![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ว่าด้วยนิทเทสกามาวจรในปิฏฐิทุกะ บทว่า เหฏฺฐโต (เบื้องต่ำ) (บาลีข้อ ๘๒๘) ได้แก่ ส่วนข้างล่าง. บทว่า อวีจินิรยํ (อเวจีนรก) มีความหมายว่า ที่ชื่อว่า อวีจิ เพราะอรรถว่า ในนรกนี้ไม่มีช่องระหว่างระลอกแห่งเปลวไฟทั้งหลาย หรือไม่มีช่องระหว่างระลอกแห่งทุกขเวทนาของสัตว์ทั้งหลาย ที่มีชื่อว่านิรยะ (นรก) เพราะอรรถว่าในที่นี้ไม่มีความเจริญกล่าวคือความสุข. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่านรก ด้วยอรรถว่าไม่มีความยินดีบ้าง ด้วยอรรถว่าไม่มีความชอบใจบ้าง. บทว่า ปริยนฺตํ กริตฺวา (เป็นที่สุด) ได้แก่ กระทำนรกกล่าวคืออเวจีนั้นเป็นที่สุด. บทว่า อุปริโต (เบื้องสูง) ได้แก่ ส่วนเบื้องบน. บทว่า ปรนิมฺมิตวสวตฺติเทเว (เทพปรนิมมิตวสวัตดี) ความว่า เทพมีโวหารอันได้แล้วอย่างนี้ เพราะยังอำนาจให้เป็นไปในความใคร่ (กาม) ทั้งหลายอันเทพอื่นนิมิตให้. บทว่า อนฺโต กริตฺวา (เป็นที่สุด) ได้แก่ กั้นไว้ในที่สุด. บทว่า ยํ เอตสฺมึ อนฺตเร (ระหว่างนี้อันใด) ได้แก่ ในภูมินี้อันใด. ก็เพราะเหตุที่ธรรมแม้เหล่าอื่นย่อมท่องเที่ยวไปในระหว่างภูมินี้โดยความเกิดในภูมิไหนๆ ในกาลบางครั้งบางคราว ฉะนั้น เพื่อไม่ทรงรวมธรรมเหล่านั้นด้วยบทนี้ว่า เอตฺถาวจรา (การท่องเที่ยวไปนี้) จึงตรัสคำว่า อวจรา (ท่องเที่ยว). ด้วยคำนั้น ธรรมเหล่าใดย่อมท่องเที่ยวไปหยั่งลงภายในระหว่างภูมินี้ โดยที่เกิดอยู่ทุกที่ทุกเมื่อ คือย่อมท่องเที่ยวไปในส่วนเบื้องต่ำโดยภูตรูป และอุปาทารูปก็เป็นไปในภายใต้ของอเวจีนรก จึงทรงกระทำการรวบรวมธรรมเหล่านั้นไว้ เพราะว่า ธรรมเหล่านั้นหยั่งลงแล้วเที่ยวไป คือหยั่งลงในส่วนเบื้องต่ำนั่นแหละ เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า อวจร. จริงอยู่ เพราะธรรมเหล่านี้ท่องเที่ยวไปในภูมินี้ ย่อมท่องเที่ยวไปแม้ในภูมิอื่น แต่ไม่นับเนื่องในภูมิอันนั้น ฉะนั้น จึงทรงกระทำการกำหนดธรรมเหล่านั้นซึ่งท่องเที่ยวไปแม้ในภูมิอื่น ด้วยบทนี้ว่า เอตฺถ ปริยาปนฺนา (นับเนื่องในภูมินี้). บัดนี้ เมื่อจะแสดงธรรมเหล่านั้นอันเป็นธรรมนับเนื่องในภูมินี้โดยความเป็นราสี (กอง) โดยความว่างเปล่า โดยความเป็นปัจจัยและเป็นสภาวะ จึงตรัสคำว่าขันธ์เป็นต้น. ว่าด้วยนิทเทสแห่งรูปาวจรธรรม บทว่า พฺรหฺมโลกํ (พรหมโลก) ได้แก่ สถานที่ดำรงอยู่แห่งพรหมกล่าวคือ ปฐมฌานภูมิ. คำที่เหลือในนิทเทสนี้ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในนิทเทสกามวจรนั่นแหละ. ในบทมีอาทิว่า สมาปนฺนสฺส จ (ของผู้เข้าสมาบัติ) พึงทราบว่า ตรัสกุศลฌานด้วยบทที่ ๑ ตรัสวิบากฌานด้วยบทที่ ๒ ตรัสกิริยาฌานด้วยบทที่ ๓ ดังนี้. พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสอรูปาจรธรรม ต่อไป. บทว่า อากาสานญฺจายตนูปเค (ผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนภูมิ) ได้แก่ ผู้เข้าถึงภพกล่าวคืออากาสานัญจายตนะ. แม้ในบทที่ ๒ ก็นัยนี้แหละ. คำที่เหลือในนิทเทสนี้ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ. ว่าด้วยนิทเทสสรณทุกะ (ที่ ๑๘) ว่าด้วยนิทเทสสรณทุกะ (ที่ ๑๘) บรรดาอกุศลมูล ๓ อกุศลมูล คือโมหะนี้ใด โมหะนั้นสัมปยุตด้วยโลภะ พึงทราบว่า เป็นสรณะ (เกิดพร้อมกับกิเลสเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้) โดยโลภะ โมหะที่สัมปยุตด้วยโทสะ เป็นสรณะโดยโทสะ แต่โมหะที่สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ เป็นสรณะโดยเป็นกิเลสที่ตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับการประหาณโดยกิเลสเป็นเหตุให้สัตว์ร้องไห้คือราคะอันสัมปยุตด้วยทิฏฐิ และกิเลสคือรูปราคะอรูปราคะ ดังนี้. .. อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ นิกเขปกัณฑ์ ปิฏฐิทุกะ จบ. |