บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ว่าด้วยคำว่า รูปเป็นกรรม ในเรื่องนั้น ชนเหล่านั้นมีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายมหิสาสกะและสมิติยะทั้งหลายว่า กายวิญญัติรูปและวจีวิญญัตติรูปนั่นเทียว ชื่อว่ากายกรรมและวจีกรรม ก็รูปนั้นมีกุศลเป็นสมุฏฐานย่อมเป็นกุศล รูปนั้นมีอกุศลเป็นสมุฏฐานก็ย่อมเป็นอกุศล ดังนั้น คำถามของสกวาทีว่า กายกรรมที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิตเป็นรูป เป็นกุศลหรือ ดังนี้ หมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาที เพื่อท้วงปรวาทีนั้นด้วยคำว่า ถ้ารูปนั้นเป็นกุศลไซร้ รูปนั้นก็พึงมีอารมณ์ได้ ดังนี้ จึงเริ่มคำว่า รูปเป็นธรรมมีอารมณ์หรือ เป็นต้น. ในปัญหานั้น คำว่า ความปรารถนา คือ ปตฺถนา ความตั้งใจ คือปณิธินี้เป็นวพจน์คือเป็นคำแทนชื่อกันของความจงใจ คือเจตนา นั่นแหละ. จริงอยู่ เมื่อนึกถึงกุศล เจตนานั่นแหละ ท่านเรียกว่าความปรารถนา และเรียกว่าความตั้งใจ เพราะตั้งไว้ด้วยอำนาจแห่งความนึกถึง. อนึ่ง ในข้อว่า เวทนา สัญญา เจตนา สัทธาเป็นต้น ที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิตข้างหน้า คำว่า เจตนาคือความจงใจ ความปรารถนา ความตั้งใจ ย่อมมีแก่เวทนาเป็นต้น ย่อมไม่มีแก่เจตนา. ถามว่า เพราะเหตุไร? แก้ว่า เพราะความไม่มีเจตนาทั้ง ๒ ดวงรวมเป็นดวงเดียวกัน. อนึ่ง บัณฑิตพึงทราบแบบแผนอย่างนี้ เพราะความที่เจตนานั้นเป็นธรรมชาติตกไปสู่กระแส. คำว่า รูปายตนะ เป็นต้น สกวาทีกล่าวเพื่อแสดงประเภทแห่งธรรมที่ย่อไว้ในวาระแรกว่า รูปที่ตั้งขึ้นด้วยกุศลจิตไม่ว่าอย่างใดทั้งหมด เป็นกุศลจิตหรือ. นัยแห่งการเปรียบเทียบคำที่เหลือ เป็นถ้อยคำว่าด้วยวจีกรรม และคำว่า ตั้งขึ้นด้วยอกุศลจิต บัณฑิตพึงทราบคำทั้งปวงตามพิธีการเบื้องต้นโดยทำนองแห่งบาลีนั่นแหละ. ก็ในคำว่า อสุจิ ท่านประสงค์เอาน้ำสุกกะ. การชำระพระสูตรมีอรรถตื้นทั้งนั้นแล. อรรถกถารูปังกัมมันติกถา จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๘ รูปังกัมมันติกถา จบ. |