ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒]อ่านอรรถกถา 33.2 / 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 28อรรถกถา เล่มที่ 33.3 ข้อ 1อ่านอรรถกถา 33.3 / 2อ่านอรรถกถา 33.3 / 36
อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญทานบารมี
๑. อกิตติจริยา

หน้าต่างที่ ๒ / ๒.

               อรรถกถาอกิตติวรรคที่ ๑               
               ๑. การบำเพ็ญทานบารมี               
               อรรถกถาอกิตติจริยาที่ ๑               
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงยังอุตสาหะในการฟังบุรพจริยาของพระองค์ให้เกิดแก่ท่านพระสารีบุตรเถระ และแก่บริษัทกับทั้งเทวดาและมนุษย์แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงกระทำบุรพจริยานั้นซึ่งปกปิดไว้ในระหว่างภพให้ประจักษ์ ดุจมะขามป้อมในฝ่ามือฉะนั้น จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า :-
                         ในกาลใด เราเป็นดาบสชื่ออกิตติ เข้าไปอาศัยอยู่ใน
                         ป่าใหญ่อันว่างเปล่า สงัดเงียบปราศจากเสียงอื้ออึง.

               ในบทเหล่านั้น บทว่า ยทา คือ ในกาลใด.
               บทว่า พฺรหารญฺเญ คือ ในป่าใหญ่. อธิบายว่า ในป่าใหญ่ชื่อว่าอรัญญานี.
               บทว่า สุญฺเญ ว่างเปล่า คือสงัดจากชน.
               บทว่า วิปินกานเน คือ ป่าเล็กๆ อันสงัดเงียบ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความเงียบของป่านั้นด้วยสองบท.
               บททั้งหมดนั้นท่านกล่าวหมายถึงการทวีป.
               บทว่า อชฺโฌคาเหตฺวา คือ เข้าไปอาศัย.
               บทว่า วิหรามิ คือ เรากำจัดทุกข์ของร่างกายอยู่ยังอัตภาพให้เป็นด้วยอิริยาบถวิหารอันวิเศษกว่าสุขที่เกิดจากอาเนญชวิหาร คือการอยู่ไม่หวั่นไหว ที่เป็นของทิพย์ เป็นของพรหม เป็นของอริยะ.
               บทว่า อกิตฺติ นาม ตาปโส คือ ในกาลใดเราเป็นดาบสมีชื่ออย่างนี้อยู่ในป่านั้น.
               ในกาลนั้น พระศาสดาตรัสถึงความที่พระองค์เป็นดาบสชื่ออกิตติ แก่พระธรรมเสนาบดี.
               มีกถาเป็นลำดับดังต่อไปนี้ :-
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล ภัทรกัปนี้แล ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์มหาสาล มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ มีชื่อว่าอกิตติ. เมื่ออกิตติเดินได้ น้องสาวก็เกิดมีชื่อว่ายสวดี. เมื่ออกิตติมีอายุได้ ๑๕ ปีก็ไปเรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกสิลา เรียนสำเร็จแล้วก็กลับ.
               ครั้งนั้น มารดาบิดาของอกิตติได้ถึงแก่กรรม. อกิตติทำฌาปนกิจมารดาบิดาแล้วล่วงไปสองสามวัน ให้ผู้จัดการมรดกตรวจตราทรัพย์สิน ครั้นสดับว่าทรัพย์สินส่วนของมารดาประมาณเท่านี้ ส่วนของบิดาประมาณเท่านี้ ส่วนของปู่ตาประมาณนี้ จึงเกิดสังเวชว่า ทรัพย์นี้เท่านั้นยังปรากฏอยู่ แต่ผู้จัดหาทรัพย์มาไม่ปรากฏ ทั้งหมดละทรัพย์นี้ไป แต่เราจักเอาทรัพย์นี้ไป จึงกราบทูลพระราชาให้ตีกลองป่าวประกาศว่า ผู้มีความต้องการทรัพย์จงมายังเรือนของอกิตติบัณฑิต.
               อกิตติบัณฑิตบริจาคมหาทานตลอด ๗ วัน เมื่อทรัพย์ยังไม่หมดจึงคิดว่า ประโยชน์อะไรด้วยธนกรีฑานี้แก่เรา ผู้มีความต้องการจักรับตามชอบใจ จึงเปิดประตูเรือนแล้วให้เปิดห้องเก็บสมบัติอันเต็มไปด้วยเงินและทองเป็นต้น ประกาศว่า ชนทั้งหลายจงนำเอาทรัพย์ที่เราให้แล้วไปเถิด แล้วละเรือนไปเมื่อวงศ์ญาติร่ำไห้อยู่ ได้พาน้องสาวออกจากกรุงพาราณสีข้ามแม่น้ำไป ๒-๓ โยชน์ ออกบวชสร้างบรรณศาลาอยู่ ณ ภูมิภาคน่ารื่นรมย์ ท่าที่อกิตติดาบสข้ามแม่น้ำไปชื่อท่าอกิตติ.
               พวกมนุษย์ชาวบ้านชาวนิคมและชาวเมืองหลวงได้ฟังว่า อกิตติบัณฑิตบวชแล้ว ต่างมีใจจดจ่อด้วยคุณธรรมของอกิตติดาบสจึงพากันบวชตาม. อกิตติดาบสได้มีบริวารมาก. ลาภและสักการะเป็นอันมากเกิดขึ้นดุจพุทธุปาทกาล.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า ลาภและสักการะอันมากนี้ แม้บริวารก็มาก แม้เพียงกายวิเวกก็ไม่ได้ ในที่นี้ เราควรอยู่แต่ผู้เดียว เพราะเป็นผู้มีความมักน้อยอย่างยิ่ง และเพราะเป็นผู้น้อมไปในวิเวกจึงไม่ให้ใครๆ รู้ออกไปผู้เดียว ถึงแคว้นทมิฬตามลำดับ อยู่ในสวนใกล้ท่ากาวีระยังฌานและอภิญญาให้เกิด.
               แม้ ณ ที่นั้น ลาภและสักการะใหญ่ก็เกิดขึ้นแก่อกิตติดาบสนั้น.
               อกิตติดาบสรังเกียจลาภและสักการะใหญ่นั้นจึงทิ้งเหาะไปทางอากาศหยั่งลง ณ การทวีป, ในครั้งนั้น การทวีปมีชื่อว่าอหิทวีป. อกิตติดาบสอาศัยต้นหมากเม่าใหญ่ ณ ที่นั้น สร้างบรรณศาลาพักอาศัยอยู่. แต่เพราะความเป็นผู้มักน้อยจึงไม่ไปในที่ไหนๆ บริโภคผลไม้ในกาลที่ต้นไม้นั้นมีผล เมื่อยังไม่มีผลก็บริโภคใบไม้ชงน้ำ ยังกาลเวลาให้น้อมไปด้วยฌานและสมาบัติ.
               ด้วยเดชแห่งศีลของอกิตติดาบสนั้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะนั้นแสดงอาการเร่าร้อน. ท้าวสักกะรำพึงอยู่ว่า ใครหนอประสงค์ให้เราเคลื่อนจากที่นี้ ทอดพระเนตรเห็นอกิตติบัณฑิตทรงดำริว่า ดาบสนี้ประพฤติตบะที่ทำได้ยากอย่างนี้เพื่ออะไรหนอ หรือจะปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ หรือว่าอย่างอื่น เราจักทดลองดาบสนั้นดู.
               จริงอยู่ ดาบสนี้มีความประพฤติทางกายวาจาและใจบริสุทธิ์สะอาด ไม่อาลัยในชีวิต บริโภคใบหมากเม่าชงน้ำ หากปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ จักให้ใบหมากเม่าชงน้ำของตนแก่เรา หากไม่ปรารถนาก็จักไม่ให้ จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ไปหาอกิตติดาบสนั้น.
               แม้พระโพธิสัตว์ก็รินใบหมากเม่าออกคิดว่าจักบริโภคน้ำใบหมากเม่าเย็น นั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา.
               ลำดับนั้น ท้าวสักกะมีรูปเป็นพราหมณ์มีความต้องการภิกษา ได้ยืนข้างหน้าพระดาบส.
               พระมหาสัตว์เห็นพราหมณ์นั้นก็ดีใจด้วยคิดว่า เป็นลาภของเราแล้วหนอ เราได้ดีแล้วหนอ เราไม่ได้เห็นยาจกมานานแล้วหนอ คิดต่อไปว่า วันนี้เราจักยังความปรารถนาของเราให้ถึงที่สุดแล้วจักให้ทาน จึงถือเอาด้วยภาชนะที่มีอาหารสุกไป แล้วนึกถึงทานบารมี ใส่ลงในภิกษาภาชนะของพราหมณ์นั้นจนหมด.
               ท้าวสักกะรับภิกษานั้นไปได้หน่อยหนึ่งก็อันตรธานไป.
               แม้พระมหาสัตว์ ครั้นให้ภิกษาแก่พราหมณ์นั้นแล้วก็ไม่นึกที่จะแสวงหาอีก ยังกาลเวลาให้น้อมล่วงไปด้วยปีติสุขนั้นนั่นเอง.
               ในวันที่สอง ท่านอกิตติดาบสนั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา ก็ต้มใบหมากเม่าอีกคิดว่า เมื่อวานนี้ เราไม่ได้ทักขิไณยบุคคล วันนี้เราจะได้อย่างไรหนอ. ท้าวสักกะก็เสด็จมาเหมือนเดิม. พระมหาสัตว์ได้ให้ภิกษายังกาลเวลาให้น้อมล่วงไปเหมือนอย่างนั้นอีก.
               ในวันที่สามก็ให้อย่างนั้นอีกแล้วคิดว่าน่าปลื้มใจหนอ เป็นลาภของเรา เราประสบบุญมากหนอ หากเราได้ทักขิไณยบุคคล เราจะให้ทานอย่างนี้ ตลอดเดือนหนึ่งบ้าง สองเดือนบ้าง.
               แม้ในสามวัน พระดาบสก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ด้วยทานนั้นเรามิได้ปรารถนา ลาภสักการะและความสรรเสริญ ไม่ปรารถนาสมบัติจักรพรรดิ ไม่ปรารถนาสักกสมบัติ ไม่ปรารถนาพรหมสมบัติ ไม่ปรารถนาสาวกโพธิญาณ ไม่ปรารถนาปัจเจกโพธิญาณ ที่แท้ขอทานของเรานี้จงเป็นปัจจัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณเถิด.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านอกิตติดาบสจึงกล่าวว่า [พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า] :-
                                   ในกาลนั้นด้วยเดชแห่งการประพฤติตบะของ
                         เรา ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ในไตรทิพย์ทรงร้อนพระทัย
                         ทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ เข้ามาหาเราเพื่อภิกษา.
                                   เราได้เห็นพราหมณ์มายืนอยู่ใกล้ประตูบรรณ-
                         ศาลาของเรา จึงเอาใบหมากเม่าที่เรานำมาแต่ป่า อัน
                         ไม่มีน้ำมันทั้งไม่เค็มให้หมด พร้อมกับภาชนะ.
                                   ครั้นได้ให้ใบหมากเม่าแก่พราหมณ์นั้นแล้ว
                         เราจึงคว่ำภาชนะ ละการแสวงหาใบหมากเม่าใหม่
                         เข้าไปยังบรรณศาลา.
                                   แม้ในวันที่สอง แม้ในวันที่สาม พราหมณ์ก็เข้า
                         มายังสำนักเรา เราไม่หวั่นไหว ไม่อาลัยในชีวิต ได้
                         ให้หมดสิ้นเช่นก่อนเหมือนกัน.
                                   ในสรีระของเราไม่มีความหม่นหมอง เพราะการ
                         อดอาหารนั้นเป็นปัจจัย เรายังวันนั้นๆ ให้น้อมไปด้วย
                         ความยินดีด้วยปีติสุข.
                                   ผิว่าเราพึงได้ทักขิไณยบุคคลผู้ประเสริฐ แม้
                         เดือนหนึ่งสองเดือน เราก็ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อแท้ พึง
                         ให้ทานอันอุดม เมื่อให้ทานแก่พราหมณ์นั้น เราจะ
                         ได้ปรารถนายศและลาภก็หามิได้ เราปรารถนาพระ
                         สัพพัญญุตญาณ จึงได้ประพฤติกรรมเหล่านั้นฉะนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ตทา คือ ในกาลที่เราเป็นดาบสชื่อว่าอกิตติ อยู่ในป่าใบหมากเม่านั้น (การทวีป).
               บทว่า มํ คือ ของเรา.
               บทว่า ตปเตเชน ด้วยเดชแห่งการบำเพ็ญตบะ คือด้วยอานุภาพแห่งศีลบารมี.
               จริงอยู่ ศีล ท่านเรียกว่าตบะ เพราะเผาความเศร้าหมองอันเกิดแต่ทุจริต. หรือเพราะอานุภาพแห่งเนกขัมมบารมีและวีริยบารมี. เพราะแม้บารมีเหล่านั้นท่านก็เรียกว่าตบะ เพราะเผาความเศร้าหมองคือตัณหา และความเกียจคร้าน.
               อนึ่ง บารมีเหล่านั้นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญอย่างยอดเยี่ยมในอัตภาพนี้.
               อันที่จริงควรจะกล่าวว่า ขนฺติปารมิตานุภาเวน ด้วยอานุภาพแห่งขันติบารมี เพราะขันติสังวรเข้าถึงความยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง.
               สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ขนฺตี ปรมํ ตโป ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง.
               บทว่า สนฺตตฺโต ท้าวสักกะทรงร้อนพระทัย.
               ความว่า ท้าวสักกะทรงร้อนพระทัยด้วยอาการแสดงความเร่าร้อนของบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์อันศักดิ์สิทธิ์ ตามธรรมดาที่เกิดด้วยอานุภาพของคุณธรรมที่กล่าวแล้ว.
               บทว่า ติทิวาภิภู ผู้เป็นใหญ่ในไตรทิพย์คือผู้เป็นใหญ่ในเทวโลก ได้แก่ท้าวสักกะ.
               ใบหมากเม่าแม้ถือเอาในที่ใกล้บรรณศาลา ท่านกล่าวว่า ปวนา อาภตํ นำมาจากป่า เพราะบรรณศาลาอยู่ท่ามกลางป่า.
               บทว่า อเตลญฺจ อโลณิกํ ไม่มีน้ำมัน ทั้งไม่มีความเค็ม ท่านกล่าวเพื่อแสดงความรุ่งเรืองอย่างใหญ่หลวงแห่งทานบารมี ด้วยความสมบูรณ์แห่งอัธยาศัย แม้ไทยธรรมจะไม่ใหญ่โตนัก.
               บทว่า มม ทฺวาเร คือ ใกล้ประตูบรรณศาลาของเรา.
               ด้วยบทนี้ว่า สกฏาเหน อากิรึ ให้หมดพร้อมทั้งภาชนะ ท่านอกิตติดาบสแสดงถึงความที่ตนให้ไม่มีอะไรๆ เหลือ.
               บทว่า ปุเนสกํ ชหิตฺวาน ละการแสวงหาใบหมากเม่าใหม่ คือท่านอกิตติดาบสคิดว่า การแสวงหาของบริโภควันหนึ่งสองครั้ง ไม่เป็นการขัดเกลากิเลส จึงไม่แสวงหาอาหารใหม่ในวันนั้น เป็นดุจว่าอิ่มด้วยความอิ่มในทาน.
               บทว่า อกมฺปิโต ไม่หวั่นไหว คือไม่หวั่นไหวด้วยความตระหนี่ เพราะข่มเสียได้นานมาแล้ว ไม่กระทำแม้เพียงความหวั่นไหวโดยอัธยาศัยในการให้.
               บทว่า อโนลคฺโค ไม่อาลัยในชีวิต คือไม่อาลัยแม้แต่น้อยด้วยความโลภ.
               บทว่า ตติยมฺปิ ย่อมประมวลบทนี้ว่า ทุติยมฺปิ ด้วยปิศัพท์.
               บทว่า เอวเมวมทาสหํ เราได้ให้หมดสิ้นเช่นวันก่อน คือ แม้ในวันที่สอง แม้ในวันที่สาม เราก็ได้ให้อย่างนั้นเหมือนในวันแรก.
               บทว่า น เม ตปฺปจฺจยตา เพราะการอดอาหารนั้นเป็นปัจจัย คือท่านอกิตติดาบสกระทำความที่กล่าวไว้ในคาถาให้ปรากฏ.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ตปฺปจฺจยตา ความว่า เพราะการอดอาหารใน ๓ วัน เพราะการให้เป็นปัจจัย จะพึงมีความหม่นหมองอันใดในสรีระ ความหม่นหมองอันนั้นในสรีระของเราย่อมไม่มีเพราะการให้เป็นปัจจัยเลย.
               เพราะเหตุไร. เพราะเรายังกาลเวลาให้น้อมล่วงไปด้วยปีติสุขตลอด ๓ วัน. มิใช่เพียง ๓ วันเท่านั้น อันที่จริงเพื่อแสดงว่า เราพอใจที่จะให้อย่างนั้นได้ตลอดเวลาแม้เดือนหนึ่งและสองเดือน ท่านอกิตติดาบสจึงกล่าวว่า ยทิ มาสมฺปิ.
               บทว่า อโนลีโน คือไม่ท้อแท้ใจ. อธิบายว่า มีใจไม่ท้อถอยในการให้.
               บทว่า ตสฺส คือ ท้าวสักกะผู้มาในรูปของพราหมณ์.
               บทว่า ยสํ คือ เกียรติ หรือบริวารสมบัติ.
               บทว่า ลาภญฺจ คือ เราไม่ปรารถนาลาภที่ควรได้ด้วยความเป็นจักรพรรดิเป็นต้นในเทวโลกและมนุษยโลก. ที่แท้เราปรารถนาคือหวังพระสัพพัญญุตญาณ จึงได้ประพฤติคือได้กระทำบุญกรรมอันสำเร็จด้วยทานอันเกิดขึ้นหลายครั้งใน ๓ วันเท่านั้น หรือบุญกรรมมีกายสุจริตเป็นต้น อันเป็นบริวารของทาน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศเพียงบุญจริยาที่ทำได้ยากของพระองค์ในอัตภาพนี้แก่พระมหาเถระในวรรคนี้ ด้วยประการฉะนี้.
               แต่ในเทศนาชาดก ท่านประกาศถึงท้าวสักกะเข้าไปหาในวันที่สี่ แล้วทรงทราบอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์ การประทานพร การแสดงธรรมของพระโพธิสัตว์ด้วยหัวข้อการรับพร และความหวังไทยธรรมและทักขิไณยบุคคล และการไม่มาของท้าวสักกะ.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
                                   ท้าวสักกะผู้เป็นภูตบดี ทอดพระเนตรเห็น
                         ท่านอกิตติดาบสพักสำราญอยู่ จึงถามว่า ข้าแต่
                         มหาพรหม พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรจึงอยู่ผู้
                         เดียวในฤดูร้อน.
                                   ท่านท้าวสักกรินทรเทพ ความเกิดใหม่เป็น
                         ทุกข์ การแตกทำลายแห่งสรีระเป็นทุกข์ การตาย
                         ด้วยความหลงเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น อาตมาจึง
                         อยู่ผู้เดียว.
                                   ข้าแต่ท่านกัสสปะ เมื่อพระคุณเจ้ากล่าวคำ
                         สุภาษิตอันสมควรนี้แล้ว พระคุณเจ้าปรารถนา
                         อะไร ข้าพเจ้าจะให้พรนั้นแก่ท่าน.
                                   ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพทั้งหลาย
                         หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้
                         คนทั้งหลายได้บุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัติและ
                         ของเป็นที่รักด้วยความโลภใดแล้วไม่เดือดร้อน
                         ขอความโลภนั้นไม่พึงอยู่ในอาตมาเลย.
                                   ข้าแต่ท่านกัสสปะ เมื่อพระคุณเจ้ากล่าว
                         ดีแล้ว ฯลฯ พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
                                   ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพทั้งหลาย
                         หากท่านจะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้
                         นา ไร่ ทอง โค ม้า ทาสและบุรุษ ย่อมเสื่อมไป
                         ด้วยโทษใด โทษนั้นไม่พึงอยู่ในอาตมาเลย.
                                   ข้าแต่ท่านกัสสปะ ฯลฯ พระคุณเจ้า
                         ปรารถนาอะไรอีก.
                                   ท่านท้าวสักกะหากท่านจะให้พรแก่อาตมา
                         ขอจงให้พรดังนี้ บุคคลไม่พึงเห็น ไม่พึงได้ยินคน
                         พาล ไม่พึงอยู่ร่วมด้วยคนพาล ไม่พึงกระทำและ
                         ไม่พึงชอบใจการสนทนาปราศรัยด้วยคนพาล.
                                   ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะอะไรท่านจึงไม่
                         ชอบคนพาล ขอจงบอกเหตุ เพราะเหตุไร พระ
                         คุณเจ้าจึงไม่ปรารถนาที่จะเห็นคนพาล.
                                   คนพาลย่อมแนะนำสิ่งไม่ควรแนะนำ ย่อม
                         ขวนขวายในกิจอันไม่ใช่ธุระ คนพาลแนะนำให้ดี
                         ได้ยาก พูดดีหวังจะให้เขาเป็นคนประเสริฐกลับ
                         โกรธ คนพาลนั้นไม่รู้วินัย การไม่เห็นคนพาลได้
                         เป็นความดี.
                                   ข้าแต่ท่านกัสสปะ พระคุณเจ้าปรารถนา
                         อะไรอีก.
                                   ท่านท้าวสักกะจอมเทพ หากท่านจะให้
                         พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ บุคคลพึงเห็น
                         นักปราชญ์ พึงฟังนักปราชญ์ พึงอยู่ร่วมกับนัก
                         ปราชญ์ พึงกระทำและพึงชอบใจการสนทนา
                         ปราศรัยกับนักปราชญ์.
                                   ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะเหตุไร พระคุณ
                         เจ้าจึงชอบใจนักปราชญ์ ขอจงบอกเหตุนั้น
                         เพราะเหตุไร พระคุณเจ้าจึงปรารถนาจะเห็น
                         นักปราชญ์.
                                   นักปราชญ์แนะนำสิ่งที่ควรแนะนำ ไม่
                         ขวนขวายในกิจที่มิใช่ธุระ นักปราชญ์แนะนำ
                         ได้ง่าย พูดหวังจะให้ดีก็ไม่โกรธ นักปราชญ์
                         ย่อมรู้จักวินัย การสมาคมกับนักปราชญ์เป็น
                         ความดี.
                                   พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
                                   ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ หากท่าน
                         จะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ เมื่อราตรี
                         หมดไป ดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นเจ้าโลก ของบริโภค
                         อันเป็นทิพย์พึงปรากฏ ผู้ขอพึงเป็นผู้มีศีล.
                                   เมื่ออาตมาให้ของบริโภคไม่หมดสิ้นไป
                         ครั้นให้แล้วอาตมาไม่พึงเดือดร้อน เมื่อให้จิต
                         พึงผ่องใส ท่านท้าวสักกะขอจงให้พรนี้เถิด.
                                   พระคุณเจ้าปรารถนาอะไรอีก.
                                   ท่านท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ หากท่าน
                         จะให้พรแก่อาตมา ขอจงให้พรดังนี้ ท่านไม่พึง
                         กลับมาหาอาตมาอีก ท่านท้าวสักกะ ขอจงให้
                         พรนี้เถิด.
                                   เทพบุตร หรือ เทพธิดา ปรารถนาจะเห็น
                         ด้วยการประพฤติพรตเป็นอันมาก อะไรจะเป็น
                         ภัยในการเห็นของอาตมา.
                                   ตบะพึงแตกไป เพราะเห็นสีสรรของพวก
                         เทพเช่นนั้น ผู้ล้วนแล้วไปด้วยความสุขสมบูรณ์
                         ในกามนี้เป็นภัยในการเห็นของพระคุณเจ้า.
               ลำดับนั้น ท้าวสักกะตรัสว่า ดีแล้วพระคุณเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ไป ข้าพเจ้าจักไม่มาหาพระคุณเจ้าอีกแล้ว ทรงกราบพระดาบสนั้นเสด็จกลับไป.
               พระมหาสัตว์อยู่ ณ การทวีปนั้นตลอดชีวิต เมื่อสิ้นอายุก็ไปบังเกิดในพรหมโลก.
               ในครั้งนั้น พระอนุรุทธเถระเป็นท้าวสักกะ. พระโลกนาถเจ้าเป็นอกิตติบัณฑิต.
               ย่อมได้รับบารมี ๑๐ เหล่านี้ คือ ชื่อว่าเนกขัมมบารมี เพราะการออกไปของท่านอกิตติบัณฑิตนั้นเช่นกับมหาภิเนษกรมณ์. ชื่อว่าศีลบารมี เพราะมีศีลาจารอันบริสุทธิ์ด้วยดี. ชื่อว่าวีริยบารมี เพราะข่มกามวิตกเป็นต้นด้วยดี. ชื่อว่าขันติบารมี เพราะขันติสังวรถึงความยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง. ชื่อว่าสัจจบารมี เพราะปฏิบัติตามสมควรแก่ปฏิญญา. ชื่อว่าอธิฏฐานบารมี เพราะตั้งใจสมาทานไม่หวั่นไหวในที่ทั้งปวง. ชื่อว่าเมตตาบารมี ด้วยอัธยาศัยเกื้อกูลในสรรพสัตว์ทั้งหลาย. ชื่อว่าอุเบกขาบารมี เพราะถึงความเป็นกลางในความผิดปกติที่สัตว์และสังขารกระทำแล้ว. ชื่อว่าปัญญาบารมี ได้แก่ปัญญาอันเป็นอุบายโกศลซึ่งเป็นสหชาตปัญญา และปัญญาให้สำเร็จความประพฤติในการขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เพราะรู้ธรรมเป็นอุปการะ และธรรมไม่เป็นอุปการะแก่บารมีเหล่านั้น ละธรรมอันไม่เป็นอุปการะเสีย มุ่งประพฤติอยู่ในธรรมอันเป็นอุปการะ.
               เทศนาอันเป็นไปแล้วด้วยทานเป็นประธานอันเป็นความกว้างขวางยิ่งนักแห่งผู้มีอัธยาศัยในการให้. เพราะฉะนั้น ธรรมเหล่าใดมีประเภทไม่น้อย เป็นร้อยเป็นพัน เป็นโพธิสมภาร เป็นคุณของพระโพธิสัตว์มีอาทิอย่างนี้ คือ ธรรมเป็นปฏิญญา ๗ มีอาทิ คือ มหากรุณาอันให้สำเร็จในที่ทั้งปวง บุญสมภารและญาณสมภาร แม้ทั้งสอง สุจริตของพระโพธิสัตว์ ๓ มีกายสุจริตเป็นต้น. อธิฏฐาน ๔ มีสัจจาธิษฐานเป็นต้น. พุทธภูมิ ๔ มีอุตสาหะเป็นต้น ธรรมเป็นเครื่องบ่มมหาโพธิญาณ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น อัธยาศัยของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ๖ มีอัธยาศัยไม่โลภเป็นต้น เราข้ามได้แล้วจักข้ามต่อไป มหาปุริสวิตก ๘ มีอาทิว่า ธรรมนี้ของผู้มีความมักน้อย ธรรมนี้มิใช่ของผู้มีความมักใหญ่. ธรรมมีโยนิโสมนสิการเป็นมูล ๙ อัธยาศัยของมหาบุรุษ ๑๐ มีอัธยาศัยในการให้เป็นต้น บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีทานและศีลเป็นต้น. ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมดควรกล่าวเจาะจงไปในที่นี้ตามสมควร.
               อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบคุณานุภาพของพระมหาสัตว์มีอาทิอย่างนี้ คือการละกองสมบัติใหญ่ และวงศ์ญาติใหญ่ แล้วออกจากเรือนเช่นกับมหาภิเนษกรมณ์ ครั้นออกไปแล้ว เมื่อบวชซึ่งชนเป็นอันมากรับรู้แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องในตระกูล ในคณะเพราะเป็นผู้มักน้อยอย่างยิ่ง รังเกียจลาภ สักการะและความสรรเสริญสิ้นเชิง ยินดีในความสงัด วางเฉยในร่างกายและชีวิตเสียสละ อดอาหาร ยินดีด้วยความอิ่มในทาน แม้ ๓ วัน ร่างกายยังเป็นไปได้ไม่ผิดปกติ เมื่อมีผู้ขอก็ให้อาหารอยู่อย่างนั้น เดือนหนึ่งสองเดือน ประพฤติไม่ท้อถอยในการบริจาคมีอัธยาศัยในการให้อย่างกว้างขวาง ด้วยคิดว่า เราจักยังร่างกายให้เป็นไปอยู่ได้ด้วยปีติสุขอันเกิดจากการให้เท่านั้น ครั้นให้ทานแล้วก็ประพฤติขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้นไม่เป็นเหตุให้ทำการแสวงหาอาหารใหม่.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า :-
                                   น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้วพระมหาสัตว์
                         ทั้งหลายเป็นผู้แสวงหาคุณธรรมใหญ่หลวง มี
                         มหากรุณาเป็นนักปราชญ์ เป็นเผ่าพันธุ์เอก
                         ของสรรพโลก.
                                   พระมหาสัตว์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ มีอานุ-
                         ภาพเป็นอจินไตย มีพระสัทธรรมเป็นโคจรใน
                         กาลทุกเมื่อ มีความประพฤติขัดเกลากิเลส
                         อย่างหมดจด.
                                   พายุใหญ่ มหาสมุทรมีคลื่นซัดเป็นวง-
                         กลม พระโพธิสัตว์กระโดดข้ามแดนนั้นไปได้
                         ไม่ใช่เรื่องธรรมดา.
                                   พระมหาสัตว์เหล่านั้น แม้เป็นผู้เจริญ
                         โดยสัญชาตในโลก เป็นผู้อบรมดีแล้วก็ไม่ติด
                         ด้วยโลกธรรมทั้งหลาย เหมือนประทุมไม่ติด
                         ด้วยน้ำฉันนั้น.
                                   ความเสน่หาเพราะกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย
                         ย่อมเจริญโดยประการที่ละความเสน่หาในตน
                         ออกไปของพระมหาสัตว์ทั้งหลาย.
                                   กรรมย่อมอยู่ในอำนาจ ทั้งไม่เป็นตาม
                         อำนาจของกรรม เหมือนจิตย่อมอยู่ในอำนาจ
                         ทั้งไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต ฉะนั้น.
                                   พระมหาสัตว์เหล่านั้น เที่ยวแสวงหา
                         โพธิญาณอันโทสะไม่ครอบงำ หรือไม่เกิดขึ้น
                         ดังบุรุษทั้งหลายรู้ถึงความเสื่อม.
                                   แม้จิตเลื่อมใสในท่านเหล่านั้น ก็พึงพ้น
                         จากทุกข์ได้ จะพูดไปทำไมถึงการทำตามท่าน
                         เหล่านั้นโดยธรรมสมควรแก่ธรรมเล่า.
               จบอรรถกถาอกิตติจริยาที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญทานบารมี ๑. อกิตติจริยา จบ.
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒]
อ่านอรรถกถา 33.2 / 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 28อรรถกถา เล่มที่ 33.3 ข้อ 1อ่านอรรถกถา 33.3 / 2อ่านอรรถกถา 33.3 / 36
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=8637&Z=8661
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=52&A=1
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=52&A=1
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :