ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 33.3 / 1อ่านอรรถกถา 33.3 / 10อรรถกถา เล่มที่ 33.3 ข้อ 11อ่านอรรถกถา 33.3 / 12อ่านอรรถกถา 33.3 / 36
อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญสีลบารมี
๑. สีลวนาคจริยา

               อรรถกถาหัตถินาควรรคที่ ๒               
               ๒. การบำเพ็ญศีลบารมี               
               อรรถกถาสีลวนาคจริยาที่ ๑#-               
____________________________
#- พม่าเป็น มาตุโปสกจริยา.

               พึงทราบวินิจฉัยในสีลวนาคจริยาที่หนึ่งแห่งวรรคที่ ๒ ดังต่อไปนี้.
               บทว่า กุญฺชโร คือ ช้าง.
               บทว่า มาตุโปสโก ผู้เลี้ยงมารดา คือบำรุงมารดาชราตาบอด.
               บทว่า มหิยา คือ ในแผ่นดิน. บทว่า คุเณน คือ ด้วยสีลคุณ.
               ในครั้งนั้น ไม่มีอะไรที่จะเสมอเรา.
               เรื่องมีอยู่ว่า พระโพธิสัตว์ ในครั้งนั้นบังเกิดในกำเนิดช้าง ณ หิมวันตประเทศ. เผือกผ่องตลอด รูปงาม สมบูรณ์ด้วยลักษณะเป็นหัวหน้าโขลง มีช้างบริวาร ๑๐๐,๐๐๐ เชือก.
               ส่วนมารดาของพระโพธิสัตว์ตาบอด.
               พระโพธิสัตว์ให้ผลาผลมีรสอร่อยในงวงช้างทั้งหลายแล้วเลี้ยงมารดา. ช้างทั้งหลายไม่เอาไปให้มารดาเคี้ยวกินเสียเอง.
               พระโพธิสัตว์คอยสังเกตดูก็รู้เรื่องราว คิดว่าเราจะเลิกละโขลงช้าง เลี้ยงดูมารดาเอง.
               ตอนกลางคืน เมื่อช้างเหล่าอื่นไม่รู้ ก็พามารดาไปยังเชิงเขาจัณโฑรณบรรพต เข้าไปอาศัยสระบัวสระหนึ่ง ให้มารดาอยู่ในถ้ำภูเขาซึ่งตั้งอยู่ แล้วเลี้ยงดู.
               พรานป่าคนหนึ่งหลงทางไม่สามารถกำหนดทิศได้ร้องคร่ำครวญเสียจนดัง. พระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงของพรานป่านั้นจึงดำริว่าชายผู้นี้ไร้ที่พึ่ง เมื่อเราอยู่การที่ชายผู้นี้จะพึงพินาศไปในที่นี้ไม่เป็นการสมควร. จึงไปหาพรานป่า เห็นพรานป่าหนีเพราะความกลัวจึงถามว่า ท่านผู้เจริญ ท่านไม่มีภัยเพราะอาศัยเราดอก. อย่าหนีไปเลย. เพราะเหตุไร ท่านจึงเที่ยวร้องคร่ำครวญอยู่เล่า.
               พรานป่าตอบว่า ข้าพเจ้าหลงทางมา วันนี้เป็นวันที่ ๗ แล้วละนาย.
               พระโพธิสัตว์กล่าวว่า อย่ากลัวไปเลยพ่อ เราจะพาท่านไปที่ทางเดินของมนุษย์. แล้วให้พรานป่านั่งบนหลังของตนนำออกจากป่าแล้วก็กลับ.
               พรานป่าลามกคิดว่าเราจักไปพระนครกราบทูลแด่พระราชา จึงทำเครื่องหมายต้นไม้ภูเขาออกไปกรุงพาราณสี.
               ในกาลนั้น มงคลหัตถีของพระราชาล้ม. พรานป่าจึงเข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลถึงความที่ตนเห็นพระมหาบุรุษ.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   พรานป่าพบเราในป่าใหญ่แล้วได้กราบทูล
                         แด่พระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ช้างมงคลสมควร
                         เป็นช้างพระที่นั่งทรง มีอยู่ในป่าใหญ่อันการจับ
                         ช้างนั้นไม่ต้องขุดคู แม้การปักเสาตะลุงและการ
                         ขุดหลุมลวงก็ไม่ต้อง ในขณะจับเข้าที่งวงเท่านั้น
                         ช้างนั้นก็จะมา ณ ที่นี่เอง พระเจ้าข้า.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ปวเน ทิสฺวา วนจโร คือ พรานป่าคนหนึ่งเที่ยวไปในป่าใหญ่เห็นเรา.
               บทว่า รญฺโญ มํ ปฏิเวทยิ ความว่า จึงกราบทูลแด่พระราชา.
               บทว่า ตวานุจฺฉโว คือ สมควรทำเป็นช้างพระที่นั่งทรงของพระองค์.
               บทว่า น ตสฺส ปริกฺขายตฺโถ ไม่ต้องขุดคู.
               ความว่า อันการจับช้างนั้นเพื่อการหนีไปกำบังตนด้วยการขุดคู ด้วยใบหูของนางช้าง ช้างเข้าไปในเชือกบ่วงที่เหวี่ยงไปหรือในเสาล่ามช้าง คือเสาตะลุงที่ปักไว้ ก็ไม่สามารถจะไปในที่ใดที่หนึ่งได้. ไม่มีประโยชน์ด้วยหลุมลวงเช่นนั้น.
               บทว่า สหคหิเต คือ ในขณะจับ. บทว่า เอหิติ คือ จักมา.
               พระราชาได้ให้พรานป่าเป็นผู้นำทางไปป่า ทรงส่งควาญช้างไปกับบริวารด้วยมีพระดำรัสว่า ท่านจงนำคชสารที่พรานป่าบอกมาให้ได้. ควาญช้างนั้นได้ไปกับพรานป่า เห็นพระโพธิสัตว์เข้าไปยังสระบัวหาอาหาร ดังนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   แม้พระราชาทรงได้ยินคำของพรานป่านั้นแล้ว
                         ก็ทรงดีพระทัย ทรงส่งควาญช้างซึ่งเป็นอาจารย์ผู้ฉลาด
                         ศึกษาดีแล้ว.
                                   ควาญช้างนั้นไป ได้พบช้างกำลังถอนเหง้าบัวอยู่
                         ในสระบัวหลวงเพื่อเอาไปเลี้ยงมารดา. ควาญช้างรู้คุณ
                         ศีลของเราพิจารณาดูลักษณะแล้ว กล่าวว่า มานี่แน่ลูก
                         แล้วจับที่งวงของเรา.
               ในบทเหล่านั้นบทว่า เฉกาจริยํ คือ ควาญช้างผู้ฉลาดในวิธีจับช้างเป็นต้น.
               บทว่า สุสิกฺขิตํ คือ ศึกษาดีแล้วด้วยสำเร็จวิชาฝึกช้าง.
               บทว่า วิญฺญาย เม สีลคุณํ คือ ควาญช้างรู้คุณศีลของเราว่า ช้างผู้เจริญนี้เป็นช้างอาชาไนย ไม่โง่ ไม่ดุ มีปกติไม่คลุกคลี.
               รู้อย่างไร?
               บทว่า ลกฺขณํ อุปธารยิ คือ ควาญช้างพิจารณาดูลักษณะของเราโดยถ้วนถี่ เพราะเป็นผู้มีศิลปะในการดูช้างซึ่งศึกษามาเป็นอย่างดี.
               ด้วยเหตุนั้น ควาญช้างจึงกล่าวว่า มานี่แน่ะลูก แล้วจับที่งวงของเรา.
               พระโพธิสัตว์เห็นควาญช้างแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า ภัยของเรานี้เกิดจากพรานป่าผู้นี้ เรามีกำลังมากสามารถจะกำจัดแม้ช้างตั้งพันเชือกได้. เราโกรธขึ้นมาพอที่จะยังเหล่านักรบพร้อมด้วยแคว้นให้พินาศลงไปได้. แต่หากเราโกรธ ศีลของเราก็จะขาด เพราะฉะนั้น แม้ควาญช้างจะเอาหอกทิ่มแทง เราก็จะไม่โกรธ ดังนี้แล้วก็โน้มศีรษะลงยืนนิ่งอยู่.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   ในกาลนั้น กำลังของเราที่มีอยู่ในกายตามปกติ
                         อันใด วันนี้กำลังของเรานั้นเสมอเหมือนกับกำลังของ
                         ช้างพันเชือก ถ้าเราโกรธควาญช้างผู้เข้ามาจับเรา เรา
                         พึงสามารถจะเหยียบย่ำเขาเหล่านั้นได้ แม้ตลอดราช
                         สมบัติของมนุษย์.
                                   แต่ถึงแม้เราจะถูกเขาใส่ไว้ในเสาตะลุง เราก็ไม่
                         คิดโกรธ เพื่อรักษาศีล เพื่อบำเพ็ญศีลบารมีให้บริบูรณ์.
                         ถ้าเขาพึงทำลายเราที่เสาตะลุงนี้ด้วยขวานและหอกซัด
                         เราก็จะไม่โกรธเขาเลย เพราะเรากลัวศีลของเราจะขาด.

               ในบทเหล่านั้นบทว่า ปากติกํ คือ เหมือนเดิม.
               บทว่า สรีรานุคตํ คือ กำลังกายที่ติดอยู่กับร่างกาย.
               อธิบายว่า มิใช่กำลังกายที่เกิดขึ้นด้วยญาณ คือความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย.
               บทว่า อชฺช นาคสหสฺสานํ ความว่า ในวันนี้ เท่ากับช้างพันเชือก.
               บทว่า พเลน สมสาทิสํ คือ กำลังของเราเท่ากับกำลังในร่างกายของช้างเหล่านั้น มิใช่ด้วยเพียงเปรียบเทียบ เพราะในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลมงคลหัตถี.
               บทว่า ยทิหํ เตสํ ปกุปฺเปยฺยํ คือ หากเราโกรธควาญช้างผู้เข้ามาเพื่อจับเรา เราพึงมีกำลังต่อสู้ในการทำลายชีวิตของควาญช้างได้. มิใช่มีกำลังต่อสู้ควาญช้างอย่างเดียว ที่จริงแล้วแม้ตลอดราชสมบัติของมนุษย์ เราก็จักทำลายราชสมบัติทั้งหมดของมนุษย์เหล่านั้นผู้มาโดยราชการ ให้เป็นเป็นผุยผงไป.
               บทว่า อปิ จาหํ สีลรกฺขาย คือ แม้เราสามารถอย่างนั้นได้ เราก็ได้รับการคุ้มกันด้วยการรักษาศีล ด้วยการคุ้มครองของศีล อันตั้งอยู่ในตน ดุจผูกพันไว้.
               บทว่า น กโรมิ จิตฺเต อญฺญถตฺตํ ความว่า เราไม่ทำจิตโกรธเคือง คือเราไม่ทำวิธีมีการจับฟาดเป็นต้นแก่สัตว์เหล่านั้น อันเป็นการทำลายศีลนั้น คือแม้จิตในการจับฟาดเป็นต้นนั้นก็มิได้เกิดขึ้นเลย.
               บทว่า ปกฺขิปนฺตํ มมาฬฺหเก ความว่า ผูกเราไว้ที่เสาตะลุง คือผูกไว้ที่เสาล่ามช้าง.
               คำว่า ทิสวาปิ เป็นคำเกิน.
               หากถามว่า เพราะเหตุไร.
               โยชนาแก้ไว้ว่า เมื่อเราไม่ทำลายศีลในฐานะเช่นนี้ ด้วยการบำเพ็ญศีลบารมีในไม่ช้าศีลบารมีก็จักบริบูรณ์เพราะเหตุนั้น เพื่อบำเพ็ญศีลบารมี เราจึงไม่ทำลายศีลแม้ในความคิด.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำความมั่นคงด้วยการรักษาศีลแม้ด้วยคาถาว่า ยทิ เต มํ ถ้าเขาทำลายเราดังนี้ แล้วทรงแสดงถึงความที่ศีลนั้นตั้งมั่นแล้ว.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า โกฏฺเฏยฺยุํ คือ พึงทำลาย.
               บทว่า สีลขณฺฑภยา มม คือ เพราะกลัวศีลของเราจะขาด.
               ก็พระโพธิสัตว์ครั้นดำริอย่างนี้แล้ว จึงยืนเฉยไม่ไหวติง. ควาญช้างหยั่งลงสู่สระประทุม เห็นลักษณะสมบัติของพระโพธิสัตว์นั้นจึงกล่าวว่า มานี่แน่ะลูก แล้วจับที่งวงเช่นกับพวงเงินไปถึงกรุงพาราณสีใน ๗ วัน.
               ควาญช้างเมื่อถึงระหว่างทางได้ส่งข่าวถวายพระราชาให้ทรงทราบ.
               พระราชาทรงให้ตกแต่งพระนคร.
               ควาญช้างนำพระโพธิสัตว์ซึ่งมีสายรัดทำด้วยกลิ่นหอมประดับประดาตกแต่งแล้วไปสู่โรงช้างวงด้วยม่านอันวิจิตรกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ.
               พระราชาทรงถือโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ไปให้แก่พระโพธิสัตว์.
               พระโพธิสัตว์มิได้ทรงรับโภชนาหารด้วยดำริว่า เราเว้นมารดาเสียแล้ว จักไม่รับอาหาร.
               แม้พระราชาขอร้องก็ไม่รับ กล่าวว่า :-
                         มารดาผู้น่าสงสาร ตาบอด ไม่มีผู้ดูแล
                         จะถูกตอตำเท้าตกภูเขาจัณโฑรณะ.

               พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ตรัสถามว่า:-
                         ท่านมหานาค ใครคือมารดาของท่านตาบอด
                         ไม่มีผู้ดูแล จะถูกตอตำเท้าตกภูเขาจัณโฑรณะ.

               พระโพธิสัตว์ทูลว่า :-
                         ข้าแต่มหาราช มารดาของข้าพระองค์ตาบอด
                         ไม่มีผู้ดูแล จะถูกตอตำเท้าตกภูเขาจัณโฑรณะ.

               เมื่อพระโพธิสัตว์ทูลว่า วันนี้เป็นวันที่ ๗ มารดาของข้าพระองค์ยังไม่ได้อาหารเลย.
               เพราะฉะนั้น พระราชาจึงตรัสว่า :-
                                   พวกท่านจงปล่อยมหานาค มหานาคนี้เลี้ยง
                         มารดา ขอมหานาคจงอยู่อย่างสงบกับมารดา พร้อม
                         ด้วยญาติเถิด.

               แล้วรับสั่งให้ปล่อยไป.
                         กุญชรมหานาคพ้นจากพันธนาการแล้ว
                         พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ไปภูเขาอันเป็นที่อยู่.

               ในบทเหล่านั้น บทว่า กปณิกา คือ น่าสงสาร.
               บทว่า ขาณุํ ปาเทน ฆฏฺเฏติ ความว่า มารดาร่ำไห้เพราะตาบอดและเพราะทุกข์ที่พรากจากบุตร จึงเสียดสีที่ต้นไม้นั้นๆ ด้วยเท้า.
               บทว่า จณฺโฑรณํ ปติ ได้แก่ ตกภูเขาจัณโฑรณะ คือมุ่งหน้าไปจัณโฑรณบรรพต. อธิบายว่า เดินวนเวียนอยู่ที่เชิงเขานั้น.
               บทว่า อคมา เยน ปพฺพโต คือ ช้างตัวประเสริฐนั้นพ้นจากพันธนาการ แล้วพักอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วแสดงทศพิธราชธรรมคาถาถวายพระราชา ทูลให้โอวาทว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงเป็นผู้ไม่ทรงประมาทเถิด.
               มหาชนต่างบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ออกจากพระนครเข้าไปหามารดาในวันนั้นเอง แล้วแจ้งเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาทราบ.
               มารดาดีใจ ได้อนุโมทนาพระราชาว่า :-
                                   ขอพระราชาผู้ปกครองแคว้นกาสีให้เจริญ
                         ปล่อยลูกของเราผู้มีความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ทุก
                         เมื่อ จงมีพระชนม์ยืนนานเถิด.
               พระราชาทรงเลื่อมใสในคุณธรรมของพระโพธิสัตว์ รับสั่งให้สร้างบ้านไม่ไกลสระบัว ทรงปรนนิบัติพระโพธิสัตว์และมารดาของพระโพธิสัตว์เป็นเนืองนิจ.
               ครั้นต่อมาเมื่อมารดาล้ม พระโพธิสัตว์ทำการฝังศพมารดาแล้ว ไปกุรัณฑกอาศรมบท.
               ก็ ณ ที่นั้นมีฤๅษี ๕๐๐ ลงจากหิมวันตประเทศอาศัยอยู่. พระราชาทรงปรนนิบัติฤๅษีเหล่านั้น แล้วทรงให้ช่างแกะสลักหินทำเป็นรูปปฏิมาเหมือนรูปพระโพธิสัตว์ แล้วทรงบริจาคมหาสักการะ.
               ชาวชมพูทวีปประชุมกันทุกปีโดยลำดับ กระทำการฉลองรูปเปรียบช้าง.
               พระราชาในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนท์ในครั้งนี้.
               นางช้างคือพระนางมหามายา.
               พรานป่าคือเทวทัต.
               ช้างตัวประเสริฐเลี้ยงมารดาคือตถาคต.
               แม้ในสีลวนาคจริยานี้ ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงทานบารมีเป็นต้นตามสมควร. แต่ศีลบารมีเป็นบารมียอดเยี่ยม เพราะเหตุนั้น ศีลบารมีนั้น ท่านจึงยกขึ้นสู่เทศนา.
               อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพแห่งพระมหาบุรุษไว้ในจริยานี้มีอาทิอย่างนี้ คือ
               พระโพธิสัตว์แม้เกิดในกำเนิดเดียรัจฉานยังเข้าไปตั้งจิตเคารพมารดา อันสมควรแก่ความเป็นผู้แม้อันพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทรงสรรเสริญด้วยความเป็นพรหม เป็นบุรพเทพ เป็นบุรพาจารย์ เป็นอาหุไนยบุคคลของบุตร แล้วทำไว้ในใจว่า ขึ้นชื่อว่ามารดาเป็นผู้มีอุปการะมากของบุตร. เพราะฉะนั้น การบำรุงมารดาอันบัณฑิตทั้งหลายบัญญัติไว้แล้ว. แล้วเลี้ยงดูมารดาด้วยคิดว่าเราเป็นใหญ่กว่าช้างพันเชือกไม่ใช่น้อยมีอานุภาพ มาก เป็นหัวหน้าโขลง ช้างเหล่านั้นเชื่อฟังไม่คำนึงถึงอันตรายในการอยู่ผู้เดียว ละโขลงผู้เดียว จักบูชามารดาผู้เป็นเขตแห่งผู้มีอุปการะ.
               การเห็นบุรุษหลงทางแล้วรับไปด้วยความเอ็นดู เลี้ยงด้วยอาหารของมนุษย์.
               การอดกลั้นความผิดที่พรานป่านั้นทำไว้.
               ถึงสามารถจักบีบบุรุษที่มาเพื่อจับตนมีควาญช้างเป็นหัวหน้า แม้ด้วยเพียงให้เกิดความหวาดสะดุ้งได้ก็ไม่ทำอย่างนั้น ด้วยคิดว่าศีลของเราจะขาดแล้วเข้าไปจับได้โดยง่ายดุจช้างที่ฝึกดีแล้ว.
               การอดอาหารแม้ตลอด ๗ วัน ด้วยคิดว่าเว้นมารดาเสียแล้ว เราจักไม่กลืนกินอาหารอะไรๆ.
               การไม่ทำจิตให้เกิดขึ้นว่าผู้นี้ผูกคล้องเรา แล้วแผ่เมตตาถวายพระราชา.
               และการแสดงธรรมถวายพระราชาโดยนัยต่างๆ.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                         ท่านผู้แสวงหาเหล่านี้ น่าอัศจรรย์ ทั้งไม่เคยมี
                                            ฯลฯ
                         จะพูดไปทำไม ถึงการทำตามโดยธรรมสมควร
                         แก่ธรรม ดังนี้.
               จบอรรถกถาสีลวนาคจริยาที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญสีลบารมี ๑. สีลวนาคจริยา จบ.
อ่านอรรถกถา 33.3 / 1อ่านอรรถกถา 33.3 / 10อรรถกถา เล่มที่ 33.3 ข้อ 11อ่านอรรถกถา 33.3 / 12อ่านอรรถกถา 33.3 / 36
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=8952&Z=8972
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=52&A=2909
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=52&A=2909
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :