![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ว่าด้วยอันตราภพ ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายปุพพเสลิยะและสมิติยะทั้งหลายว่า สัตว์หมายถึงผู้จะปฏิสนธิ ผู้ไม่มีทิพพจักขุย่อมเป็นผู้ราวกะมีทิพพจักขุ ผู้ไม่มีฤทธิ์ย่อมเป็นผู้ราวกะผู้มีฤทธิ์ เล็งแลดูอยู่ซึ่งการอยู่ร่วมของบิดามารดา และการมีระดู เขาดำรงอยู่ประมาณ ๗ วัน หรือเกินกว่านั้นในที่ใด ที่นั้นชื่อว่าอันตราภพ เพราะถือเอาบทพระสูตรว่า บุคคลชื่อว่าอันตราปรินิพพายี คือผู้ปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ทันถึงท่ามกลางแห่งอายุขัย โดยไม่พิจารณาดังนี้. คำถามของสกวาทีว่า อันตราภพมีอยู่หรือ โดยหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที เพราะตั้งอยู่ในลัทธิ. ลำดับนั้น สกวาที เพื่อจะท้วงปรวาทีนั้นด้วยสามารถแห่งภพทั้ง ๓ เหล่าใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วนั้น จึงกล่าวคำว่า เป็นกามภพ เป็นต้น. ในปัญหานั้น อธิบายว่า ผิว่า ภพไรๆ ชื่อว่าอันตราภพมีอยู่ตามลัทธิของท่านไซร้ ภพนั้นก็พึงเป็นดุจปัญจโวการภพ ภพใดภพหนึ่งแห่งกามภพทั้งหลายเป็นต้น นั่นแหละ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า เป็นกามภพ หรือรูปภพ หรืออรูปภพ ชื่อว่าอันตราภพ ตามลัทธิของท่าน. ปรวาทีเมื่อไม่ปรารถนาเช่นนั้น จึงปฏิเสธทั้งหมด. คำว่า มีอยู่ในระหว่างกามภพ เป็นต้น สกวาทีกล่าวเพื่อท้วงว่า ถ้าอันตราภพมีอยู่ไซร้ อันตราภพนั้นก็จะพึงเป็นเหมือนกับเขตแดนแห่งเขตแดนทั้ง ๒ ปรวาทีเมื่อไม่ปรารถนาเช่นนั้น จึงปฏิเสธปัญหาทั้งปวง ย่อมปฏิเสธไปเพราะลัทธิอย่างเดียว แต่ย่อมไม่ปฏิเสธตามความเป็นจริง โดยคำนั้นนั่นแหละ สกวาทีจึงกล่าวปฏิเสธกะปรวาทีว่า ท่านก็ต้องไม่กล่าวว่า อันตราภพมีอยู่ แม้คำว่า อันตราภพเป็นกำเนิดที่ ๕ เป็นต้น สกวาทีถามเพื่อท้วงว่า อันตราภพนั้นไม่รวมอยู่ในกำเนิดเป็นต้นตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดไว้แล้ว ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ อันตราภพนั้นก็จะพึงเป็นภพที่เกินจากกำเนิดจากคติเป็นต้นนั้นๆ. คำว่า กรรมอันยังสัตว์ให้เข้าถึงอันตราภพมีอยู่หรือ สกวาทีถามเพื่อท้วงว่า ถ้าอันตราภพแม้นั้นพึงเป็นภพหนึ่งต่างหากไซร้ กรรมที่ยังสัตว์ให้เข้าถึงซึ่งอันตราภพนั้นก็พึงมี ดุจกรรมที่ยังสัตว์ให้เข้าถึงกามภพเป็นต้น ดังคำที่พระศาสดาทรงจำแนกไว้แล้วและแสดงแล้วว่าเป็นกรรมมีอยู่จริง อย่างนี้ ดังนี้. อนึ่ง ลัทธิเหล่านั้นในลัทธิของปรวาทีว่า กรรมโดยเฉพาะที่ชื่อว่าอันยังสัตว์ให้เข้าถึงซึ่งอันตราภพไม่มี สัตว์ใดจักเข้าถึงซึ่งภพใดๆ ย่อมเกิดในอันตราภพได้ด้วยกรรมอันยังสัตว์ให้เข้าถึงซึ่งภพนั้นนั่นแหละ เหตุใด เพราะเหตุนั้น ปรวาทีจึงตอบว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น. แม้ถูกสกวาทีถามว่า สัตว์ผู้เข้าถึงอันตราภพมีอยู่หรือ ปรวาทีตอบปฏิเสธตามลัทธิว่า สัตว์เหล่านั้นชื่อว่าผู้เกิดในกามภพนั่นแหละ. แม้ถูกถามว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดอยู่....ในอันตราภพหรือ ปรวาทีเมื่อไม่ปรารถนาซึ่งความเกิด ความแก่ ความตายและจุติอุปบัติในอันตราภพนั้น จึงตอบปฏิเสธ. แม้ถูกถามด้วยสามารถแห่งรูปเป็นต้น ย่อมตอบปฏิเสธ เพราะลัทธิแห่งชนเหล่านั้นว่า รูปของสัตว์ในอันตราภพเห็นไม่ได้ แม้ธรรมทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้นก็ไม่หยาบเหมือนสัตว์เหล่าอื่น. ด้วยเหตุนี้นั่นแหละ พึงทราบการปฏิเสธแม้ในความเป็นแห่งปัญจโวการภพ. บัดนี้ คำว่า กามภพ เป็นภพ เป็นคติ เป็นต้น ชื่อว่าเป็นการเปรียบเทียบภพ. ในข้อนี้อธิบายว่า ถ้าภพไรๆ ชื่อว่าอันตราภพพึงมีตามลัทธิของท่านไซร้ ก็บรรดาภพทั้งหลาย มีกามภพเป็นต้นมีอยู่ การแตกต่างกันแห่งภพและคติเป็นต้น พึงหยั่งเห็นได้ ฉันใด แม้ในอันตราภพนั้น ก็จะพึงเห็นได้ ฉันนั้น ในอันตราภพหยั่งเห็นไม่ได้ ฉันใด แม้ในกามภพเป็นต้นเหล่านี้ก็หยั่งเห็นไม่ได้ ฉันนั้น เพราะว่า การจำแนกด้วยดีแห่งภพและคตินั่นแหละมีอยู่ในความเป็นแห่งภพที่มีอยู่ มิใช่ในภพนอกจากนี้ก็อะไรเล่า เป็นเหตุแปลกกันระหว่างกามภพเป็นต้นเหล่านั้นกับอันตราภพในที่นี้. ปรวาทีย่อมตอบรับรองและตอบปฏิเสธซึ่งปัญหานั้นๆ ด้วยสามารถสักแต่ว่าลัทธิ. ถูกสกวาทีถามว่า อันตราภพมีอยู่สำหรับสัตว์ทั้งปวงทีเดียวหรือ ปรวาทีนั้นไม่ต้องการอันตราภพมีแก่สัตว์ผู้เกิดในนรก อสัญญีสัตว์และอรูปพรหม เพราะฉะนั้นจึงปฏิเสธ. ย่อมตอบรับรองโดยปฏิโลม ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ. คำว่า อนันตราภพ มีอยู่สำหรับบุคคลผู้ทำอนันตริยกรรม เป็นต้น สกวาทีกล่าวเพื่อจำแนกแสดงภพทั้งหลายโดยนัยที่ปรวาทีนั้นไม่ปรารถนาอันตราภพของสัตว์เหล่าใดเหล่านั้น. คำนั้นทั้งหมด บัณฑิตพึงทราบโดยทำนองแห่งพระบาลีพร้อมกับการอ้างพระสูตร แล. อรรถกถาอันตราภวกถา จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๘ อันตราภวกถา จบ. |