ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 37 / 1อ่านอรรถกถา 37 / 1136อรรถกถา เล่มที่ 37 ข้อ 1139อ่านอรรถกถา 37 / 1145อ่านอรรถกถา 37 / 1898
อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์
วรรคที่ ๗ ทานกถา

               อรรถกถาทานกถา               
               ว่าด้วยทาน               
               บัดนี้ ชื่อว่าเรื่องทาน.
               ในเรื่องนั้น ชื่อว่าทานมี ๓ อย่าง คือจากเจตนา วิรติ ไทยธรรม.
               ทานชื่อว่าจาคเจตนา มีที่มาในคำว่า ศรัทธา หิริและทานที่เป็นกุศล.
               ทานชื่อว่าวิรติ มีที่มาในคำว่า พระอริยสาวกผู้เว้นขาดจากปาณาติบาตแล้ว ย่อมให้อภัยแก่สัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ วิรติทาน คือวิรตีเจตสิก ๓ อันเป็นเหตุงดเว้นจากอกุศลทุจริตนั้น ในอัฏฐกนิบาตอังคุตนิกายเรียกทานนี้ว่า มหาทานที่ ๑.
               ทานชื่อว่าไทยธรรม คือวัตถุอันบุคคลพึงให้ มีที่มาในคำว่า บุคคลย่อมให้ทาน คือข้าวน้ำเป็นต้น.
               พึงทราบวินิจฉัยในทานเหล่านี้ต่อไป
               บุคคลย่อมให้วัตถุอันควรให้เพราะจาคเจตนา ฉะนั้นจาคเจตนาจึงชื่อว่า ทาน. อีกอย่างหนึ่ง ชนทั้งหลายย่อมให้วัตถุที่พึงให้ด้วยจาคเจตนานี้ เพราะเหตุนั้น จาคเจตนานี้จึงชื่อว่าทาน.
               วิรติ ชื่อว่าทาน เพราะอรรถว่าการตัดหรือเพราะอรรถว่าการทำลาย ซึ่งอกุศลจิต.
               จริงอยู่ วิรติทานนั้น เมื่อเกิดขึ้นย่อมตัดหรือทำลายเจตนาอันเป็นเหตุทุศีลที่บัณฑิตนับพร้อมแล้วว่าเป็นผู้มีความกลัวภัยเป็นต้น.
               ไทยธรรมอันใด อันเขาย่อมให้เพราะเหตุนั้น ไทยธรรมนั้น จึงชื่อว่าทาน ได้แก่ไทยธรรม คือวัตถุอันบุคคลพึงให้ ทานแม้ทั้ง ๓ อย่างมีประการดังกล่าวมานี้ เมื่อว่าโดยอรรถก็มีอยู่เพียง ๒ อย่าง คือเจตสิกธรรมและไทยธรรม.
               ในปัญหานั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายราชคิริกะและสิทธัตถิกะทั้งหลายว่า เจตสิกธรรมเท่านั้นเป็นทานไทยธรรม คือวัตถุอันบุคคลพึงให้ ไม่ใช่ทาน ดังนี้.
               คำถามสกวาทีว่า ทานคือเจตสิกเป็นต้น หมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที.
               ลำดับนั้น คำถามของสกวาทีว่า จะให้เจตสิกธรรมแก่คนอื่นๆ ก็ได้หรือ ดังนี้เพื่อท้วงปรวาทีนั้นด้วยสามารถแห่งไทยธรรม คำตอบปฏิเสธเป็นของปรวาที เพราะบุคคลนั้นไม่อาจเพื่อให้เจตสิกธรรม เหมือนการให้ข้าวน้ำเป็นต้นได้. เมื่อสกวาทีถามปัญหานั้นซ้ำอีก ปรวาทีนั้นนั่นแหละก็ตอบรับรองด้วยสามารถแห่งพระสูตรว่า พระอริยสาวกผู้เว้นขาดจากปาณาติบาตแล้ว ย่อมให้อภัยแก่สัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้. แต่ในปัญหาทั้งหลายมีปัญหาว่าด้วยผัสสะเป็นต้น ปรวาทีเมื่อไม่เห็นโวหารว่า บุคคลจะให้ผัสสะได้เป็นต้น จึงตอบปฏิเสธ.
               คำว่า ทานมีผลไม่น่าปรารถนา เป็นต้น ท่านกล่าวแล้วเพื่อแสดงซึ่งความที่ธรรมอันมิใช่เจตสิกเป็นทานมีอยู่.
               จริงอยู่ อเจตสิกทานคือการให้ข้าวน้ำเป็นต้น ย่อมไม่ให้วิบากอันน่าปรารถนาต่อไป แต่คำนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า ท่านกล่าวแล้วเพื่อนิยามในความเป็นอิฏฐผล ได้แก่นิยามคือมรรค.
               ก็ในคำแม้นี้ อธิบายว่า ผิว่า อเจตสิกทาน คือการให้ข้าวเป็นต้น พึงเป็นทานไซร้ ก็เมื่อบุคคลให้เภสัชอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าชอบใจด้วยจิตเกื้อกูลอนุเคราะห์ ผลอันไม่น่าปรารถนานั้นนั่นแหละพึงเกิดขึ้น ดุจไม้สะเดาเป็นต้นยังผลสะเดาเป็นต้นให้เกิดขึ้นอยู่ แต่ในที่นี้ การให้ด้วยเจตนาอันเป็นเหตุบริจาคย่อมให้ซึ่งผลอันเป็นประโยชน์เกื้อกูล เหตุใด เพราะเหตุนั้น ครั้นเมื่อไทยธรรม คือวัตถุอันบุคคลพึงให้ แม้ไม่น่าปรารถนา ก็ย่อมชื่อว่าเป็นทานมีผลอันน่าชอบใจทั้งสิ้น ดังนี้.
               เมื่อปรวาทีตั้งเจตสิกธรรมเป็นทานอย่างนี้แล้ว สกวาทีจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทานมีผลน่าปรารถนา ดังนี้ เพื่อจะยังไทยธรรมโดยปริยายนี้ให้สำเร็จความเป็นทาน. แต่ปรวาที เมื่อไม่เห็นความที่จีวรทานเป็นต้นมีผลอันน่าปรารถนา จึงปฏิเสธ. การชำระพระสูตรย่อมถูกต้องทั้งในวาทะของปรวาทีและทั้งในวาทะของสกวาที แต่ย่อมไม่ถูกโดยเนื้อความอย่างเดียวกัน.
               คำว่า ไทยธรรมมีผลน่าปรารถนา นี้ สกวาทีตอบปฏิเสธสักว่าความเป็นอิฏฐผลเท่านั้น เพราะฉะนั้นในคำว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่พึงกล่าวว่าทานคือไทยธรรม นี้ ย่อมไม่ถูก เพราะความที่ไทยธรรมนั้น บุคคลพึงกล่าวว่าเป็นอิฏฐผลทีเดียว.
               อนึ่ง ไทยธรรมชื่อว่า ทานนั่นแหละ เพราะอรรถว่าอันบุคคลพึงให้. สำหรับเรื่องทานนี้ ท่านกล่าวไว้เพื่อจะปลดเปลื้องความปะปนกันแห่งทานทั้ง ๒ เท่านั้น ดังนี้แล.

               อรรถกถาทานกถา จบ.               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๗ ทานกถา จบ.
อ่านอรรถกถา 37 / 1อ่านอรรถกถา 37 / 1136อรรถกถา เล่มที่ 37 ข้อ 1139อ่านอรรถกถา 37 / 1145อ่านอรรถกถา 37 / 1898
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=37&A=11126&Z=11233
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=5019
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=5019
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๗  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๕๗
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :