บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า กุสาวติมฺหิ นคเร คือ ในนครชื่อว่ากุสาวดี. ณ ที่นั้น บัดนี้เป็นที่ตั้งเมืองกุสินารา. บทว่า มหีปติ ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน คือเป็นกษัตริย์มีพระนามว่ามหาสุทัศนะ. บทว่า จกฺกวตฺติ พระเจ้าจักรพรรดิ คือยังจักรรัตนะให้หมุนไป หรือหมุนไปด้วยจักรสมบัติ ๔. ยังจักรอื่นจากจักรสมบัติเหล่านั้นให้เป็นไป ยังมีความหมุนไปแห่งจักรคืออิริยาบถ เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นอีก เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า จกฺกวตฺติ. หรืออีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า จกฺกวตฺติ เพราะมีความหมุนไปแห่งจักร คือ ชื่อว่า มหพฺพโล มีพลานุภาพมาก เพราะประกอบด้วยหมู่กำลังมาก อันมีปริณายกแก้วเป็นผู้นำ มีช้างแก้วเป็นต้นเป็นประมุข และกำลังพระวรกายอันเกิดด้วยบุญญานุภาพ. พึงทราบการเชื่อม บทว่า ยทา อาสึ เราได้เป็นแล้ว. ในบทนั้น พึงทราบเรื่องราวเป็นลำดับต่อไปนี้ :- ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระมหาบุรุษบังเกิดในตระกูลคฤหบดีในอัตภาพที่ ๓ จาก พระเถระมาจากภายในบ้านเข้าไปยัง แม้พระมหาสัตว์ก็เข้าไปหาพระเถระนั้นแล้วถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า บรรณ พระเถระตอบว่า ท่านผู้มีหน้างาม เป็นที่ผาสุขดี สมควรแก่สมณะ. ข้าแต่พระคุณเจ้า พระคุณเจ้าจักอยู่ ณ ที่นี้หรือ. ถูกแล้ว อุบาสก. มหาบุรุษทราบว่าพระเถระจักอยู่ โดยอาการแห่งการรับนิมนต์ จึงขอให้พระเถระรับปฏิญญาว่า จะมายังประตูเรือนของเราตลอดไป แล้วสละภัตตาหารในเรือนของตนเป็นนิจ. มหาบุรุษปูเสื่อลำแพนในบรรณศาลาแล้วตั้งเตียงและตั่งไว้. วางแท่นพิงไว้. ตั้งไม้เช็ดเท้าไว้. ขุดสระโบกขรณี, ทำที่จงกรมเกลี่ยทราย. ล้อมบรรณศาลาด้วยรั้วหนามเพื่อป้องกันอันตราย. โบกขรณีและที่จงกรมก็ล้อมเหมือนกัน. ที่สุดภายในรั้วแห่งสถานที่เหล่านั้นปลูกต้นตาลไว้เป็นแถว. ครั้นให้ที่อยู่สำเร็จลงด้วยวิธีอย่างนี้แล้ว จึงได้ถวายสมณบริขารทั้งหมดมีไตรจีวรเป็นต้นแก่พระเถระ. จริงอยู่ ในกาลนั้นเครื่องใช้สอยของบรรพชิตมีอาทิ ไตรจีวร บิณฑ ชื่อว่าพระโพธิสัตว์มิได้ถวายแก่พระเถระ มิได้มีเลย. พระโพธิสัตว์รักษาศีล ๕ รักษาศีลอุโบสถ บำรุงพระเถระตลอดชีวิต. พระเถระอาศัยอยู่ ณ ที่นั้นได้บรรลุพระอรหัตแล้วปรินิพพาน. แม้พระโพธิสัตว์ก็ได้ทำบุญตราบเท่าอายุไปบังเกิดในเทวโลก จุติจาก อานุภาพแห่งความเป็นใหญ่ของพระราชามหาสุทัศนะนั้น มาแล้วในสูตรโดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนอานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระราชามหาสุทัศนะได้เป็นกษัตริย์ มุรธาภิเษก. นัยว่า พระราชามหาสุทัศนะนั้น มีเมืองประเทศราช ๘๔,๐๐๐ อันมีเมือง ทั้งหมดเหล่านั้นเกิดด้วยอานิสงส์แห่งบรรณศาลาหลังหนึ่งซึ่งพระองค์สร้างถวายแก่พระเถระนั้น. บัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ ช้าง ๑,๐๐๐ ม้า ๑,๐๐๐ รถ ๑,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งเตียงและตั่งที่พระองค์ถวายแก่พระเถระนั้น. แก้วมณี ๘๔,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งประทีปที่พระองค์ถวายแก่พระเถระ. สระโบกขรณี ๘๔,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์ แห่งสระโบกขรณีสระหนึ่ง. สตรี ๘๔,๐๐๐ บุตร ๑,๐๐๐ และคฤหบดี ๑,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งการถวายเครื่องบริขารของบรรพชิตอันสมควรแก่สมณบริโภคมีถลกบาตรเป็นต้น. แม้โคนม ๘๔,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งการถวายเบญจโครส. คลังผ้า ๘๔,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งการถวายเครื่องนุ่งห่ม. หม้อหุงข้าว ๘๔,๐๐๐ เกิดด้วยอานิสงส์แห่งการถวายโภชนะ. พระโพธิสัตว์เป็นพระราชาธิราชประกอบด้วย รตนะ ๗ และฤทธิ์ ๔ ทรงชนะครอบครองปฐพีมณฑลมีสาครเป็นที่สุดทั้งสิ้นโดยธรรม ทรงสร้างโรงทานในที่หลายร้อยที่ตั้งมหาทาน. ทรงให้ราชบุรุษตีกลองป่าวประกาศในพระนคร วันละ ๓ ครั้งว่า ผู้ใดปรารถนาสิ่งใด ผู้นั้นจงมาที่โรงทานรับเอาสิ่งนั้นเถิด. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ตตฺถาหํ ทิวิเส ติกฺขตฺตุํ, โฆสาเปมิ ตหึ ตหึ เราให้ประกาศทุกๆ วัน วันละ ๓ ครั้ง. ในบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ คือในพระนครนั้น. ปาฐะว่า ตทาหํ ก็มี. อธิบายว่า ในครั้งนั้น คือ ในครั้งที่เราเป็นพระราชามหาสุทัศนะ. บทว่า ตหึ ตหึ คือ ในที่นั้นๆ. อธิบายว่า ทั้งภายในและภายนอกแห่งกำแพงนั้นๆ. บทว่า โก กึ อิจฺฉติ ใครปรารถนาอะไร คือบรรดาพราหมณ์เป็นต้น ผู้ใดปรารถนาอะไรใน บทว่า ปตฺเถติ เป็นไวพจน์ของบทว่า อิจฺฉติ นั้น. บทว่า กสฺส กึ ทิยฺยตู ธนํ เราจะให้ทรัพย์อะไรแก่ใคร คือท่าน ด้วยบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง สรุปด้วยทานบารมี. จริงอยู่ ทานบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เว้นจากการกำหนดไทยธรรมและปฏิคคาหก. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงสรรเสริญบุคคลผู้สมควรแก่ไทยธรรมนั้นด้วยการโฆษณาทาน จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า โก ฉาตโก ใครหิว ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ฉาตโก คือ อยาก. บทว่า ตสิโต คือ กระหาย. พึงนำบทว่า อิจฺฉติ มาประกอบบทว่า โก มาลํ โก วิเลปนํ ความว่า ใครต้องการดอกไม้ ใครต้องการร่มดังนี้. บทว่า นคฺโค ขาดแคลนผ้า. อธิบายว่า มีความต้องการผ้า. บทว่า ปริทหิสฺสติ คือ นุ่งห่ม. บทว่า โก ปเถ ฉตฺตมาเทติ ความว่า ใครเดินทางต้องการร่มเพื่อป้องกันฝน ลมและแดด ของตนในหนทาง. อธิบายว่า มีความต้องการด้วยร่ม. บทว่า โก ปาหนา มุทู สุภา ใครต้องการรองเท้าอันอ่อนงาม คือรองเท้า ชื่อว่างาม เพราะน่าดู ชื่อว่าอ่อน เพราะมีสัมผัสสบาย เพื่อป้องกันเท้าและนัยน์ตาของตน. บทว่า โก อาเทติ ความว่า ใครมีความต้องการรองเท้าเหล่านั้น. พึงนำบทว่า มชฺฌนฺติเก จ และเวลาเที่ยงมาประกอบด้วย. จศัพท์ในบทนี้ว่า สายญฺจ ปาโตจ ทั้งเวลาเย็น เวลาเช้าและเวลาเที่ยง. ท่าน บทว่า น ตํ ทสสุ ฐาเนสุ โยชนาแก้ไว้ว่า ทานนั้นมิใช่เราตกแต่งไว้ในที่ ๑๐ แห่งหรือมิใช่ ๑๐๐ แห่ง ที่แท้เราตกแต่งไว้ในที่หลายร้อยแห่ง. บทว่า ยาจเก ธนํ คือ เราตกแต่ง คือเตรียมไว้สำหรับผู้ขอทั้งหลาย. เพราะในนครยาว ๗ โยชน์ กว้าง ๗ โยชน์ ล้อมไปด้วยแนวต้นตาล ๗ แถว. ณ แนวต้นตาลเหล่านั้น มีสระโบกขรณี ๘๔,๐๐๐ สระ เราตั้งมหาทานไว้ที่ฝั่งสระโบกขรณี เฉพาะสระหนึ่งๆ. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :- ดูก่อนอานนท์ พระราชามหาสุทัศนะทรงตั้งทาน เห็นปานนี้ไว้ ณ ฝั่งสระโบกขรณีเหล่านั้น คือ ตั้งข้าวไว้ สำหรับผู้ต้องการข้าว ตั้งน้ำไว้สำหรับผู้ต้องการน้ำ ตั้งผ้า ไว้สำหรับผู้ต้องการผ้า ตั้งยานไว้สำหรับผู้ต้องการยาน ตั้งที่นอนไว้สำหรับผู้ต้องการที่นอน ตั้งสตรีไว้สำหรับผู้ ต้องการสตรี ตั้งเงินไว้สำหรับผู้ต้องการเงิน ตั้งทองไว้ สำหรับผู้ต้องการทอง. พึงทราบความในบทนั้นดังนี้ จริงอยู่ มหาบุรุษปรารถนาแต่จะให้ทาน จึงสร้างเครื่องประดับอันสมควรแก่ มหาชนไปยังฝั่งสระโบกขรณีอาบน้ำ นุ่งห่มผ้าเป็นต้นแล้วเสวย พระราชามหาสุทัศนะทรงกระวีกระวาดบริจาคทานแม้ทุกๆ วัน. ในครั้งนั้น ชาวชมพูทวีปไม่มีการงานอย่างอื่น บริโภคทาน เสวยสมบัติเที่ยวเตร่กันไป. ทานนั้นมิได้มีกำหนดแล ผู้มีความต้องการจะมาเมื่อใดทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน ก็พระราชทานเมื่อนั้น. ด้วยประการฉะนี้ มหาบุรุษทรงทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้สนุกสนานรื่นเริง ยังมหาทานให้เป็นไปตลอดพระชนมายุ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ทิวา วา ยทิ วา รตฺตึ ยทิ เอติ วณิพฺ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงทานตามกาลของมหาบุรุษนั้นด้วยบทนี้ว่า ทิวา วา ยทิ วา รตฺตึ ยทิ เอติ. จริงอยู่ กาลเวลาที่ผู้ขอเข้าไปเพื่อหวังลาภ ชื่อว่าเป็นกาลเวลาแห่งทานของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย. บทว่า วณิพฺพโก คือ ผู้ขอ. ด้วยบทนี้ว่า ลทฺธา ยทิจฺฉกํ โภคํ ได้โภคะตามความปรารถนา. ท่าน ด้วยบทนี้ว่า ปูรหตฺโถว คจฺฉติ เต็มมือกลับไป. แสดงถึงทานตามความปรารถนา เพราะว่าผู้ขอทั้งหลายปรารถนาเท่าใด พระมหาสัตว์ทรงให้เท่านั้นไม่ลดหย่อน เพราะมีพระอัธยาศัยกว้างขวางและเพราะมีอำนาจมาก. ด้วยบทว่า ยาวชีวิกํ ตลอดชีวิตนี้. แสดงถึงความไม่มีสิ้นสุดของทาน เพราะว่าตั้งแต่สมาทาน พระมหาสัตว์ทั้งหลายมิได้ทรงกำหนดกาลเวลา แม้อื่นจากนั้น เพราะการปฏิบัติอย่างนั้นท่านจึงกล่าวด้วยอำนาจแห่งความประพฤติของพระราชา บทว่า นปาหํ เทสฺสํ ธนํ ทมฺมิ เราได้ให้ทรัพย์ที่น่าเกลียดก็หามิได้ คือ บทว่า นปิ นตฺถิ นิจโย มยิ เราไม่มีการสะสมก็หามิได้ คือการสะสมทรัพย์ การสงเคราะห์ด้วยทรัพย์ในที่ใกล้ไม่มีแก่เราก็หามิได้. อธิบายว่า แม้การไม่สงเคราะห์ดุจสมณะผู้ประพฤติขัดเกลากิเลสก็ไม่มี. มหาทานนี้ของพระมหาสัตว์นั้นเป็นไปแล้วด้วยอัธยาศัยใด เพื่อแสดงถึงอัธยาศัยนั้นท่านจึงกล่าวไว้. บัดนี้เพื่อแสดงความนั้นโดยอุปมาจึงกล่าวว่า ยถาปิ อาตุโร นาม เหมือนคนไข้กระสับกระส่าย ดังนี้เป็นต้น. บทนี้แสดงเนื้อความพร้อมด้วยการเปรียบเทียบโดยอุปมา เหมือนบุรุษถูกโรคครอบงำกระสับกระส่าย ประสงค์จะให้ตนพ้นจากโรค ต้องการให้หมอผู้เยี่ยวยาพอใจ คือยินดีด้วยทรัพย์มีเงินและทองเป็นต้น แล้วปฏิบัติตามวิธีก็พ้นจากโรคนั้นฉันใด แม้เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ประสงค์จะเปลื้องสัตว์โลกทั้งสิ้นอันได้รับทุกข์จากโรคคือกิเลส และจากโรคคือทุกข์ในสงสารทั้งสิ้น รู้อยู่ว่าการบริจาคสมบัติทั้งปวงนี้เป็นทานบารมี เป็นอุบายแห่งการปลดเปลื้องจากโลกนั้น เพื่อยังอัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลายให้บริบูรณ์ ด้วยอำนาจ อนึ่ง ทานบารมีของเรายังไม่บริบูรณ์แก่ตน เพราะฉะนั้น เพื่อยังใจ พระมหาสัตว์ยังมหาทานให้เป็นไปอย่างนี้ เสด็จขึ้นสู่ธรรมปราสาทอันเกิดด้วย ทรงให้โอวาทแก่นางสนมกำนัลใน ๘๔,๐๐๐ คนมีพระนางสุภัททาเทวีเป็นหัวหน้า และอำมาตย์กับสมาชิกที่ประชุมกันเป็นต้น ซึ่งเข้าไปเพื่อเฝ้าในมรณสมัยด้วยคาถานี้ว่า :- สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีการเกิดขึ้น และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา สังขารทั้งหลาย ครั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การเข้าไปสงบสังขารเหล่า นั้นเป็นสุข. เมื่อสิ้นสุดพระชนมายุ ก็ได้เสด็จสู่พรหมโลก. พระนางสุภัททาเทวีในครั้งนั้น ได้เป็นพระมารดาพระราหุลในครั้งนี้. ปริณายกแก้ว คือ พระราหุล. บริษัทที่เหลือ คือ พุทธบริษัท. ส่วนพระราชามหาสุทัศนะ คือพระโลกนาถ. แม้ในจริยานี้เป็นอันได้บารมี ๑๐ โดยสรุป. ทานบารมีเท่านั้นมาในบาลี เพราะอัธยาศัยในการให้กว้างขวางมาก. ธรรมที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่ง พึงเจาะจงลงไปถึงคุณานุภาพมีอาทิอย่างนี้ว่า แม้ดำรงอยู่ในความเป็นใหญ่ใน ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญทานบารมี ๔. มหาสุทัสนจริยา จบ. |