดลุก
                         ขึ้นเสด็จจาริกไปในโลก ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจง
                         ทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์เถิด หมู่สัตว์ที่รู้ทั่วถึงธรรม
                         คงจักมีเป็นแน่ ดังนี้.
               พระองค์ตรัสรู้ธรรมที่ควรตรัสรู้แล้ว ทรงข้ามโอฆะที่พระองค์ควรข้ามแล้ว ทรงหลุดพ้นทุกข์ที่พระองค์ควรหลุดพ้นแล้ว มิใช่หรือ ดังนี้.
               ทรงทำความปรารถนาไว้ว่า
                                   ประโยชน์อะไรของเรา ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก
                         ด้วยการทำให้แจ้งธรรม ในโลกนี้ เราบรรลุสัพพัญญุต-
                         ญาณแล้ว จักยังโลกนี้กับทั้งเทวโลกให้ข้ามโอฆสงสาร
                         ดังนี้.
               ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้วทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว. และว่า เมื่อพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม คนอื่นใครเล่าจักแสดงธรรม, สิ่งอื่นอะไรเล่าจะเป็นสรณะของโลก จะเป็นเครื่องช่วย เครื่องเร้น เครื่องนำไปเบื้องหน้า.
               ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าเข้าสัปดาห์ที่ ๘ พระศาสดาก็ถูกพรหมทูลอ้อนวอน เพื่อทรงแสดงธรรม.
               บัดนี้ ถึงโอกาสตอบปัญหาเหล่านี้ที่ว่า คาถานี้ใครยกขึ้นกล่าวเมื่อไรและที่ไหน.
               ในปัญหานั้นถามว่า คาถานี้ท่านกล่าวเมื่อไร ตอบว่า กล่าวครั้งทำสังคายนาใหญ่ครั้งแรก การสังคายนาใหญ่ครั้งแรกนี้ พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในสังคีติขันธกะ.
               ถามว่า ใครกล่าวที่ไหน.
               ตอบว่า ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว คาถานี้ว่า พฺรหฺมา จ โลกาธิปติ เป็นต้น พึงทราบว่า ท่านพระอานนทเถระผู้นั่งอยู่ ณ ธรรมาสน์ในมณฑปสารมัณฑะ สถานที่ควรเห็นคล้ายดวงจันทร์เต็มดวง ซึ่งพระเจ้าอชาตศัตรู ผู้ชนะศัตรูทุกคน มหาราชแห่งแคว้นมคธ ทรงให้สร้างไว้ใกล้ประตูสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภาระ พระนครราชคฤห์ เพื่อสังคายนาธรรม กล่าวไว้แล้ว.
               ความสัมพันธ์แห่งคาถาในเรื่องนี้ มีดังนี้.
               แม้คาถานี้ว่า
                         พระชินพุทธเจ้านี้ อันพรหมอาราธนาเพื่อทรง
               แสดงธรรมเมื่อไร ก็คาถานี้ใครยกขึ้นกล่าว กล่าวเมื่อ
               ไร กล่าวที่ไหน
               มีเนื้อความที่กล่าวไว้แล้ว แต่ข้าพเจ้าจักทำการพรรณนาบทที่ยากแห่งคาถานี้ที่กล่าวแล้ว โดยความสัมพันธ์นี้ดังต่อไปนี้
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺรหฺมา ความว่า ชื่อว่าพรหม เพราะเป็นผู้เจริญแล้วด้วยคุณวิเศษนั้นๆ. ก็พรหมศัพท์นี้ปรากฏอยู่ในอรรถทั้งหลายมีมหาพรหม พราหมณ์ พระตถาคต มารดาบิดาและผู้ประเสริฐสุดเป็นต้น.
               จริงอย่างนั้น พรหมศัพท์ ท่านหมายว่ามหาพรหม ในประโยคเป็นต้นว่า ทฺวิสหสฺโส พฺรหฺมา มหาพรหมสองพัน.
               ท่านหมายว่าพราหมณ์ ในคาถานี้ว่า
                                   ตโมนุโท พุทฺโธ สมนฺตจกฺขุ
                                   โลกนฺตคู สพฺพภวาติวตฺโต
                                   อนาสโว สพฺพทุกฺขปฺปหีโน
                                   สจฺจวฺหโย พฺรหฺเม อุปาสิโร เม.

                         ดูก่อนพราหมณ์ พระพุทธเจ้า ผู้บรรเทาความ
               มืด ผู้มีพระจักษุโดยรอบ ทรงถึงที่สุดโลก ทรงล่วงภพ
               ทั้งปวง ไม่มีอาสวะ ทรงละทุกข์ได้หมด เรียกกันว่า
               พระสัจจะ เราก็เข้าเฝ้าใกล้ชิด.
               ท่านหมายว่าพระตถาคต ในบาลีนี้ว่า พฺรหฺมาติ โข ภิกฺขเว ตถาคตสฺเสตํ อธิวจนํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายคำว่า พรหม นี้แลเป็นชื่อของตถาคต.
               ท่านหมายว่ามารดาบิดา ในบาลีนี้ว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร มารดาบิดาเรา เราเรียกว่าพรหม เรียกว่าบุรพาจารย์.
               ท่านหมายว่าประเสริฐสุด ในบาลีนี้ว่า พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติ ทรงยังจักรอันประเสริฐสุดให้เป็นไป.
               ส่วนในที่นี้ ท่านผู้เจริญปฐมฌานอันประณีตแล้วบังเกิดในภูมิแห่งปฐมฌาน ท่านหมายว่ามหาพรหมมีอายุกัปหนึ่ง. ศัพท์มีอรรถว่ารวมความ.
               อธิบายว่า พรหมและพรหมเหล่าอื่นในหมื่นจักรวาล. หรือว่า ศัพท์เป็นเพียงทำบทให้เต็ม.
               โลก ๓ คือสังขารโลก สัตวโลก โอกาสโลก ชื่อว่าโลก ในคำว่า โลกาธิปติ นี้.
               ในโลกทั้ง ๓ นั้น ในที่นี้ท่านประสงค์เอาสัตวโลก. ชื่อว่าโลกาธิปติ เพราะเป็นใหญ่เป็นเจ้าแห่งสัตวโลกนั้น ผู้เป็นเจ้าส่วนหนึ่งแห่งโลก ท่านก็เรียกว่า โลกาธิบดี เหมือนเทวาธิบดี นราธิบดี.
               บทว่า สหมฺปติ ความว่า เล่ากันมาว่า พรหมองค์นั้นเป็นพระเถระ ชื่อว่าสหกะ ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ทำปฐมฌานให้เกิดแล้ว ฌานไม่เสื่อม จบชีวิตก็บังเกิดเป็นมหาพรหมมีอายุหนึ่งกัป ในปฐมฌานภูมิ. แต่ในสมัยนั้น เขาก็จำพรหมองค์นั้นกันได้ว่าท้าวสหัมบดีพรหม ท่านกล่าวหมายถึงพรหมพระองค์นั้น คนทั้งหลายเมื่อควรจะกล่าวว่า สหกปติ แต่ก็กล่าวเสียว่า สหมฺปติ โดยลงนิคคหิตอาคมขยายคำออกไป.
               บทว่า กตญฺชลี แปลว่า มีอัญชลีอันทำแล้ว. อธิบายว่า ทำกระพุ่มอัญชลีไว้เหนือเศียร.
               บทว่า อนธิวรํ ความว่า พรที่ล่วงส่วน พรที่ยิ่งไม่มีแก่พรนั้น เหตุนั้น พรนั้นชื่อว่าไม่มีพรที่ยิ่ง หรือว่าชื่อว่า อนธิวรํ เพราะไม่มีพรที่ยิ่งไปกว่านั้น. อธิบายว่า ยอดเยี่ยม พรอันยอดเยี่ยมนั้น.
               บทว่า อยาจถ ได้แก่ ได้วอนขอ ได้เชื้อเชิญ.
               บัดนี้ ท้าวสหัมบดีพรหมนั้นทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประโยชน์ใด เพื่อแสดงประโยชน์นั้นจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า สนฺตีธ สตฺตา ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺติ แปลว่า มีอยู่ อันเขาได้อยู่. อธิบายว่า สัตว์ทั้งหลายที่มาสู่คลองพุทธจักษุ [ปรากฏ] มีอยู่.
               ศัพท์ว่า อิธ นี่เป็นนิบาต ใช้ในการอ้างถึงถิ่นที่.
               ศัพท์ว่า อิธนี้นั้น บางแห่งท่านกล่าวหมายถึงศาสนา เหมือนอย่างที่ตรัสว่า
               อิเธว ภิกขเว สมโณ อิธ ทุติโย สมโณ อิธ ตติโย สมโณ อิธ จตุตฺโถ สมโณ สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณกิ อญฺเญหิ
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ มีอยู่ในศาสนานี้เท่านั้น ลัทธิอื่นว่างเปล่าจากสมณะผู้รู้.
               บางแห่งหมายถึงโอกาส เหมือนอย่างที่ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า
                         อิเธว ติฏฺฐมานสฺส     เทวภูตสฺส เม สิโต
                         ปุนรายุ จ เม ลทฺโธ    เอวํ ชานาหิ มาริส.
                         เมื่อเราเป็นเทพตั้งอยู่ในโอกาสนี้นี่แล เราก็ได้
               อายุต่อไปอีก โปรดทราบอย่างนี้เถิด ท่านผู้นิรทุกข์.

               บางแห่ง ก็เป็นเพียงปทปูรณะ ทำบทให้เต็มเท่านั้น เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า อิธาหํ ภิกฺขเว ภุตฺตาวี อสสํ ปวาริโต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราแลบริโภคอาหารเสร็จแล้ว ก็พึงห้าม ไม่ให้เขาถวายอีก [โดยชักพระหัตถ์ออกจากบาตร].
               บางแห่งหมายถึงโลก เหมือนอย่างที่ตรัสว่า อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย ตถาคตอุบัติในโลกนี้ ก็เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก.
               แม้ในที่นี้ อิธ ศัพท์ ก็พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายถึงโลกเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงมีความว่าในสัตว์โลกนี้.
               บทว่า สตฺตา ความว่า ชนทั้งหลาย ติด ขัด ข้อง คล้อง เกี่ยว อยู่ในขันธ์ทั้งหลายมีรูปขันธ์เป็นต้นด้วยฉันทราคะ เหตุนั้นจึงชื่อว่าสัตตะ สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย ท่านเรียกว่าสัตตะ แต่เพราะศัพท์ขยายความ โวหารนี้จึงใช้แม้ในท่านผู้ปราศจากราคะแล้วเท่านั้น.
               บทว่า อปฺปรชกฺขชาติกา ความว่า กิเลสดุจธุลีคือราคะ โทสะและโมหะ ในดวงตาที่สำเร็จด้วยปัญญาของสัตว์เหล่านั้นมีเล็กน้อย และสัตว์เหล่านั้นก็มีสภาพอย่างนั้น เหตุนั้น สัตว์เหล่านั้นชื่อว่ามีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย หรือว่ากิเลสดุจธุลีมีราคะเป็นต้นของสัตว์เหล่าใดน้อย สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่ามีกิเลสดุจธุลีน้อย.
               พึงเห็นความในข้อนี้อย่างนี้ว่า สัตว์เหล่านั้นชื่อว่า อปฺปรชกฺขชาติกา เพราะมีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อยเป็นสภาพ แก่สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อยเป็นสภาพเหล่านั้น.
               พึงทำการเปลี่ยนวิภัตติว่า สตฺตานํ แล้วทำการเชื่อมกับคำนี้ว่า เทเสหิ ธมฺมํ ก็เห็นความได้.
               คำว่า เทเสหิ นี้เป็นคำวอนขอ. อธิบายว่า โปรดแสดง กล่าว สอน.
               ในคำว่า ธมฺมํ นี้ ธัมมศัพท์นี้ใช้กันในอรรถทั้งหลายมีปริยัตติ สมาธิ ปัญญา ปกติ สภาวะ สุญญตา บุญ อาบัติ เญยยะและจตุสัจธรรมเป็นต้น.
               จริงอย่างนั้น ธัมมศัพท์ใช้ในอรรถว่าปริยัตติ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ปริยาปุณาติ สุตฺตํ เคยฺยํ เวยฺยากรณํ ฯ เป ฯ เวทลฺลํ ภิกษุในพระศาสนานี้ย่อมเรียนธรรมคือสุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ ฯลฯ เวทัลละ ดังนี้.
               ใช้ในอรรถว่าปัญญา ได้ในบาลีเป็นต้นว่า
                         ยสฺเสเต จตุโร ธมฺมา     วานรินฺท ยถา ตว
                         สจฺจํ ธมฺโม ธิติ จาโค    ทิฏฺฐํ โส อติวตฺตติ.
                         ท่านพระยาวานร ผู้ใดมีธรรม ๔ ประการคือ
               สัจจะ ธรรมะ [ปัญญา] ธิติ จาคะ เหมือนอย่างท่าน
               ผู้นั้น ย่อมล่วงศัตรูเสียได้.

               ใช้ในอรรถว่าปกติ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า ชาติธมฺมา ชราธมฺมา อโถ มรณธมฺมิโน สัตว์ทั้งหลายมีชาติเป็นปกติ มีชราเป็นปกติและมีมรณะเป็นปกติ.
               ใช้ในอรรถว่าสภาวะ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา สภาวธรรมฝ่ายกุศล สภาวธรรมฝ่ายอกุศล สภาวธรรมฝ่ายอัพยากฤต.
               ใช้ในอรรถว่าสุญญตา ได้ในบาลีเป็นต้นว่า ตสฺมึ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺติ ขนฺธา โหนฺติ สมัยนั้นก็มีแต่ความว่างเปล่า มีแต่ขันธ์.
               ใช้ในอรรถว่าบุญ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ บุญอันบุคคลสั่งสมไว้ ย่อมนำมาซึ่งความสุข.
               ใช้ในอรรถว่าอาบัติ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า เทฺว อนิยตา ธมฺมา อาบัติอนิยต มี ๒ สิกขาบท.
               ใช้ในอรรถว่าเญยยะ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า สพฺเพ ธมฺมา สพฺพากาเรน พุทฺธสฺส ภควโต ญาณมุเข อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ เญยยธรรมทั้งหมด มาปรากฏในมุขคือพระญาณของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า โดยอาการทั้งปวง.
               ใช้ในอรรถว่าจตุสัจธรรม ได้ในบาลีว่า ทิฏฺฐธมฺโม ปตฺตธมฺโม วิทิตธมฺโม ผู้มีสัจธรรม ๔ อันเห็นแล้ว ผู้มีสัจธรรม ๔ อันบรรลุแล้ว ผู้มีสัจธรรม ๔ อันรู้แล้ว.
               แม้ในที่นี้ ธัมมศัพท์ก็พึงเห็นว่า ใช้ในอรรถว่าจตุสัจธรรม.
               บทว่า อนุกมฺป ได้แก่ โปรดทรงทำความกรุณาเอ็นดู.
               ท่านกล่าวชี้หมู่สัตว์ด้วยบทว่า อิมํ.
               บทว่า ปชํ ความว่า ชื่อว่าปชา เพราะเป็นสัตว์เกิดแล้ว ซึ่งหมู่สัตว์นั้น. อธิบายว่า ขอจงโปรดปลดปล่อยหมู่สัตว์จากสังสารทุกข์ด้วยเถิด.
               ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า
                         พระผู้เป็นใหญ่ในโลกคือพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้
               สูงสุดในนรชน อันหมู่พรหมทำอัญชลีทูลวอนขอแล้ว.
               คาถานี้มีความที่กล่าวมาโดยประการทั้งปวง ด้วยกถาเพียงเท่านี้.
               ครั้งนั้น พระมหากรุณาเกิดขึ้นโดยเพียงทำโอกาสในสัตว์ทั้งปวง แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีกำลังแห่งพระกรุณาผุดขึ้นในสมัยที่กำหนดไม่ได้ เพราะทรงสดับคำวอนขอของท้าวสหัมบดีพรหมนั้น ทรงมีพระกำลังสิบ ทรงสำรวจด้วยพระมติอันละเอียดในการทรงทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น.
               แต่ครั้งทำสังคายนา ท่านพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย เมื่อแสดงความเกิดพระกรุณาของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จึงตั้งคาถานี้ว่า
                                   ความมีพระกรุณาในสรรพสัตว์ เกิดขึ้นแด่พระตถาคต
                         ผู้มีวิชชาและจรณะพรักพร้อมแล้ว ผู้คงที่ ผู้ทรงความรุ่งโรจน์
                         ทรงพระกายครั้งสุดท้าย ไม่มีบุคคลจะเปรียบปานได้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺปนฺนวิชฺชาจรณสฺส ความว่า ชื่อว่าสัมปันนะมี ๓ คือ ปริปุณสัมปันนะ สมังคิสัมปันนะ และมธุรสัมปันนะ.
               ในสัมปันนะนั้น สัมปันนะนี้ว่า
                         สมฺปนฺนํ สาลิเกทารํ   สุวา ภุญฺชนฺติ โกสิย
                         ปฏิเวเทมิ เต พฺรหฺเม  น นํ วาเรตุมุสฺสเห.
                         ดูก่อนโกสิยพราหมณ์ นกแขกเต้าทั้งหลายกิน
               ข้าวสาลีในนาที่บริบูรณ์ ดูก่อนพราหมณ์ เราขอแจ้งให้
               ท่านทราบ ท่านจะไม่อุตสาหะป้องกันข้าวสาลีในนา
               นั้นหรือ.

               ชื่อว่าปริปุณณสัมปันนะ.
               สัมปันนะนี้ว่า อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต อุปคโต สมุปคโต สมฺปนฺโน สมนฺนาคโต ภิกษุย่อมเป็นผู้เข้าถึงแล้ว เข้าถึงพร้อมแล้ว เข้าไปแล้ว เข้าไปพร้อมแล้ว พรั่งพร้อมแล้ว ประกอบด้วยปาติโมกขสังวรนี้. ชื่อว่าสมังคิสัมปันนะ.
               สัมปันนะนี้ว่า อิมิสฺสา ภนฺเต มหาปฐวิยา เหฏฺฐิมตลํ สมฺปนฺนํ เสยฺยถาปิ ขุทฺทมธุํ อนีลกํ เอวมสฺสาทํ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พื้นเบื้องล่างของมหาปฐพีนี้ ถึงพร้อมแล้ว มีง้วนดินอร่อย เปรียบเหมือนผึ้งเล็ก [มิ้ม] ที่ไม่มีตัวอ่อนฉะนั้น. อิทํ มธุรสมฺปนฺนํ นาม ฯ ชื่อว่ามธุรสัมปันนะ.
               ในที่นี้ ทั้งปริปุณณสัมปันนะ ทั้งสมังคิสัมปันนะ ย่อมถูก.

               คำว่า วิชชาและจรณะ               
               บทว่า วิชฺชา ความว่า ชื่อว่าวิชชา เพราะอรรถว่าเจาะแทงธรรมที่เป็นข้าศึก เพราะอรรถว่าทำให้รู้ และเพราะอรรถว่าควรได้.
               ก็วิชชาเหล่านั้น วิชชา ๓ ก็มี วิชชา ๘ ก็มี.
               วิชชา ๓ พึงทราบตามนัยที่มาในภยเภรวสูตรนั่นแล วิชชา ๘ พึงทราบตามนัยที่มาในอัมพัฏฐสูตร. ความจริงในอัมพัฏฐสูตรนั้น ท่านกำหนดอภิญญา ๖ กับวิปัสสนาญาณและมโนมยิทธิ เรียกว่าวิชชา ๘.
               บทว่า จรณํ ความว่าพึงทราบ ธรรม ๑๕ เหล่านี้คือ ศีลสังวร, ความคุ้มครองทวารในอินทรีย์, ความรู้จักประมาณในโภชนะ, ชาคริยานุโยค, ศรัทธา, หิริ, โอตตัปปะ, พาหุสัจจะ, ความเป็นผู้ปรารภความเพียร. ความเป็นผู้มีสติตั้งมั่น, ความเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา, รูปาวจรฌาน ๔.
               จริงอยู่ ธรรม ๑๕ เหล่านี้นี่แหละ เพราะเหตุที่พระอริยสาวกย่อมประพฤติ ย่อมไปสู่ทิศอมตะได้ด้วยธรรมเหล่านี้ ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าจรณะ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนมหานาม อริยสาวกในพระศาสนานี้เป็นผู้มีศีล.
               จรณะทั้งหมดพึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้ในมัชฌิมปัณณาสก์.
               วิชชาด้วย จรณะด้วย ชื่อว่าวิชชาและจรณะ.
               วิชชาและจรณะของผู้ใดถึงพร้อมแล้ว บริบูรณ์แล้ว ผู้นี้นั้นชื่อว่าผู้มีวิชชาและจรณะถึงพร้อมแล้ว ผู้ถึงพร้อมแล้ว ผู้พรั่งพร้อมแล้ว หรือผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยวิชชาและจรณะทั้งหลาย ชื่อว่าผู้มีวิชชาและจรณะอันถึงพร้อมแล้ว.
               ความก็ถูกแม้ทั้งสองนัย. แด่พระตถาคตพระองค์นั้นผู้มีวิชชาและจรณะถึงพร้อมแล้ว.
               บทว่า ตาทิโน ความว่า ผู้คงที่ ตามลักษณะของผู้คงที่มาในมหานิเทศ โดยนัยว่าเป็นผู้คงที่ทั้งในอิฏฐารมณ์ คงที่ทั้งในอนิฏฐารมณ์ ดังนี้เป็นต้น.
               อธิบายว่า ผู้มีอาการไม่ผิดปกติในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ ชื่อว่าผู้คงที่.
               บทว่า ชุตินฺธรสฺส ได้แก่ ผู้รุ่งโรจน์.
               อธิบายว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งความแล่นซ่านออกแห่งรัศมีของพระสรีระอันมีสิริเกินกว่าดวงอาทิตย์ในฤดูสารท เหนือขุนเขายุคนธร หรือจะกล่าวว่าผู้ทรงความรุ่งโรจน์ด้วยปัญญา ดังนี้ก็ควร.
               สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                         จตฺตาโร โลเก ปชฺโชตา   ปญฺจเมตฺถ น วิชฺชติ
                         ทิวา ตปติ อาทิจฺโจ       รตฺติมาภาติ จนฺทิมา.
                         อถ อคฺคิ ทิวารตฺตึ        ตตฺถ ตตฺถ ปภาสติ
                         สมฺพุทฺโธ ตปตํ เสฏฺโฐ    เอสา อาภา อนุตตรา.
                         แสงสว่างในโลกมี ๔ ไม่มีข้อที่ ๕ คือดวงอาทิตย์
               ส่องสว่างกลางวัน ดวงจันทร์ส่องสว่างกลางคืน ส่วนไฟ
               ส่องสว่างในที่นั้นๆ ทั้งกลางวันกลางคืน พระสัมพุทธ
               เจ้าทรงประเสริฐสุดแห่งแสงสว่าง แสงสว่างนี้ยอดเยี่ยม.

               เพราะฉะนั้น จึงอธิบายว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งความแล่นซ่านแห่งพระรัศมีทางพระสรีระและทางพระปัญญาแม้ทั้งสองประการ.
               บทว่า อนฺติมเทหธาริโน ได้แก่ ผู้ทรงพระสรีระสุดท้ายที่สุด. อธิบายว่า ไม่เกิดอีก.

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ รัตนะจงกรมกัณฑ์
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
อ่านอรรถกถา 33.1 / 1อ่านอรรถกถา 33.1 / 180อรรถกถา เล่มที่ 33.2 ข้อ 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 2อ่านอรรถกถา 33.2 / 28
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=6654&Z=6873
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=51&A=1
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=51&A=1
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :