บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อธิบายมาติกาหมวด ๙ ธรรมทั้งหลายที่ชื่อว่า ปุริสมละ เพราะเป็นมลทินต่อบุรุษ. คำว่า นววิธา ได้แก่ มลทิน ๙ อย่างหรือว่า ๙ ประเภท. ตัณหามูลธรรม คำว่า ปริเยสนา ได้แก่ การแสวงหาอารมณ์มีรูปเป็นต้น. จริงอยู่ เมื่อตัณหายังมีอยู่ อารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้นก็มีอยู่. คำว่า ลาโภ ได้แก่ การได้อารมณ์มีรูปเป็นต้น. จริงอยู่ เมื่อการแสวงหายังมีอยู่ อารมณ์มีรูปเป็นต้น ก็มีอยู่. ก็วินิจฉัยมี ๔ ด้วยอำนาจแห่งญาณ ตัณหา ทิฏฐิและวิตก. ในคำเหล่านั้น ปัญญาใดที่พึงรู้การวินิจฉัย (การตัดสินใจ) ได้โดยง่าย ครั้นรู้การวินิจฉัยดีแล้ว ก็ประกอบความสุขเนืองๆ ในภายใน นี้ชื่อว่าญาณวินิจฉัย. วินิจฉัย ๒ คือ ตัณหาวินิจฉัย ทิฏฐิวินิจฉัยอันมาแล้วในพระบาลีนั้น ตัณหาวิจริต ๑๐๘ ชื่อว่าตัณหาวินิจฉัย. ทิฏฐิ ๖๒ ชื่อว่าทิฏฐิวินิจฉัย. ก็ความตรึกนั่นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่าวินิจฉัยในวิภังค์นี้ มาในพระสูตรนี้ว่า ดูก่อนจอมเทพ ฉันทะ (ความพอใจ) แล เป็นเหตุแห่งความตรึก ดังนี้. จริงอยู่ บุคคลใดได้ลาภแล้ว ย่อมวินิจฉัยซึ่งสิ่งนั้นๆ ว่า สิ่งนี้เป็นของชอบใจ สิ่งนี้ไม่ชอบใจ หรือว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดีด้วยความตรึกนั่นแหละ คือโดยตรึกว่า สิ่งของมีประมาณเท่านี้จักมีแก่เรา เพื่อความเจริญแห่งรูปารมณ์ สิ่งของมีประมาณเท่านี้ จักมีแก่เรา เพื่อความเจริญแห่งสัททารมณ์เป็นต้น สิ่งของมีประมาณเท่านี้สมควรแก่เรา สิ่งของมีประมาณเท่านี้สมควรแก่ผู้อื่น เราจักบริโภคมีประมาณเท่านี้ จักเก็บไว้มีประมาณเท่านี้ ดังนี้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพราะอาศัยการได้จึงเกิดการวินิจฉัย ดังนี้. คำว่า ฉนฺทราโค ได้แก่ ราคะ คือความยินดีอันมีกำลังทรามด้วย อันมีกำลังมากด้วย ย่อมเกิดในวัตถุอันตรึกด้วยอกุศลวิตก อย่างนี้. ก็คำว่า ฉนฺโท ในวิภังค์นี้ เป็นชื่อของราคะมีกำลังทราม. คำว่า อชฺโฌสานํ ได้แก่ ความยึดถืออันมีกำลังว่า เป็นเรา เป็นของของเรา ดังนี้. คำว่า ปริคฺคโห แปลว่า ความหวงแหน ได้แก่ การทำความหวงแหนด้วยอำนาจแห่งตัณหาและทิฏฐิ. คำว่า มจฺฉริยํ ความตระหนี่ ได้แก่ ความไม่อดทนเพื่อให้เป็นของสาธารณะแต่ชนเหล่าอื่น. ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ อาจารย์ในปางก่อนจึงกล่าวความหมายแห่งตัณหาและทิฏฐินั้นไว้อย่างนี้ว่า ความอัศจรรย์นี้จงมีแก่เราเท่านั้น จงอย่ามีแก่บุคคลอื่นเป็นต้น เพราะความเป็นไปแห่งตัณหาและทิฏฐินั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกธรรมนี้ว่า ความตระหนี่ ดังนี้. คำว่า อารกฺโข แปลว่า การรักษา ได้แก่การรักษาด้วยดี ด้วยอำนาจแห่งการคุ้มครองป้องกันสิ่งของนั้นๆ โดยการปิดประตูและเก็บไว้ในหีบเป็นต้น. คำว่า อธิกโร ได้แก่ อธิกรณ์ คือเรื่องที่เกิดขึ้น. คำว่า อธิกรณ์ นี้เป็นชื่อของเหตุ.๑- คำว่า อารกฺขาธิกรณํ นี้เป็นศัพท์นปุงสกลิงค์ ในความมี ความเป็น อธิบายว่า เป็นเหตุแห่งการรักษา. ____________________________ ๑- เหตุ ได้แก่ การทะเลาะ การแก่งแย่ง การพูดขึ้นมึงกูเป็นต้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตัณหามูลกธรรม ๙ เพื่อห้ามอกุศลธรรมอื่นๆ ในเพราะการเบียดเบียนสัตว์มีการจับท่อนไม้เป็นต้น. การจับถือท่อนไม้ ท่านเรียกว่าทัณฑาทานะ. การจับถือศาสตรามีคมข้างเดียวเป็นต้น ชื่อว่าสัตถาทานะ. การทะเลาะด้วยกายก็ตาม การทะเลาะด้วยวาจาก็ตาม ชื่อว่าการทะเลาะ. ความพิโรธ การโต้เถียงเกิดขึ้นก่อน การวิวาทเกิดขึ้นทีหลัง. คำว่า ตุวํ ตุวํ๒- เป็นถ้อยคำที่ไม่เคารพ ท่านแก้ศัพท์นี้ว่าเป็น ตฺวํ ตฺวํ ดังนี้. การสั่นสะเทือน การหวั่นไหว ชื่อว่าอิญชิตะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมานะนั่นแหละไว้ในคำว่า อสฺมิ (แปลว่า เป็นเรา) ไว้ด้วยบททั้งปวงซึ่งมีคำว่า อิญฺชิตเมตํ เป็นต้น. จริงอยู่ มานะ แม้เป็นไปแล้วในคำว่าเป็นเรา ดังนี้ ก็ชื่อว่าอิญชิตะนั่นแหละ. เนวสัญญีนาสัญญี๓- อันเป็นไปในคำว่า นี้เป็นเราก็ดี หรือเราจักเป็นไปก็ดี ก็ชื่อว่าอิญชิตะ. มานะนั่นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แม้ด้วยหมวดเก้าที่เหลือ. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสว่า ชื่อว่ามานะ เพราะความหวั่นไหว. ชื่อว่าความหวั่นไหว เพราะความสำคัญตน. ชื่อว่าความสำคัญตน เพราะความดิ้นรน. ชื่อว่าความดิ้นรน เพราะเป็นธรรมยังสัตว์ให้เนิ่นช้า. ธรรมที่ยังสัตว์ให้เนิ่นช้า ชื่อว่าสังขตะ เพราะการปรุงแต่ง ด้วยเหตุนั้นๆ ดังนี้. บทที่เหลือในที่ทั้งปวง มีอรรถตื้นทั้งนั้นแล. ____________________________ ๒- หมายถึงการพูดเร็วๆ ว่า ท่านๆ. ๓- เราจักเป็นสัตว์มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่. นวกนิทเทส จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา วิภังคปกรณ์ ขุททกวัตถุวิภังค์ นวกนิเทศ จบ. |