![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ว่าด้วยความเสื่อม ก็นิกายสมิติยะ วัชชีปุตตกะ สัพพัตถิกวาทีและมหาสังฆิกะบางพวก อาศัยพระสูตรทั้งหลายว่า๑- ปริหานิธมฺโม อปริหานิธมฺโม เทฺวเม ภิกฺขเว ธมฺมา เสกฺขสฺส ภิกฺขุโน ปริหานาย สํวตฺตนฺติ ปญฺจิเม ภิกฺ ____________________________ ๑- พระสูตรนี้แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ คือปริหานิธรรมและอปริหานิธรรม ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมรอบแก่ภิกษุผู้เป็นเสกขบุคคล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ เหล่านี้ คือ ความเพลิดเพลินในการงาน ความเพลิดเพลินในการสนทนา ความเพลิดเพลินในการหลับ ความเพลิดเพลินในการคลุกคลี ความหลุดพ้นแห่งจิตมีอย่างไรไม่พิจารณาอย่างนั้น ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความเสื่อมรอบแก่ภิกษุผู้สมยวิมุตตบุคคล ดังนี้ด้วยประการฉะนี้เป็นต้น. ในคำถามเหล่านั้น คำว่า "ความเสื่อม" ได้แก่ ความเสื่อม ๒ อย่างคือ ปัตตปริหานิ คือความเสื่อมจากธรรมที่เคยบรรลุแล้ว และอัปปัตตปริหานิ คือความเสื่อมจากธรรมที่ยังไม่บรรลุ. ในความเสื่อมเหล่านั้น ท่านพระโคธิกะแล ย่อมเสื่อมจากเจโตวิมุตอันเป็นไปชั่วคราวนั้นแม้ในครั้งที่ ๒ นี้เรียกว่าปัตตปริหานิ คือความเสื่อมจากธรรมที่เคยบรรลุแล้ว. เมื่อชนทั้งหลายผู้มีความต้องการสิ่งทั่วไปมีอยู่ ความต้องการอันนั้นย่อมเสื่อมไป นี้เรียกว่าอัปปัตตปริหานิ คือความเสื่อมจากธรรมที่ตนยังไม่บรรลุ คือยังไม่ได้มา. ในความเสื่อมทั้ง ๒ เหล่านั้น ในที่นี้ท่านประสงค์เอาความเสื่อมจากธรรมที่เคยบรรลุแล้ว คือปัตตปริหานิ. ก็คำตอบรับรองของปรวาทีว่า "ใช่" เพราะหมายเอาความเสื่อมจากธรรมอันบรรลุแล้วนี้. อนึ่ง ปรวาทีนั้นย่อมปรารถนาชื่อความเสื่อมจากธรรมอันบรรลุแล้วนี้จากโลกิยสมาบัติในลัทธิของตนเท่านั้น ไม่ปรารถนาความเสื่อมจากสามัญญผลทั้งหลาย มีอรหัตผลเป็นต้น แม้ในลัทธิอื่นท่านก็ไม่ปรารถนาความเสื่อมนั้นแก่บุคคลทั้งปวงในสามัญญผลทั้งปวง ในภพทั้งปวง ในกาลทั้งปวง อันลัทธินั้นก็สักแต่ว่าเป็นลัทธิของท่านเท่านั้น เพราะฉะนั้นเพื่อจะทำลายข่าย คือลัทธิอันถือผิดทั้งปวง ปัญหาของสกวาทีจึงเกิดขึ้นโดยนัยเป็นต้นอีกว่า พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ในภพทั้งปวงหรือในปัญหานั้น ปรวาทีไม่ปรารถนาความเสื่อมจากอรหัตผล ของพระอรหันต์ผู้เสื่อมมาโดยลำดับ แล้วก็หยุดอยู่ในโสดาปัตติผล ย่อมปรารถนาความเสื่อมของพระอริยะ ผู้ตั้งอยู่ในผลทั้งหลายในเบื้องบนเท่านั้น. อนึ่ง ไม่ปรารถนาความเสื่อมของพระอรหันต์ผู้ตั้งอยู่ในอรูปภพทั้งหลาย แต่ย่อมปรารถนาความเสื่อมของพระอรหันต์ผู้ตั้งอยู่เฉพาะในกามภพ เพราะความที่ธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม มีความเพลิดเพลินในการงานเป็นต้นมีอยู่ เพราะฉะนั้น เมื่อถูกสกวาทีถามว่า พระอรหันต์เสื่อมจาก...ในภพทั้งปวง หรือ ท่านก็ปฏิเสธ ครั้นถูกถามซ้ำอีก ท่านก็ตอบรับรองเพราะความไม่เสื่อมอย่างนั้น ลำดับนั้น สกวาทีจึงถามปัญหาที่ควรถามในปัญหาที่ ๒ อันเป็นลัทธิที่เกิดขึ้นแก่ปรวาทีนั้นฉันนั้นนั่นแหละว่า แม้พระอรหันต์ย่อมไม่เสื่อมจากผล ๔ ปรวาทีเมื่อไม่เห็นความแน่นอนแห่งความที่ไม่ควรเป็นเศรษฐี จึงตอบรับรอง ถูกสกวาทีซักถึงความเป็นผู้ควรจะเสื่อมจากผลทั้ง ๔ ของพระอรหันต์ ปรวาทีผู้ตั้งอยู่ในลัทธิถือเอาเนื้อความโดยไม่พิจารณาถ้อยคำว่า เป็นผู้เที่ยงเป็นผู้จะตรัสรู้ข้างหน้า จึงปฏิเสธ หมายเอาความไม่ควรเพื่อจะเสื่อมจากโสดาปัตติผล. ก็คำนั้น สักว่าเป็นลัทธิของท่านเท่านั้น. ชื่อว่า วาทยุตติ คือ การประกอบวาทะ สำเร็จแล้วด้วยคำมีประมาณเท่านี้แล. อริยปุคคลสังสันทนา การเทียบเคียงระหว่างพระอริยะ อนึ่ง คำใดที่ท่านกล่าวแล้วในปัญหานั้นว่า ถัดจากโสดาปัตติผล ท่านก็ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตผลทีเดียวหรือ คำนั้น ท่านกล่าวหมายเอาความเกิดขึ้นแห่งพระอรหันต์เพราะความพยายามอีกของพระอรหันต์ผู้เสื่อมแล้ว. ปรวาทีตอบปฏิเสธคำนั้น เพราะไม่มีความเป็นพระอรหันต์ในลำดับแห่งโสดาปัตติผล. เบื้องหน้าแต่นี้เพื่อประกอบคำเป็นต้นว่า ชื่อว่าความเสื่อมนี้จะพึงมีเพราะความโง่เขลาของผู้ละกิเลสหรือเพราะความไม่ตรัสรู้ด้วยมรรคภาวนาเป็นต้น หรือแม้เพราะไม่เห็นสัจจะทั้งหลาย นี้ด้วยประการฉะนี้เป็นต้น สกวาทีจึงกล่าวว่า ใครละกิเลสได้มากกว่ากัน เป็นต้น. คำนั้นทั้งหมดมีคำอธิบายง่ายทั้งนั้นแล. อนึ่ง เนื้อความพระสูตรทั้งหลาย บัณฑิตพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในอรรถกถาที่มาทั้งหลายนั่นแหละ. ในคำว่า พระอรหันต์ผู้สมยวิมุตเสื่อมจากอรหัตผลได้ นี้เป็นลัทธิของพวกเขาว่า พระอรหันต์ผู้มีอินทรีย์อ่อนชื่อว่าสมยวิมุตตบุคคล พระอรหันต์ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ชื่อว่าอสมยวิมุตตบุคคล ดังนี้ แต่ในลัทธิสกวาที่ทำการสันนิษฐานไว้ว่า ผู้เป็นฌานลาภีไม่บรรลุวสี ชื่อว่าสมยวิมุตตบุคคล ผู้เป็นฌานลาภีบรรลุวสีแล้วด้วย พระอริยบุคคลทั้งหมดในวิโมกข์ที่เป็นอริยะด้วย ชื่อว่าอสมยวิมุตตบุคคล. ก็ปรวาทีนั้นถือเอาลัทธิของตนกล่าวว่า พระอรหันต์ผู้สมยวิมุติย่อมเสื่อม พระอรหันต์นอกจากนี้ไม่เสื่อม. คำที่เหลือในที่นี้มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น ดังนี้แล. สุตตโสธนา การชำระพระสูตร อธิบายว่า พระอริยะทั้งหลายย่อมไปสู่ฝั่ง คือพระนิพพานได้ ๒ ครั้งด้วยปฏิปทาทั้งสูงทั้งต่ำนั้นๆ ก็หาไม่ คือหมายความว่า ย่อมไม่ไปสู่พระนิพพานสิ้น ๒ ครั้งด้วยมรรคหนึ่ง. ถามว่า เพราะเหตุไร? ตอบว่า เพราะว่ากิเลสเหล่าใดอันมรรคใดละได้แล้วไม่พึงละกิเลสเหล่านั้นด้วยมรรคนั้นอีก ท่านย่อมแสดงภาวะแห่งธรรม คือความไม่เสื่อมด้วยมรรคนี้. ข้อว่า ฝั่งนี้อันผู้ปฏิบัติจะได้รู้แต่ครั้งเดียวก็หาไม่ ความว่า ฝั่งคือพระนิพพานนี้แม้ควรแก่การบรรลุสิ้นครั้งเดียวก็หาไม่ ถามว่า เพราะเหตุไร? แก้ว่า เพราะไม่มีการละกิเลสทั้งปวงด้วยมรรคเดียว. ท่านแสดงความเป็นพระอรหันต์ด้วยมรรค ๑ เท่านั้น. ข้อว่า บรรดากิเลสวัฏที่พระอรหันต์ตัดแล้วยังมีบางอย่างที่ยังจะต้องตัดอีกหรือ ความว่า สกวาทีถามว่า เมื่อกิเลสวัฏฏะขาดแล้ว พระอริยะจะพึงตัดกิเลสอะไรๆ อีกมีอยู่หรือ? ปรวาทีหมายเอาพระอรหันต์ผู้มีอินทรีย์แก่กล้าจึงตอบปฏิเสธ ถูกถามซ้ำอีก หมายเอาผู้มีอินทรีย์อ่อน จึงตอบรับรองว่า ใช่. สกวาทีจึงนำพระสูตรมาแล้วแสดงความไม่มีกิเลสอะไรๆ ที่พระอรหันต์จะต้องตัดอีก. ในปัญหาว่า คำว่า โอฆปาโส แปลว่า ห้วงน้ำและบ่วง ได้แก่ ห้วงน้ำคือกิเลส และบ่วงคือกิเลส. คำว่า การกลับสร้างสมกิจที่ทำแล้ว ได้แก่ เจริญมรรคที่เจริญแล้วอีก. แม้คำในที่นี้ บัณฑิตพึงทราบคำปฏิเสธและคำตอบรับรองโดยนัยที่กล่าวมาแล้วในกาลก่อนนั่นแหละ. คำว่า ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความเสื่อมรอบ ความว่า ธรรม ๕ อย่างมีความเพลิดเพลินในการงานเป็นต้น ในพระสูตรที่ปรวาทีนำมาอ้าง ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความเสื่อมจากธรรมที่ยังไม่บรรลุ และเพื่อความเสื่อมจากโลกิยสมาบัติ แต่สกวาทีนั้นไม่เห็นความเสื่อมแห่งพระอรหันต์ที่บรรลุแล้ว ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ จึงถามว่า พระอรหันต์มีความเพลิดเพลินในการงานหรือ ปรวาทีหมายเอาพระอรหันต์ผู้อสมยวิมุตตบุคคล จึงตอบปฏิเสธ หมายเอาพระอรหันต์ นอกจากนี้จึงตอบรับรอง. อีกอย่างหนึ่ง ย่อมปฏิเสธการงานอันเป็นไปกับด้วยกามราคะ ย่อมรับรองการงานอันเป็นไปนอกจากกามราคะ. เมื่อถูกถามถึงความที่พระอรหันต์มีราคะเป็นต้นก็ไม่อาจตอบ. คำว่า ถูกอะไรกลุ้มรุมจึงเสื่อม ความว่า กิเลสอะไรๆ กลุ้มรุมจิต. อธิบายว่า กิเลสเป็นเครื่องผูกพัน หรือกิเลสเป็นเครื่องท่วมทับภายใน. แม้ในคำถามว่าด้วยอนุสัยกิเลส บัณฑิตพึงทราบคำปฏิเสธและคำรับรองด้วยสามารถแห่งพระอริยะผู้มีอินทรีย์อ่อน. อนึ่ง ย่อมตอบรับรองด้วยคำธรรมดาว่า อนุสัยของกัลยาณปุถุชนยังมีอยู่. ข้อว่า ราคะก่อตัวขึ้น ความว่า ปรวาทีกล่าวหมายเอาราคะที่ละด้วยการภาวนา. แม้ในโทสะและโมหะข้างหน้าก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็การก่อตัวขึ้นแห่งกิเลสทั้งหลายมีสักกายทิฏฐิเป็นต้นย่อมไม่มี เพราะความที่กิเลสเหล่านั้นอันพระโสดาบันละแล้ว. คำที่เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล. สุตตโสธนาจบ. อรรถกถาปริหานิกถา จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ ปริหานิกถา จบ. |