บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า สุตโสโม มหีปติ คือ เป็นกษัตริย์พระนามว่าสุตโสมะ. ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระมหาสัตว์ทรงอุบัติในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้าโกรัพยะ ใน ครั้นพระกุมารสุตโสมทรงเจริญวัยสำเร็จศิลปะทุกแขนง พระมารดาพระบิดาทรงอภิเษกไว้ในราชสมบัติ. บทว่า คหิโต โปริสาเทน ความว่า ถูกพระราชากรุงพาราณสีพระนามว่าโปริสาท เพราะเคี้ยวกินพวกมนุษย์ จับไปเพื่อทำพลีกรรมเทวดา. พระเจ้าพาราณสีเว้นเนื้อแล้วก็ไม่เสวย คนทำอาหารเมื่อไม่ได้เนื้ออื่น ก็ทำเนื้อมนุษย์ให้เสวย ทรงติดในรส รับสั่งให้ฆ่ามนุษย์ แล้วเสวยเนื้อมนุษย์ จึงมีพระนามว่าโปริสาท. พวกชาวพระนคร ชาวนิคม ชาวชนบทมีอำมาตย์ราชบริษัทเป็นหัวหน้า และกาฬ ตรัสว่า แม้เราสละราชสมบัติก็จะไม่เว้นการกินเนื้อมนุษย์ จึงถูกชนเหล่านั้นขับไล่ออกจากแว่นแคว้น เข้าป่าอาศัยอยู่ ณ โคนต้นไทรต้นหนึ่ง เพื่อรักษาแผลที่เท้าเพราะถูกตอตำ จึงทำการบวงสรวงเทวดาว่า ข้าพเจ้าจะเอาโลหิตที่ลำคอของกษัตริย์ ๑๐๑ ในชมพูทวีปทั้งสิ้น กระทำ เมื่อแผลหายเป็นปกติ เพราะอดอาหารมา ๗ วัน สำคัญว่า เพราะอานุภาพของเทวดา เราจึงได้ความสวัสดี คิดว่าเราจักนำพระราชามาเพื่อพลีกรรมเทวดา จึงไปสมคบกับยักษ์ซึ่งเคยเป็นสหายกันในอดีตภพ ด้วยกำลังมนต์ที่ยักษ์นั้นให้ไว้ จึงมีกำลังเรี่ยวแรงว่องไวยิ่งนัก นำพระราชา ๑๐๐ มาได้ภายใน ๗ วันเท่านั้น แขวนไว้ที่ต้นไทรอันเป็นที่อยู่ของตน เตรียมทำพลีกรรม. ลำดับนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้นั้น ใช่ปรารถนาพลีกรรมนั้น คิดว่า เราจะหาอุบายห้ามพระยาโปริสาทนั้น จึงมาในรูปของนักบวช แสดงตนให้เห็น พระ พระยาโปริสาทดีใจว่า เราได้เห็นเทวดาของตนแล้ว จึงกล่าวว่า ข้าแต่ เมื่อพระยาโปริสาทไปภายในพระราชอุทยานนั้นแล ตอนใกล้รุ่งพวก ในกาลนั้น นันทพราหมณ์จากเมืองตักกศิลา ถือเอาสตารหคาถา ๔ บท เดินทางไปประมาณ ๑๒๐ โยชน์ถึงพระนครนั้น เห็นพระราชาเสด็จออกทางประตูด้านตะวันออก จึงยกมือทูลว่า ขอพระมหาราชจงทรงพระเจริญ แล้วถวายพระพร. พระราชาทรงไสช้างเข้าไปหาพราหมณ์นั้น ตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านมาแต่ไหน? ปรารถนาอะไร? ควรให้อะไรแก่ท่าน. พราหมณ์ได้ยินว่าพระองค์เป็นผู้ปลื้มใจในการฟัง จึงทูลว่า ข้าพระองค์รับสตารหคาถา ๔ บทมาเพื่อแสดงถวายแด่พระองค์. พระมหาสัตว์ทรงดีพระทัย ตรัสว่า เราไปอุทยานอาบน้ำแล้วจะมาฟัง ท่าน ลำดับนั้น พวกเครื่องต้นนำของหอมดอกไม้และเครื่องประดับ เข้าไปถวายพระราชา. พระยาโปริสาทคิดว่า ในเวลาแต่งพระองค์ พระราชาจักหนักเกินไป. เราจักจับพระราชาในตอนที่ยังเบา จึงแผดเสียงแกว่งพระขรรค์ ประกาศชื่อว่า เราโปริสาท แล้วโผล่ขึ้นจากน้ำ. ควาญช้างเป็นต้นได้ยินเสียงของพระยาโปริสาทนั้น ก็ตกจากช้างเป็นต้น. หมู่ทหารที่ยืนอยู่ไกลก็หนีไปจากนั้น. ที่อยู่ใกล้ก็ทิ้งอาวุธของ พระยาโปริสาทอุ้มพระราชาประทับนั่งที่คอ กระโดดข้ามกำแพงสูง ๑๘ ศอกไปต่อหน้า เหยียบกระพองช้างตกมันซึ่งแล่นไปข้างหน้า ให้ล้มลงดุจยอดเขาล้ม เหยียบหลังม้าแก้วซึ่งวิ่งเร็วให้ล้ม เหยียบงอนรถให้ล้มลง ดุจหมุนลูกข่าง ดุจขยี้ใบต้นไทรสีเขียว ไปสิ้นทาง ๓ โยชน์ด้วยความเร็วแพล็บเดียวเท่านั้น ไม่เห็นใครติดตาม จึงค่อยๆ ไป หยาดน้ำบนพระเกศาของพระเจ้าสุตโสมหล่นลงบนตน สำคัญว่า หยาดน้ำตา จึงกล่าวว่า นี่อะไรกัน แม้สุตโสมยังทรงกันแสงเศร้าโศกถึงความตายเลย. พระมหาสัตว์ตรัสว่า เราไม่ได้เศร้าโศกถึงความตายดอก. ร้องไห้ที่ไหนกัน. แต่ธรรมดาการถือความสัตย์ เพราะทำการผัดเพี้ยนเป็นข้อปฏิบัติของบัณฑิตทั้งหลาย. เราเศร้าโศกถึงว่า นั่นยังไม่สำเร็จต่างหาก. เราทำอาคันตุกวัตรแก่พราหมณ์ผู้รับสตารหคาถา ๔ บทมาจากตักกสิลา ที่พระทศพลพระนามว่ากัสสปะ ทรงแสดงไว้ แล้วผัดว่า เราอาบน้ำแล้วจักมาฟัง. ท่านรอจนกว่าเราจะมา แล้วไปพระราชอุทยาน และท่านไม่ให้ฟังคาถาเหล่านั้น จับเรามา. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :- เราถูกพระยาโปริสาทจับไปได้ ระลึกถึง คำผัดเพี้ยนไว้กะพราหมณ์. พระยาโปริสาท เอาเชือกร้อยฝ่ามือกษัตริย์ ๑๐๑ ไว้แล้ว ทำ กษัตริย์เหล่านั้นให้ได้รับความลำบาก. นำเรา ไปด้วย เพื่อต้องการทำพลีกรรม. ในบทเหล่านั้น บทว่า พฺราหฺมเณ สงฺครํ สรึ คือ ระลึกถึงคำปฏิญญาที่ตนทำไว้กะนันทพราหมณ์. บทว่า อาวุณิตฺวา กรตฺตเล ร้อยฝ่ามือ คือพระยาโปริสาทเจาะฝ่ามือของกษัตริย์ ๑๐๑ ที่ไปในพระราชอุทยานเป็นต้นนั้นๆ แล้วนำมาด้วยกำลังของตน แล้วร้อยเชือกเพื่อแขวน บทว่า เอเตสํ ปมิลาเปตฺวา ความว่า พระยาโปริสาทจับเป็นกษัตริย์ ๑๐๑ เหล่านั้นเอาพระบาทขึ้น พระเศียรลง ประหารพระเศียรด้วยส้นเท้า เอาเชือกร้อยที่ฝ่ามือด้วยการหมุน ให้ได้รับความลำบาก ให้ซูบซีด ให้เดือดร้อนด้วยประการทั้งปวง ด้วยการ บทว่า ยญฺญตฺเถ คือ เพื่อต้องการทำพลีกรรม ได้แก่ให้เกิดผลสำเร็จ. บทว่า อุปนยี มมํ คือ นำเราไปด้วย. พระยาโปริสาทนำพระมหาสัตว์ไปอย่างนั้น จึงถามว่า ท่านกลัวความตายหรือ. พระมหาสัตว์ตรัสว่า เราไม่กลัวตาย. แต่เราเศร้าโศกถึงว่า เราได้ผัดเพี้ยนพราหมณ์นั้นไว้ ยังไม่ได้ปลดเปลื้องเลย. หากท่านปล่อยเรา เราฟังธรรมนั้นและทำสักการะสัมมานะแก่พราหมณ์นั้น แล้วจักกลับมาอีก. พระยาโปริสาทกล่าวว่า เราไม่เชื่อว่าเราปล่อยท่านไป แล้วท่านจักมาสู่เงื้อมมือเราอีก. พระมหาสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนสหายโปริสาท ท่านกับเราเป็นสหายศึกษาในสำนักอาจารย์เดียวกัน ไม่เชื่อหรือว่า เราไม่พูดปด แม้เพราะเหตุของชีวิต. เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสคาถานี้ว่า :- เราลูบคลำดาบและหอก โดยเพียงคำพูดนี้ ของเราโดยแท้. ดูก่อนสหาย เราขอสาบานกับท่าน ว่า เมื่อเราพ้นไปจากท่าน หมดหนี้แล้ว รักษาความ สัตย์ จักกลับมาอีก. โปริสาทคิดว่า สุตโสมนี้กล่าวว่าเราขอสาบาน ซึ่งกษัตริย์ไม่ควรทำ. แม้ ความผัดเพี้ยนใด อันท่านผู้ตั้งอยู่ในความ เป็นอิสระในแคว้นของตน ได้ทำไว้กับพราหมณ์ ดูก่อนพราหมณ์ ท่านปฏิบัติความผัดเพี้ยนนั้นแล้ว เป็นผู้รักษาความสัตย์ จงกลับมาอีก. พระมหาสัตว์มีกำลังดุจช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง เสด็จถึงพระนครนั้นเร็วพลันดุจพระจันทร์พ้นจาก ชาวพระนครทั้งหมดเห็นพระมหาสัตว์ แล้วต่างพากันยินดี. แม้พระมหาสัตว์ เพราะพระองค์สนพระทัยในธรรม จึงไม่เข้าเฝ้าพระมารดาพระบิดา เสด็จไปยังพระตำหนัก ตรัสเรียกหาพราหมณ์ ทรงกระทำสักการะสัมมานะใหญ่โตแก่พราหมณ์นั้น เพราะพระองค์ทรงหนักในธรรม พระองค์เองประทับนั่งบนอาสนะที่ต่ำ แล้วตรัสว่า ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะฟังสตารหคาถา ที่ท่านนำมาเพื่อเรา. พราหมณ์ในเวลาที่พระมหาสัตว์ทรงขอร้อง จึงเอาน้ำหอมพอกมือ แล้วนำคัมภีร์เป็นที่พอใจออกจากถุง จับด้วยมือทั้งสอง ทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอได้โปรดฟังเถิด พระเจ้าข้า. เมื่อจะอ่านคัมภีร์ จึงได้กล่าวคาถาทั้งหลายว่า :- ข้าแต่พระเจ้าสุตโสม การสมาคมกับสัตบุรุษ แม้คราวเดียวเท่านั้น การสมาคมนั้นย่อมรักษาผู้นั้น การสมาคมมากกับอสัตบุรุษ ย่อมรักษาไม่ได้ ควร สมาคมกับสัตบุรุษเท่านั้น ไม่ควรทำความคุ้นเคยกับ อสัตบุรุษ รู้สัทธรรมของสัตบุรุษประเสริฐกว่า ไม่ลามก เลย. ราชรถวิจิตรงดงามยังคร่ำคร่าได้ อนึ่ง แม้ร่าง กายก็เข้าถึงความคร่ำคร่า แต่ธรรมของสัตบุรุษไม่ถึง ความคร่ำคร่า สัตบุรุษแล ย่อมประกาศด้วยสัตบุรุษ ข้าแต่ราชา ฟ้าและแผ่นดินไกลกัน ฝั่งข้าง โน้นของมหาสมุทร เขาก็ว่าไกลกัน ธรรมของสัตบุรุษ และธรรมของอสัตบุรุษ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่าไกล กว่านั้น. พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้นแล้ว มีพระทัยยินดีว่า การมาของเรามีผล ทรงดำริว่า คาถาเหล่านี้ไม่ใช่สาวกกล่าว ไม่ใช่ฤๅษีกล่าว ไม่ใช่กวี เป็นความจริง ความเป็นผู้มีอานุภาพน้อยปรากฏแก่พราหมณ์นั้น โดยมองดูลักษณะของอวัยวะ. เพราะฉะนั้น แม้ให้ราชสมบัติไป ก็ไม่ดำรงอยู่ได้ในพราหมณ์นี้ จึงตรัสถามว่า ท่านอาจารย์ ท่านแสดงคาถาเหล่านี้แก่กษัตริย์ทั้งหลายเหล่าอื่น แล้วได้อะไร? ทูลว่า ข้าแต่มหาราช ได้คาถาละร้อยๆ. ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า สตารหคาถา. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสแก่พราหมณ์นั้นว่า ท่านอาจารย์ ท่านรับด้วยตนเองยังไม่รู้ค่าของสินค้าที่เที่ยวไป. ท่านพราหมณ์ คาถาเหล่านี้มีค่า ๑,๐๐๐ มิใช่มีค่า ๑๐๐. ท่านจงรีบรับทรัพย์ ๔,๐๐๐ ไปเถิด. พระมหาสัตว์ทรงให้ทรัพย์ ๔,๐๐๐ และยานน้อยเป็นสุข ๑ คัน ส่งพราหมณ์นั้นไปด้วยสักการะและสัมมานะอันยิ่งใหญ่ ถวายบังคมพระมารดาพระบิดา แล้วทูลว่า หม่อมฉันได้ให้ปฏิญญาไว้แก่โปริสาทว่า เราบูชาพระสัทธรรมรัตนะที่พราหมณ์นำมาแล้ว และทำสักการะและสัมมานะแก่พราหมณ์นั้นแล้วจะกลับมา จึงมาได้. สิ่งที่ควรทำควรปฏิบัติแก่พราหมณ์ในข้อนั้น ได้ทำเสร็จแล้ว บัดนี้ หม่อมฉันจักไปหาโปริสาท. พระมารดาพระบิดาทรงขอร้องว่า พ่อสุตโสม ลูกพูดอะไรอย่างนั้น. เราจะจับโจรด้วยทหาร ๔ เหล่า. อย่าไปหาโจรเลยลูก. หญิงฟ้อน ๑๖,๐๐๐ แม้บริวารชนที่เหลือต่างก็พากันร่ำไห้ว่า ข้าแต่เทวะ พระองค์ทำให้พวกหม่อมฉันไร้ที่พึ่ง แล้วจะเสด็จไปไหน. ได้เกิดโกลาหลขึ้นอีกครั้งว่า ได้ยินว่า พระราชาจะเสด็จไปหาโจรอีก. พระมหาสัตว์ตรัสว่า ธรรมดาการทำตามคำสัตย์ปฏิญญาเป็นหลักปฏิบัติของสาธุสัตบุรุษทั้งหลาย. แม้โปริสาทนั้นก็ยังเชื่อเรา แล้วปล่อยออกมา เพราะฉะนั้น เราจักไปละ. ถวายบังคมพระมารดาพระบิดา แล้วทรงสั่งสอนชนที่เหลือ นางสนมกำนัลในเป็นต้นมีน้ำตานองหน้า ร่ำไห้มีประการต่างๆ ตามส่งเสด็จออกจากพระนคร ทรงเอาไม้ขีดขวางทาง เพื่อให้ชนพากันกลับ ตรัสว่า ชนทั้งหลายอย่าล่วงเลยเส้นขีดของเรานี้ แล้ว ได้เสด็จไป. มหาชนไม่อาจละเมิดพระดำรัสของพระมหาสัตว์ผู้ทรงเดชได้ จึงคร่ำครวญกันแสงไห้ด้วยเสียงดัง แล้วพากันกลับ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :- อปุจฺฉิ มํ โปริสาโท ฯลฯ เอสา เม สจฺจปารมี คำแปลปรากฏแล้วในบาลี แปลข้างต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า กึ ตฺวํ อิจฺฉสิ นิสชฺชํ คือ ท่านปรารถนาจะให้ปล่อยจากเงื้อมมือของเราไปนครของตนหรือ? ท่านกล่าวว่า การพูดคำสัตย์อันเราสะสมมานานแล้วในเมือง บทว่า ยทิ เม ตฺวํ ปุเนหิสิ คือ หากท่านจักกลับมาหาเราอีกโดยแน่นอน. บทว่า ปญฺเห อาคมนํ มม คือ เรารับการมาของเราแก่โปริสาทนั้น แล้วทำสัญญาว่าจักมาแต่เช้าตรู่ทีเดียว. บทว่า รชฺชํ นิยฺยาทยึ ตทา ความว่า ในกาลนั้น เราประสงค์จะไปหาโปริสาท จึงมอบราชสมบัติ ประมาณ ๓๐๐ โยชน์แก่พระมารดาพระบิดาว่า ขอพระองค์ทรงปกครองราชสมบัติของพระองค์เถิด. เพราะเหตุไร เราจึงมอบราชสมบัติ? เพราะระลึกถึงธรรมสัตบุรุษ. เพราะธรรมดาการทำตามคำสัตย์ปฏิญญา เป็นประเพณี เป็นวงศ์ตระกูลของพระ บทว่า นตฺถิ เม สํสโย ตตฺถ ความว่า ในกาลไปหาโปริสาทนั้น เราไม่มีความสงสัยว่า โปริสาทนี้จักฆ่าเรา หรือไม่หนอ? เรารู้อยู่ว่า โปริสาทนั้นดุร้ายป่าเถื่อน เตรียมฆ่ากษัตริย์ ๑๐๐ กับเรา ทำพลีกรรมแก่เทวดา จักฆ่าท่าเดียว จึงตามรักษาสัจวาจาอย่างเดียว สละชีวิตของตนเข้าไปหาโปริสาทนั้น เพราะเรื่องเป็นอย่างนี้แหละ ฉะนั้น ผู้เสมอด้วยสัจจะของเราจึงไม่มี. นี้เป็นสัจบารมี ถึงความเป็นปรมัตถบารมีของเรา ด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง เมื่อพระมหาสัตว์เข้าไปหาโปริสาท แล้วเห็นพระพักตร์ของพระมหาสัตว์นั้นมีสง่าดุจกลีบบัวแย้ม จึงคิดว่า พระเจ้าสุตโสมนี้ไม่กลัวตาย จึงมา. นี้เป็นอานุภาพของอะไรหนอ? จึงสันนิษฐานว่า พระเจ้าสุตโสมนี้เป็นผู้มีเดชและไม่กลัวตายอย่างนี้ เห็นจะเป็นเพราะฟังธรรมนั้นกระมัง. แม้เราฟังธรรมนั้นแล้วก็จักเป็นผู้มีเดชและไม่กลัว พระโพธิสัตว์ทรงสดับดังนั้นทรงดำริว่า โปริสาทนี้มีธรรมลามก เราจักข่มให้ละอายเสียหน่อยหนึ่ง แล้วจึงจักกล่าว จึงตรัสว่า :- สัจจะย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีธรรม ผู้หยาบคาย ผู้มีฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือดเป็นนิจ ธรรมจะมีได้แต่ ไหน. ท่านจักฟังไปทำไม. เมื่อโปริสาทเกิดความตั้งใจจะฟังด้วยดี จึงตรัสว่า :- ชนทั้งหลายฟังธรรมแล้ว ย่อมรู้ดีและชั่ว อนึ่ง ใจของเรายินดีในธรรม ก็เพราะฟังคาถาทั้ง หลาย ดังนี้. พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า โปริสาทนี้เกิดความสนใจใคร่จะฟังอย่างยิ่ง เอาเถิด เราจักกล่าวคาถาแก่เขา. จึงตรัสว่า สหาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงฟังให้ดี จงใส่ไว้ในใจ แล้วทรงสดุดีคาถาทั้งหลาย ทำนองเดียวกับที่นันทพราหมณ์กล่าวโดยเคารพ เกิดโกลาหลเป็นอันเดียวกันในสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้น. เมื่อทวยเทพซ้องสาธุการ พระมหาสัตว์จึงทรงแสดงธรรมแก่โปริสาทว่า :- มหาราช การสมาคมกับสัตบุรุษคราวเดียวเท่านั้น การสมาคมนั้นย่อมรักษาผู้นั้น การสมาคมกับอสัตบุรุษ มาก ย่อมไม่รักษา ฯลฯ ธรรมของสัตบุรุษและธรรมของ อสัตบุรุษ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ไกลกว่านั้น. เมื่อโปริสาทนั้นฟังคาถาทั้งหลาย เพราะพระมหาสัตว์ตรัสดีแล้ว และเพราะบุญญานุภาพของตน สกลกายจึงเต็มไปด้วยปีติมีองค์ ๕. โปริสาทมีจิตอ่อนโยนในพระโพธิสัตว์กล่าวว่า สุตโสม ผู้สหายเราไม่เห็นเงินเป็นต้นที่เป็นของควรให้. เราจักให้พรอย่างหนึ่งๆ ในคาถาหนึ่งๆ มีสี่คาถา พรสี่ข้อ. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์รุกรานโปริสาทว่า ท่านไม่รู้ประโยชน์แม้ของตน จักให้พรแก่ผู้อื่นได้อย่างไร? ครั้นโปริสาทขอร้องอีกว่า ท่านจงรับพรเถิด. พระมหาสัตว์จึงขอพรข้อแรกว่า เราพึงเห็นโปริสาทไม่มีโรคตลอดกาลนาน. โปริสาทดีใจว่า พระเจ้าสุตโสมนี้ เมื่อเราประสงค์จะฆ่ากินเนื้อในบัดนี้ ยังปรารถนาชีวิตของเราผู้ทำความมหาพินาศอีก ไม่รู้ว่า ถูกลวงรับพร จึงได้ให้ไป. จริงอยู่ พระมหาสัตว์ เพราะพระองค์เป็นผู้ฉลาดในอุบาย ทรงขอชีวิต ต่อไป จึงตรัสขอพรข้อที่ ๒ ว่า ขอท่านจงให้ชีวิตแก่กษัตริย์ทั้งหลายมากกว่า ๑๐๐. ขอให้ปล่อยกษัตริย์เหล่านั้นกลับแว่นแคว้นของตน เป็นพรข้อที่ ๓. ขอให้โปริสาทเว้นจากการกินเนื้อมนุษย์ เป็นพรข้อที่ ๔. โปริสาทให้พร ๓ ข้อ ประสงค์จะไม่ให้พรข้อที่ ๔ แม้กล่าวว่า ท่านจงขอพรข้ออื่นเถิด ก็ถูกพระมหาสัตว์ทรงแค่นได้ จึงได้ให้พรข้อที่ ๔ นั้นจนได้. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงทำให้โปริสาทหมดพยศ จึงให้โปริสาทปล่อยพระราชาทั้งหลาย แล้วให้นอนลงบนพื้นดินค่อยๆ ดึงเชือกออก ดุจดึงเส้นด้ายออกจากหูของพวกเด็กๆ ให้โปริสาทนำหนังมาแผ่นหนึ่งถูกับหิน แล้วทรงทำสัจกิริยา ทาที่ฝ่าพระหัตถ์ของกษัตริย์เหล่านั้น. ความผาสุกก็ได้มีในขณะนั้นเอง. พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น ๒-๓ วัน ทรงให้โปริสาทเยียวยากษัตริย์เหล่านั้นให้หายโรค แล้วให้ทำความสนิทสนมฉันมิตร มีความไม่ทำลายกันกับกษัตริย์เหล่านั้น แล้วทรงนำโปริสาทนั้นไปกรุงพาราณสี พร้อมด้วยกษัตริย์เหล่านั้น ให้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ ทรงประทานโอวาทว่า ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด แล้วทรงส่งพระราชาเหล่านั้นไปยังนครของตนๆ ทรงแวดล้อมด้วยหมู่จาตุรงคเสนาของพระองค์ ซึ่งมาจากอินทปัตถนคร เสด็จกลับพระนครของพระองค์. ชนชาวพระนครต่างยินดีเบิกบานห้อมล้อม เสด็จเข้าภายในพระนคร ถวายบังคมพระมารดาพระบิดา แล้วเสด็จขึ้นสู่พื้นใหญ่. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงให้สร้างศาลาทาน ๖ แห่ง ทรงบริจาคมหาทานทุกวัน ทรงบำเพ็ญศีลรักษาอุโบสถ เพิ่มพูนบารมีทั้งหลาย. แม้พระราชาเหล่านั้น ก็ทรงตั้งอยู่ในโอวาทของพระมหาสัตว์ ทรงทำบุญมีทานเป็นต้น เมื่อสวรรคตก็เสด็จสู่สวรรค์. พระยาโปริสาทในครั้งนั้น ได้เป็นพระองคุลิมาลเถระในครั้งนี้. กาฬหัตถิอำมาตย์ คือพระสารีบุตรเถระ. นันทพราหมณ์ คือพระอานนทเถระ. รุกขเทวดา คือพระมหากัสสปเถระ. พระราชาทั้งหลาย คือพุทธบริษัท. พระมารดาพระบิดา คือตระกูลมหาราช. พระเจ้าสุตโสมมหาราช คือพระโลกนาถ. พึงเจาะจงกล่าว แม้บารมีที่เหลือของพระมหาสัตว์นั้น โดยนัยดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพของพระมหาสัตว์ ดุจในอรรถกถาอลีนสัตตุจริยา ด้วยประการฉะนี้. จบสัจบารมี ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น ๑๒. สุตโสมจริยา จบ. |