ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 33.2 / 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 13อรรถกถา เล่มที่ 33.2 ข้อ 14อ่านอรรถกถา 33.2 / 15อ่านอรรถกถา 33.2 / 28
อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์
๑๓. ปิยทัสสีพุทธวงศ์

               พรรณนาวงศ์พระปิยทัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๓               
               ต่อมาจากสมัยของพระสุชาตพุทธเจ้า ในกัปหนึ่ง ในที่สุดแห่งหนึ่งพันแปดร้อยกัปแต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าบังเกิด ๓ พระองค์ คือ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี พระธัมมทัสสี.
               ใน ๓ พระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสีทรงบำเพ็ญบารมีแล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้นแล้วก็ถือปฏิสนธิใน พระครรภ์ของพระนางจันทาเทวี ผู้มีพระพักตร์เสมือนดวงจันทร์ อัครมเหสีของพระเจ้าสุทัตตะ กรุงสุธัญญวดี ถ้วนกำหนดทศมาสก็ประสูติออกจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ วรุณราชอุทยาน.
               ในวันเฉลิมพระนามของพระองค์ พระชนกชนนีทรงเฉลิมพระนามว่าปิยทัสสี เพราะเห็นปาฏิหาริย์วิเศษอันเป็นที่รักของโลก พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี นัยว่าทรงมีปราสาท ๓ หลังชื่อว่าสุนิมมละ วิมละและคิริพรหา ปรากฏพระสนมนารีสามหมื่นสามพันนางมีพระนางวิมลามหาเทวีเป็นประมุข.
               เมื่อพระโอรสพระนามว่ากัญจนเวฬะ ของพระนางวิมลาเทวีประสูติแล้ว พระมหาบุรุษนั้นทรงเห็นนิมิต ๔ แล้วเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยรถเทียมม้า ทรงผนวชแล้ว บุรุษโกฏิหนึ่งบวชตามเสด็จ.
               พระมหาบุรุษอันชนโกฏิหนึ่งนั้นแวดล้อมแล้ว พระองค์นั้นทรงบำเพ็ญเพียร ๖ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดาของวสภพราหมณ์ บ้านวรุณพราหมณ์ ถวายแล้วทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาลวัน ทรงรับหญ้า ๘ กำที่สุชาตะอาชีวกถวายแล้ว เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อว่ากกุธะ ต้นกุ่ม ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๕๓ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ เป็นต้นแล้ว
               ทรงยับยั้ง ณโคนโพธิพฤกษ์นั้นนั่นแหละ ๗ สัปดาห์ ทรงทราบว่า ผู้ที่บวชกับพระองค์สามารถแทงตลอดอริยธรรม จึงเสด็จไป ณ ที่นั้นทางอากาศ ลงที่อุสภวดีราชอุทยาน ใกล้กรุงอุสภวดี อันภิกษุโกฏิหนึ่งแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร.
               ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๑
               ต่อมาอีก ราชาแห่งเทพพระนามว่าสุทัสสนะ ประทับอยู่ ณ สุทัสสนบรรพต ไม่ไกลกรุงอุสภวดี ท้าวเธอเป็นมิจฉาทิฏฐิ. ก็พวกมนุษย์ทั่วชมพูทวีปนำเครื่องสังเวยมีค่านับแสนมาเซ่นสรวงท้าวเธอ. ท้าวสุทัสสนเทวราชนั้นประทับบนอาสนะเดียวกันกับพระราชาแห่งมนุษย์ ทรงรับเครื่องสังเวย.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสีทรงพระดำริว่าจำเราจักบรรเทามิจฉาทิฏฐิของท้าวสุทัสสนเทวราชนั้นเสีย.
               เมื่อท้าวสุทัสสนเทวราชนั้นเสด็จไปยังสมาคมยักษ์ จึงเสด็จเข้าไปยังภพของท้าวเธอ ขึ้นสู่ที่สิริไสยาสน์ ประทับนั่งเปล่งพระฉัพพรรณรังสีเหมือนดวงอาทิตย์ในฤดูสารทเปล่งแสงเหนือยุคนธรบรรพต. เทวดาที่เป็นบริวารรับใช้ของท้าวเธอ ก็บูชาพระทศพลด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นต้น ยืนแวดล้อม.
               ฝ่ายท้าวสุทัสสนเทวราชกลับจากยักขสมาคมเห็นฉัพพรรณรังสีแล่นออกจากภพของตนก็คิดว่า ในวันอื่นๆ ไม่เคยเห็นภพของเรา จำเริญรุ่งเรืองด้วยแสงรัศมีมากมายเช่นนี้ ใครหนอเป็นเทวดาหรือมนุษย์ เข้าไปในที่นี้ ตรวจดูก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งรุ่งโรจน์ด้วยแสงพระฉัพพรรณรังสีดังดวงอาทิตย์ในฤดูสารทเหนือยอดอุทัยคิรี คิดว่าสมณะโล้นผู้นี้อันชนใกล้ชิดบริวารของเราแวดล้อมแล้วนั่งเหนือที่นอนอันดี ก็ถูกความโกรธครอบงำใจ คิดว่า เอาเถิด จำเราจักสำแดงกำลังของเราแก่สมณะโล้นนั้น แล้วก็ทำภูเขานั้นทั้งลูกลุกเป็นเปลวไฟอันเดียว ตรวจดูว่าสมณะโล้นคงเป็นเถ้าเพราะเปลวไฟแล้ว แต่ก็เห็นพระทศพลมีพระวรกายถูกแสงรังสีมากมาย แล่นท่วมไป มีพระพักตร์ผ่องวรรณะงาม มีพระฉวีสดใสรุ่งโรจน์อยู่ ก็คิดว่า สมณะผู้นี้ทนไฟไหม้ได้ เอาเถิด จำเราจักรุกรานสมณะผู้นี้ด้วยกระแสน้ำหลากแล้วฆ่าเสีย จึงปล่อยกระแสน้ำหลากอันลึกล้ำตรงไปยังวิมาน.
               แต่นั้น น้ำก็ไม่เปียกเพียงขนผ้าแห่งจีวร หรือเพียงพระโลมาในพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งประทับนั่งในวิมานนั้น อันเต็มด้วยกระแสน้ำหลาก. แต่นั้น ท้าวสุทัสสนเทวราชรู้ว่า ด้วยกระแสน้ำหลากนี้ สมณะหายใจไม่ออก ก็จักตาย จึงเสกมนต์พ่นอัดน้ำแล้วตรวจดูก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอันบริษัทของตนแวดล้อม รุ่งโรจน์ด้วยแสงแลบแห่งเปลวรังสีต่างชนิด ดุจดวงรัชนีกรในฤดูสารท ส่งแสงลอดหลืบเมฆสีเขียวคราม ทนการลบหลู่ตนไม่ได้ก็คิดว่า จำเราจักฆ่าสมณะนั้นเสียเถิด แล้วก็บันดาลฝนอาวุธ ๙ ชนิดให้ตกลง ด้วยความโกรธ.
               ลำดับนั้น ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น อาวุธทุกอย่างก็กลายเป็นพวงดอกไม้หอมนานาชนิดงามน่าดู อย่างยิ่ง หล่นลงแทบเบื้องบาทของพระทศพล.

               ทรงทรมานท้าวสุทัสสนเทวราช               
               แต่นั้น ท้าวสุทัสสนเทวราชเห็นความอัศจรรย์นั้นก็ยิ่งมีใจโกรธขึ้ง จึงเอามือทั้งสองจับพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า หมายจะฉุดคร่าออกไปจากภพของตน ก็เหวี่ยงเลยมหาสมุทรไปถึงจักรวาลบรรพต ตรวจดูว่าสมณะยังเป็นอยู่หรือตายไปแล้ว ก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ายังคงประทับนั่งอยู่เหนืออาสนะนั้นนั่นแหละ ก็คิดว่า โอ สมณะนี้มีอานุภาพมาก เราไม่สามารถจะฉุดคร่าสมณะผู้นี้ออกไปจากที่นี้ได้ หากว่าใครรู้เรื่องเรา เราก็จักอัปยศหาน้อยไม่ จำเราจักปล่อยสมณะนั้นไปเสีย ตราบเท่าที่ใครยังไม่เห็นสมณะผู้นี้.
               ลำดับนั้น พระทศพลทรงทราบความประพฤติทางจิตของท้าวสุทัสสนเทวราชนั้น ก็ทรงอธิษฐานอย่างที่พวกเทวดาและมนุษย์ทุกคนเห็นท้าวเธออยู่.
               ในวันนั้นนั่นเอง พระราชา ๑๐๑ พระองค์ทั่วชมพูทวีปก็พากันมาประชุมเพื่อถวายเครื่องสังเวยแด่ท้าวสุทัสสนเทวราชนั้น.
               พระราชาแห่งมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นทรงเห็นท้าวสุทัสสนเทวราชประทับนั่งจับพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็มีจิตเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเทวราชของพวกเราบำเรอพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสี จอมมุนี โอ! ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายน่าอัศจรรย์ โอ! พระพุทธคุณทั้งหลายวิเศษจริงๆ ก็พากันนอบน้อม ยืนประคองอัญชลีไว้เหนือเศียรเกล้าหมดทุกคน ณ สันนิบาตนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสีทรงทำท้าวสุทัสสนเทวราชนั้นให้เป็นประมุข ทรงแสดงธรรมโปรด.
               ครั้งนั้น เทวดาและมนุษย์เก้าหมื่นโกฏิบรรลุพระอรหัต นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒.

               ทรงทรมานพญาช้างชื่อว่าโทณมุขะ               
               ครั้งเมื่อศัตรูของพระพุทธเจ้า ในกุมุทนครซึ่งมีขนาด ๙ โยชน์ ชื่อพระโสณเถระ เหมือนพระเทวทัต ปรึกษากับพระมหาปทุมราชกุมารให้ปลงพระชนม์พระชนกของพระราชกุมารนั้น แม้พยายามต่างๆ เพื่อปลงพระชนม์ของพระปิยทัสสีพุทธเจ้า ก็ไม่อาจปลงพระชนม์ได้ ท่านจึงเรียกควาญพญาช้างชื่อโทณมุขะ ประเล้าประโลมเขา บอกความว่า เมื่อใด พระสมณะปิยทัสสีผู้นี้เข้าไปบิณฑบาตยังนครนี้ เมื่อนั้น ท่านจงปล่อยพญาช้างชื่อโทณมุข ให้ฆ่าพระสมณะปิยทัสสีเสีย.
               ครั้งนั้น นายควาญช้างนั้นเป็นราชวัลลภ ไม่ทันพิจารณาถึงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ รู้แต่ว่า สมณะผู้นี้จะพึงทำเราให้หลุดพ้นจากตำแหน่งแน่ จึงรับคำ.
               วันรุ่งขึ้นก็กำหนดเวลาที่พระทศพลเสด็จเข้าไปยังพระนครเข้าไปหาพญาช้างโทณมุข ซึ่งมีหน้าผากเหมือนหม้อข้าวเหนือตระพองที่เกิดดีแล้ว มีลำงวงยาวเสมือนธนู มีหูอ่อนกว้างใหญ่ ตาเหลืองดังน้ำผึ้ง ที่นั่งบนตัวดี ตะโพกหนาทึบกลมกลึง ระหว่างเข่าเก็บของลับไว้ งางามเหมือนงอนไถ ขนหางสวย โคนหางน่ายำเกรง สมบูรณ์ด้วยลักษณะครบทุกอย่าง งามน่าดูเสมือนเมฆสีเขียวคราม ไปยังถิ่นที่ราชสีห์ชอบเยื้องกรายเหมือนก้อนเมฆเดินได้ มีกำลังเท่า ๗ ช้างสารตกมัน ๗ ครั้ง มีพิษทั่วตัว เหมือนมัจจุมารที่มีเรือนร่างทำให้เมามันมึนยิ่งขึ้น ปรนด้วยวิธีพิเศษเช่นคำข้าวคลุกกำยานหยอดยาตา รมควัน ฉาบทาเป็นต้น แล้วก็ส่งไปเพื่อต้องการปลงพระชนม์พระมุนีผู้ประเสริฐ ผู้ป้องกันชนที่เป็นอริได้ เหมือนช้างเอราวัณป้องกันช้างข้าศึกฉะนั้น.
               ลำดับนั้น พญาช้างโทณมุขนั้นเป็นช้างพลายตัวดี พอหลุดไปเท่านั้น ก็ฆ่าช้าง ควาย ม้า ชาย หญิง มีเนื้อตัวพร้อมทั้งงาและงวงเปรอะไปด้วยเลือดของผู้ที่ถูกฆ่า มีตาที่คลุมด้วยข่ายแห่งความตาย หักทะลายเกวียน บานประตู ประตูเรือนยอด เสาระเนียดเป็นต้น อันฝูงกา สุนัข และแร้งเป็นต้นติดตามไป ตัดอวัยวะของควาย คน ม้าและช้างพลายเป็นต้น กินเหมือนยักษ์กินคน เห็นพระทศพลอันหมู่ศิษย์แวดล้อม กำลังเสด็จมาแต่ไกล มีกำลังเร็วเสมือนครุฑในอากาศ มุ่งไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความเร็ว.
               ครั้งนั้น พวกชนชาวเมืองมีใจเปี่ยมแปร้ไปด้วยความเร่าร้อนเพราะภัย ก็เข้าไปยังซากกองกำแพงแห่งปราสาท เห็นพระยาช้างวิ่งแล่นมุ่งหน้าตรงพระตถาคต ก็ส่งเสียงร้อง ฮ้า! ฮ้า! ส่วนอุบาสกบางพวกเริ่มห้ามกันพญาช้างนั้น ด้วยวิธีการต่างๆ.
               ลำดับนั้น คือพระพุทธนาคพระองค์นั้นทรงแลดูพญาช้างซึ่งกำลังมา มีพระหฤทัยเยือกเย็นด้วยพระกรุณาแผ่ไป ก็ทรงแผ่ พระเมตตาไปยังพญาช้างนั้น.
               แต่นั้น พญาช้างเชือกนั้นก็มีสันดานประจำใจอันพระเมตตาที่ทรงแผ่ไปทำให้อ่อนโยนสำนึกรู้โทษและความผิดของตน ไม่อาจยืนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยความละอาย จึงหมอบจบเศียรเกล้าลงแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดุจแทรกเข้าไปในแผ่นปฐพี.
               พญาช้างเชือกนั้นหมอบลงอย่างนั้นแล้ว เรือนร่างเสมือนกลุ่มหมอก ก็เจิดจ้า เหมือนก้อนเมฆสีเขียวครามเข้าไปใกล้ยอดภูเขาทองที่ฉาบด้วยแสงสนธยา.
               ครั้งนั้น พวกชนชาวเมืองเห็นพญาช้างหมอบจบเศียรเกล้าลงแทบเบื้องบาทของพระจอมมุนี ก็มีใจเปี่ยมด้วยปิติอย่างยิ่ง ก็พากันส่งเสียงโห่ร้องสาธุการกึกก้องดังเสียงราชสีห์ บูชาพระองค์มีประการต่างๆ ด้วยดอกไม้หอม มาลัย จันทน์จุรณหอมและเครื่องประดับเป็นต้น โยนแผ่นผ้าไปโดยรอบ เทพเภรีก็บรรลือลั่นในท้องนภากาศ.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูพญาช้างพลาย ซึ่งหมอบจบเศียรเกล้าแทบเบื้องพระบาท ดั่งยอดเขาที่อาบสีดำ ก็ทรง ลูบกระพองพญาช้างด้วยฝ่าพระหัตถ์ อันประดับด้วยขอช้าง ธง สังข์และจักร จึงทรงพร่ำสอนพญาช้างนั้นด้วยพระธรรมเทศนาที่เกื้อกูลแก่ความประพฤติทางจิตของพญาช้างนั้นว่า
                         ดูก่อนพญาช้าง เจ้าจงฟังคำของเราที่พร่ำสอน
               และจงเสพคำพร่ำสอนของเรานั้น ซึ่งประกอบด้วย
               ประโยชน์เกื้อกูล จงกำจัดความยินดีในการฆ่า ความ
               มีจิตร้ายของเจ้าเสีย จงเป็นช้างที่น่ารัก ผู้สงบ.
                         ดูก่อนพญาช้าง ผู้ใดเบียดเบียนสัตว์มีชีวิต ด้วย
               โลภะและโทสะ หรือด้วยโมหะ ผู้นั้นชื่อว่าผู้ฆ่าสัตว์มี
               ชีวิต ย่อมเสวยทุกข์อันร้ายกาจในนรกตลอดกาลนาน.
                         ดูก่อนพญาช้าง เจ้าอย่าได้ทำกรรมเห็นปานนั้น
               ด้วยความประมาท หรือแม้ด้วยความเมาอีกนะ เพราะ
               ผู้ทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป ย่อมประสบทุกข์แสน
               สาหัสในนรกตลอดกัป.
                         ผู้เบียดเบียนครั้นเสวยทุกข์อันร้ายกาจในนรกแล้ว
               ผิว่าไปสู่มนุษยโลก ก็ยิ่งเป็นผู้มีอายุสั้น มีรูปร่างแปลก
               ประหลาด ยังมีส่วนพิเศษแห่งทุกข์.
                         ดูก่อนกุญชร พญาช้างผู้เบาปัญญา เจ้ารู้ว่าชีวิต
               เป็นที่รักอย่างยิ่งของเจ้าฉันใด ในมหาชนชีวิตแม้ของ
               ผู้อื่นก็เป็นที่รักฉันนั้น แล้วพึงงดเว้นปาณาติบาตอย่าง
               เด็ดขาด.
                         ถ้าเจ้ารู้จักโทษที่ไม่เว้นการเบียดเบียน และคุณที่
               เว้นขาดจากปาณาติบาตแล้ว จงเว้นขาดปาณาติบาตเสีย
               ก็ปรารถนาสุขในสวรรค์ในโลกหน้าได้.
                         ผู้เว้นขาดจากปาณาติบาตฝึกตนดีแล้ว ย่อมเป็น
               ที่รักที่ชอบใจในโลกนี้ เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป
               พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวว่า เขาก็อยู่ยั้งในสวรรค์.
                         ใครๆ ในโลก ย่อมไม่ปรารถนาให้ทุกข์มาถึง
               ผู้เกิดมาแล้วทุกๆ คน ย่อมแสวงสุขกันทั้งนั้น ดูก่อน
               พญาช้างผู้ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น เจ้าจงละการเบียด
               เบียนเสีย เจริญแต่เมตตาและกรุณาในเวลาอันสมควร
               เถิด.

               ลำดับนั้น พญาช้างอันพระทศพลทรงพร่ำสอนอย่างนี้ก็ได้สำนึก เป็นผู้ที่ทรงฝึกปรือแล้วอย่างยิ่ง ถึงพร้อมด้วยวินัยแลจรรยา ก็ได้เป็นเหมือนศิษย์ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสีพระองค์นั้นทรงทรมานพญาช้างโทณมุข เหมือนพระศาสดาของเราทรงทรมานช้างธนปาลแล้ว จึงทรงแสดงธรรมโปรดในสมาคมแห่งมหาชนนั้น.
               ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         ต่อจากสมัยของพระสุชาตพุทธเจ้าก็มีพระสยัมภู
               พุทธเจ้า พระนามว่าปิยทัสสี ผู้มีพระยศใหญ่ ผู้นำโลก
               อันเข้าเฝ้าได้ยาก เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ.
                         พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น มีบริวารยศอัน
               ประมาณมิได้ รุ่งโรจน์ดุจดวงอาทิตย์ ทรงกำจัดความ
               มืดทุกอย่าง ประกาศพระธรรมจักร.
                         พระพุทธเจ้าผู้มีพระเดช ที่ชั่งไม่ได้แม้พระองค์
               นั้น ก็ทรงมีอภิสมัย ๓ ครั้ง อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่
               สัตว์แสนโกฏิ.
                         ท้าวสุทัสสนเทวราชทรงชอบใจมิจฉาทิฏฐิ พระ-
               ศาสดาเมื่อทรงบรรเทาทิฏฐิของท้าวเทวราชพระองค์
               นั้นแล้ว ก็ทรงแสดงธรรมโปรด.
                         ครั้งนั้น การประชุมของชนนับไม่ได้ เป็นมหา
               สันนิบาต อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ.
                         ครั้งพระศาสดาผู้เป็นสารถีฝึกคน ทรงแนะนำ
               พญาช้างชื่อโทณมุขะ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์
               แปดหมื่นโกฏิ

               ในสุมังคลนคร มีสหายสองคนคือพระราชโอรสพระนามว่าปาลิตะ บุตรปุโรหิตชื่อว่าสัพพทัสสิกุมาร. สองสหายนั้น เมื่อพระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจาริกอยู่ สดับข่าวว่า เสด็จถึงพระนครของพระองค์มีบริวารแสนโกฏิ ก็ออกไปรับเสด็จ สดับฟังธรรมของพระองค์แล้วก็ถวายมหาทาน ๗ วัน.
               ในวันที่ ๗ จบอนุโมทนาภัตทานของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับบริวารแสนโกฏิบวชแล้วบรรลุพระอรหัต.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุสาวกเหล่านั้น นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
               สมัยต่อมา สัตว์เก้าหมื่นโกฏิบรรลุพระอรหัตในสมาคมของท้าวสุทัสสนเทวราช พระศาสดาอันภิกษุสาวกเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
               ต่อมาอีก ในสมัยทรงแนะนำพญาช้างโทณมุข สัตว์แปดหมื่นโกฏิบวชแล้วบรรลุพระอรหัต พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุสาวกเหล่านั้น นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         พระปิยทัสสีพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ก็ทรงมี
               สันนิบาตประชุมพระสาวก ๓ ครั้ง พระสาวกแสน
               โกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑
                         พระมุนีสาวกเก้าหมื่นโกฏิ ประชุมพร้อมกันเป็น
               สันนิบาตครั้งที่ ๒ พระสาวกแปดหมื่นโกฏิประชุมกัน
               เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓

               ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นมาณพพราหมณ์ชื่อกัสสปะ เรียนจบไตรเพท ครบ ๕ ทั้งอิติหาสศาสตร์ ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ให้สร้างสังฆาราม ที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ด้วยการบริจาคทรัพย์แสนโกฏิ ตั้งอยู่ในสรณะและศีล ๕.
               ลำดับนั้น พระศาสดาทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า ล่วงไป ๑,๘๐๐ กัปนับแต่กัปนี้ จักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก พระนามว่าโคตมะ
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         สมัยนั้น เราเป็นมาณพพราหมณ์ ชื่อว่ากัสสปะ
               คงแก่เรียน ทรงมนต์ จบไตรเพท.
                         เราฟังธรรมของพระปิยทัสสีพุทธเจ้าพระองค์นั้น
               แล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส ให้สร้างสังฆารามด้วยทรัพย์
               แสนโกฏิ.
                         เราถวายอารามแด่พระองค์แล้วก็ร่าเริง สลดใจ
               ยึดสรณะและศีล ๕ ไว้มั่น.
                         พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลาง
               สงฆ์ ก็ทรงพยากรณ์เราว่า เมื่อล่วงไป ๑,๘๐๐ กัป ท่าน
               ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
                         พระตถาคตทรงตั้งความเพียร ฯลฯ จักอยู่ต่อหน้า
               ของท่านผู้นี้.
                         เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส
               จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐
               ให้บริบูรณ์.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สรเณ ปญฺจสีเล จ ความว่า สรณะ ๓ และศีล ๕.
               บทว่า อฏฺฐารเส กปฺปสเต ความว่า ล่วงไป ๑,๘๐๐ กัปนับแต่ภัทรกัปนี้.
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าปิยทัสสีพระองค์นั้นทรงมีพระนครชื่อว่าสุธัญญะ พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุทัตตะ พระชนนีพระนามว่าพระนางสุจันทาเทวี. คู่พระอัครสาวกชื่อว่าพระปาลิตะและพระสัพพทัสสี พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระโสภิตะ. คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่าพระสุชาดาและพระธัมมทินนา โพธิพฤกษ์ชื่อต้นกกุธะ ต้นกุ่ม พระสรีระสูง ๘๐ ศอก พระชนมายุเก้าหมื่นปี พระอัครมเหสีพระนามว่าพระนางวิมลา พระโอรสพระนามว่าพระกัญจนาเวฬะ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยรถเทียมม้า.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         พระปิยทัสสีศาสดา ทรงมีพระนคร ชื่อว่าสุธัญญะ
               พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุทัตตะ พระชนนีพระนามว่า
               พระนางจันทา.
                         พระปิยทัสสีศาสดา มีพระอัครสาวกชื่อว่าพระปาลิตะ
               และพระสัพพทัสสี พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระโสภิตะ.
                         พระอัครสาวิกาชื่อว่าพระสุชาดาและพระธัมมทินนา
               โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่าต้น
               กกุธะ.
                         พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น มีพระบริวารยศหา
               ประมาณมิได้ มีพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ สูง ๘๐
               ศอก ปรากฎชัดเหมือนต้นพญาสาละ.
                         พระรัศมีของพระปิยทัสสีพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ
               ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่พระองค์นั้นเป็นเช่นใด รัศมีของดวงไฟ
               ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ หาเป็นเช่นนั้นไม่.
                         พระผู้มีพระจักษุ ดำรงอยู่ในโลกเก้าหมื่นปี พระ
               ชนมายุของพระผู้เป็นเทพแห่งเทพพระองค์นั้น ก็มีเพียง
               เท่านั้น.
                         พระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ
               พระองค์นั้นก็ดี คู่พระอัครสาวกผู้ไม่มีผู้เทียบได้เหล่านั้น
               ก็ดี ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่าแน่แท้.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาลราชาว ความว่า เห็นได้ชัดเหมือนพญาสาลพฤกษ์ ที่มีลำต้นเกลากลมออกดอกบานสะพรั่งทั่วทั้งต้น ดูน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง.
               บทว่า ยุคานิปิ ตานิ ได้แก่ คู่มีคู่พระอัครสาวกเป็นต้น.
               คาถาที่เหลือทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.
               จบพรรณนาวงศ์พระปิยทัสสีพุทธเจ้า               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๓. ปิยทัสสีพุทธวงศ์ จบ.
อ่านอรรถกถา 33.2 / 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 13อรรถกถา เล่มที่ 33.2 ข้อ 14อ่านอรรถกถา 33.2 / 15อ่านอรรถกถา 33.2 / 28
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=7901&Z=7950
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=51&A=6696
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=51&A=6696
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :