บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ว่าด้วยเป็นอริยะ ในปัญหานั้น ลัทธิแห่งชนเหล่าใด ดุจลัทธิของนิกายอันธกะทั้งหลายในขณะนี้ว่า อาสวักขยญาณเป็นอริยะอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ โดยที่แท้แม้ญาณเบื้องต้น#- ๙ อย่างที่เป็นกำลัง ก็เป็นอริยะด้วย ดังนี้ สกวาทีหมายชนเหล่านั้น จึงถามว่า การรู้ตามจริงในฐานะและอฐานะ เป็นอริยะหรือ คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. คำถามด้วยสามารถแห่งมรรคเป็นต้นว่า ญาณนี้ใดในอริยมรรค เป็นต้น ญาณอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นพึงเป็นอริยะหรือ อีก เป็นของสกวาที คำตอบปฏิเสธเป็นของปรวาที. ____________________________ #- ทสพลญาณ ญาณอันเป็นกำลัง ๑๐ คือ :- ๑. ฐานาฐานญาณ ปรีชาหยั่งรู้ฐานะและอฐานะ ๒. วิปากญาณ ปรีชาหยั่งรู้ผลแห่งกรรม ๓. สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ ปรีชาหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิทั้งปวง ๔. นานาธาตุญาณ ปรีชาหยั่งรู้ธาตุต่างๆ ๕. นานาธิมุตติญาณ ปรีชาหยั่งรู้อธิมุตติ คืออัธยาศัยของสัตว์ต่างๆ ๖. อินทริโยปริยัตติญาณ ปรีชาหยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ ๗. ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ ปรีชาหยั่งรู้อาการมีความเศร้าหมองเป็นต้นแห่งธรรมมีฌานเป็นตน ๘. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ๙. จุตูปปาตญาณ ๑๐. อาสวักขยญาณ. คำถามว่าด้วย สุญญตารมณ์ เป็นต้นอีก เป็นของสกวาที. ในคำถามนั้น สุญญตา ๒ อย่าง คือ สัตตสุญญตา ความว่างเปล่าจากสัตว์ ๑ สังขารสุญญตา ความว่างเปล่าจากสังขาร ๑. ปัญจขันธ์เป็นสภาพว่างเปล่าจากสัตว์ อันชาวโลกสมมติไว้ด้วยทิฏฐิ ชื่อว่าสัตตสุญญตา พระนิพพานเป็นสภาพว่างเปล่าสงัดแล้ว เป็นธรรมชาติออกไปแล้วจากสังขารทั้งปวง ชื่อว่าสังขารสุญญตา. ในปัญหานั้น ปรวาทีหมายเอาความว่างเปล่าที่เป็นอารมณ์ของพระนิพพาน จึงปฏิเสธ แต่รับรองเพราะหมายเอาความว่างเปล่าที่เป็นอารมณ์ของสังขาร. แม้ถูกถามว่า ทรงทำไว้ในพระทัย ก็ปฏิเสธเพราะหมายเอาพระนิพพานเท่านั้น ย่อมตอบรับรองเพราะหมายเอาสังขารทั้งหลาย. ต่อจากนั้นถูกสกวาทีถามว่า เป็นการประชุมแห่งผัสสะ ๒ อย่างแห่งจิต ๒ ดวงหรือ เพราะถือเอานัยนี้ว่า ผู้มีมนสิการในฐานญาณและอฐานญาณเป็นต้นมีสังขารเป็นอารมณ์ แต่ผู้มีมนสิการในความว่างเปล่ามีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ปรวาทีนั้นเมื่อไม่ได้โอกาสอันมีเลสนัย จึงปฏิเสธ. แม้อนิมิตตะและอัปปณิหิตะ ก็นัยนี้นั้นแหละ. จริงอยู่ ขันธ์ทั้งหลายชื่อว่าไม่มีนิมิต เพราะไม่มีนิมิตคือสัตว์ พระนิพพานชื่อว่าไม่มีนิมิต เพราะไม่มีนิมิตคือสังขาร. ขันธ์ทั้งหลายชื่อว่าอัปปณิหิตะ คือไม่มีที่ตั้ง โดยการตั้งความปรารถนาแห่งสัตว์อันถึงการนับว่า ปณิธิ เพราะอรรถว่าพึงตั้งไว้ กล่าวคืออันเขายกขึ้นแล้วพึงตั้งไว้แม้ในธรรมอย่างหนึ่ง. พระนิพพานชื่อว่าอัปปณิหิตะ คือไม่มีที่ตั้ง ด้วยการตั้งไว้ซึ่งตัณหา หรือด้วยการตั้งไว้ซึ่งสังขารทั้งปวงอันเป็นอารมณ์แห่งตัณหา. เพราะฉะนั้นในการวิสัชชนาแม้นี้ ทั้งการปฏิเสธและการรับรอง บัณฑิตพึงทราบโดยนัยก่อนนั่นเทียว. ต่อจากนี้ อนุโลมและปฏิโลมปัญหาว่า โลกุตตรธรรมทั้งหลายมีสติปัฏฐานเป็นต้น เป็นอริยะด้วย มีสุญญตะเป็นต้น เป็นอารมณ์ด้วย ฉันใด ญาณเป็นเครื่องหยั่งรู้ฐานะและอฐานะโดยลัทธิของท่านฉันนั้นหรือ ในการวิสัชชนาปัญหานั้น การตอบรับรองแม้ทั้งปวงและการปฏิเสธทั้งปวง เป็นของปรวาที. บัณฑิตพึงทราบคำถามและคำตอบแม้ในญาณที่เหลือโดยอุบายนี้. แต่ในบาลี ท่านย่อญาณที่เหลือไว้แล้วก็จำแนกจุตูปปาตญาณไว้สุดท้าย. ข้างหน้าต่อจากนี้ เป็นคำถามถึงความเป็นพระอริยะทั้งโดยอนุโลม และปฏิโลมแห่งญาณทั้งหลายที่เหลือ เปรียบเทียบกับอาสวักขยญาณอันสำเร็จแล้วว่าเป็นอริยะ แม้ในลัทธิของตน. คำถามทั้งปวงเป็นของปรวาที. สกวาทีตอบรับรองด้วย ปฏิเสธด้วย. เนื้อความเหล่านั้นมีอรรถง่ายทั้งนั้น. ส่วนในบาลี ท่านย่อญาณทั้ง ๗ ไว้ในที่นี้แล้วแสดงดุจนัยที่ ๑ นั่นแล. อรรถกถาอริยันติกถา จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๓ อริยันติกถา จบ. |