![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() อธิบายวิโมกข์ ๓ ถามว่า ก็ธรรมคือวิโมกข์นี้ บัณฑิตพึงทราบได้อย่างไร. ตอบว่า พึงทราบได้ด้วยอรรถว่าหลุดพ้น. อะไรเล่า ชื่อว่าอรรถว่าหลุดพ้นนี้. ก็อรรถว่าหลุดพ้นนี้ เป็นการหลุดพ้นอย่างดีจากปัจจนีกธรรมทั้งหลาย และเป็นการหลุดพ้นอย่างดีด้วยอำนาจแห่งความยินดียิ่งในอารมณ์. มีอธิบายว่า ธรรมคือวิโมกข์นี้ย่อมเป็นไปในอารมณ์ โดยความไม่เกี่ยวข้องกับปัจจนีกธรรมและความยินดียิ่งในอารมณ์ เพราะความไม่ยึดถือ เหมือนทารกปล่อยอวัยวะน้อยใหญ่ นอนบนตักของบิดา ฉะนั้น. ก็เพื่อทรงแสดงรูปาวจรกุศลที่ถึงความเป็นวิโมกข์ด้วยลักษณะอย่างนี้ จึงทรงเริ่มนัยนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รูปี (มีรูป) มีวิเคราะห์ว่า ที่ชื่อว่ารูปี เพราะอรรถว่ารูปของบุคคลนั้นมีอยู่ คือรูปฌานที่ให้เกิดขึ้นในโกฏฐาสมีผมเป็นต้นในภายใน. จริงอยู่ พระโยคาวจรเมื่อทำบริกรรมนีลกสิณในภายใน ย่อมกระทำที่ผม หรือที่น้ำดี หรือที่ดวงตา เมื่อจะกระทำปีตกสิณ ย่อมทำมันข้น หรือที่ผิวหนัง หรือที่ฝ่ามือฝ่าเท้า หรือที่ตาสีเหลือง เมื่อจะทำบริกรรมโลหิตกสิณ ก็ย่อมทำที่เนื้อ หรือที่เลือด หรือที่ลิ้น หรือที่ฝ่ามือฝ่าเท้า หรือที่สีแดงแห่งลูกตา เมื่อจะทำบริกรรมโอทาตกสิณ ก็ย่อมทำที่กระดูก หรือที่ฟัน หรือที่เล็บ หรือที่สีของลูกตา. คำว่า รูปี นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาบุคคลคนหนึ่ง ในบรรดาบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยฌานที่เกิดขึ้น เพราะทำบริกรรมด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า พหิทฺธานิ รูปานิ ปสฺสติ (เห็นรูปทั้งหลายในภายนอก) ได้แก่ ย่อมเห็นรูปมีนีลกสิณเป็นต้นแม้ในภายนอก ด้วยฌานจักษุ (ด้วยจักษุคือฌาน) ด้วยคำว่า ย่อมเห็นรูปในภายนอก นี้ ทรงแสดงการได้ฌานในกสิณวัตถุทั้งในภายในทั้งในภายนอก. บทว่า อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี (ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน) ความว่า ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน. อธิบายว่า บุคคลนั้นไม่มีรูปาวจรฌานที่ให้เกิดขึ้นในโกฏฐาสทั้งหลายมีผมเป็นต้นของตน ด้วยคำว่า ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน นี้ ทรงแสดงถึงความที่พระโยคาวจรได้ฌานในอารมณ์ภายนอก เพราะทำบริกรรมในวัตถุภายนอก. ด้วยบทว่า สุภํ (งาม) นี้ ทรงแสดงฌานทั้งหลายในวรรณกสิณมีสีเขียวเป็นต้นที่บริสุทธิ์ดีแล้ว. บรรดาฌานที่เป็นไปในวรรณกสิณเหล่านั้น ความผูกใจว่า งาม ไม่มีในอัปปนาในภายใน แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระโยคาวจรใดทำสุภกสิณที่บริสุทธิ์ดีแล้ว ให้เป็นอารมณ์อยู่ พระโยคาวจรนั้นผูกใจอยู่ในวรรณกสิณว่า งาม สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้วเข้าถึงปฐม แต่ในปฏิสัมภิทามรรค ท่านกล่าวว่า สภาวธรรม ที่ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่าเป็นผู้น้อมไปในคำว่า งาม ดังนี้ เป็นอย่างไร? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้มีจิตสหรคต (ประกอบ) ด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศหนึ่ง ฯลฯ อยู่ สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้ไม่ปฏิกูล เพราะเจริญเมตตา ภิกษุมีจิตสหรคตด้วยกรุณา ... มุทิตา ... อุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศหนึ่ง ฯลฯ อยู่ สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้ไม่ปฏิกูล เพราะเจริญอุเบกขา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่าเป็นผู้น้อมไปในอารมณ์ว่า งาม ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้ แต่ในพระอภิธรรมนี้ พระองค์ทรงปฏิเสธนัยนั้น เพราะความที่พรหมวิหารมาแล้วในพระบาลีข้างหน้านั่นแหละ ทรงตรัสอนุญาตสุภวิโมกข์ไว้ด้วยอำนาจนีลกสิณที่ดี ปีตกสิณที่ดี โลหิตกสิณที่ดี โอทาตกสิณที่ดี นีลกสิณที่บริสุทธิ์ ปีตกสิณที่บริสุทธิ์ โลหิตกสิณที่บริสุทธิ์ โอทาตกสิณที่บริสุทธิ์เท่านั้น ด้วยประการฉะนี้ คำว่า กสิณ หรือคำว่า อภิภายตนะ หรือคำว่า วิโมกข์ ก็คือรูปาวจรฌานนั่นเอง. จริงอยู่ รูปาวจรฌานนั้น ตรัสว่า ชื่อว่ากสิณ เพราะอรรถว่าทั่วไปแก่อารมณ์ ชื่อว่าอภิภายตนะ เพราะอรรถว่าครอบงำอารมณ์ ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่าน้อมใจไปในอารมณ์ และเพราะอรรถว่าหลุดพ้นจากธรรมอันเป็นข้าศึกทั้งหลาย บรรดาเทศนากสิณ อภิภายตนะและวิโมกข์เหล่านั้น เทศนากสิณ พึงทราบว่า ตรัสไว้ด้วยอำนาจพระอภิธรรม ส่วนเทศนา ๒ อย่างนอกจากนี้ ตรัสไว้ด้วยอำนาจการเทศนาในพระสูตร. นี้เป็นการพรรณนาบทตามลำดับในวิโมกข์นี้ แต่ว่า วิโมกข์แต่ละข้อ พึงทราบนวกนัย ๗๕ หมวด โดยทำเป็นข้อละ ๒๕ ดุจปฐวีกสิณแล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ จิตตุปปาทกัณฑ์ กุศลธรรม รูปาวจรกุศล วิโมกข์ ๓ จบ. |