บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
พึงทราบมหาวาระ ๓ มีปัณณัตติวาระเป็นต้น และประเภทแห่งวาระที่เหลือมีอันตรวาระเป็นต้นตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นเทียว ในธาตุยมกแม้นั้น. แต่ในปัณณัตติวาระ ในสัจจยมกนี้ ด้วยอำนาจสัจจะ ๔ พึงทราบการนับยมกในวาระทั้งหลาย ๔ เหล่านี้ คือปทโสธนวาระ ปทโสธนมูลจักกวาระ สุทธสัจจวาระ สุทธสัจจมูลจักกวาระ. แต่ในปัณณัตติวารนิทเทส พึงทราบเตภูมิกธรรมที่หลุดพ้นดีแล้วจากทุกขเวทนาและตัณหา ด้วยคำว่า อวเสสํ ทุกฺขสจฺจํ. ประเภทแห่งกามาวจรกุศลเป็นต้นที่ท่านแสดงไว้แล้วในสัจจวิภังค์ว่า อวเสโส สมุทโย ดังนี้ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งทุกขสัจจะ. สองบทว่า อวเสโส นิโรโธ ได้แก่ ตทังคนิโรธ วิกขัมภนนิโรธ สมุจเฉทนิโรธ ปฏิปัสสัทธินิโรธและขณภังคนิโรธ. สองบทว่า อวเสโส มคฺโค ความว่า ก็มรรคมีองค์ ๕ ย่อมมีในสมัยนั้นแล. มรรคมีอาทิอย่างนี้ คือ อัฏฐังคิกมรรค มิจฉามรรค ชังฆมรรค สกฏมรรค. ๒. ปวตฺติวารวณฺณนา ในสัจจะทั้งหลายเหล่านั้น เพราะความเกิดและความดับ ย่อมไม่สมควรแก่นิโรธ ฉะนั้น ยมกทั้งหลาย ๓ คือ ยมกอันเป็นมูลแห่งทุกขสัจจะ ๒ กับด้วยสมุทยสัจจะ และมัคคสัจจะ ยมกอันเป็นมูลแห่งสมุทยสัจจะ ๑ กับด้วยมัคคสัจจะ จึงมาแล้ว. ในปฏิโลมนัยแห่งปุคคลวาระนั้นบ้าง ในโอกาสวาระเป็นต้นบ้าง ก็นัยนี้นั่นเทียว. พึงทราบการนับยมก ด้วยอำนาจยมก ๓ อย่างๆ ในวาระทั้งหมดเหล่านี้ด้วยประการอย่างนี้. ก็ในอรรถวินิจฉัย พึงทราบลักษณะในสัจจยมกนี้ดังต่อไปนี้. ก็ในปวัตติวาระแห่งสัจจยมกนี้ ใครๆ ย่อมไม่ได้นิโรธสัจจะก่อนนั่นเทียว. แต่ในวาระทั้งหลาย ๓ ที่เหลือ สมุทยสัจจะและมัคคสัจจะ บุคคลย่อมได้ในปวัตติกาลโดยส่วนเดียวนั่นเทียว. ทุกขสัจจะ บุคคลย่อมได้ในจุติและปฏิสนธิบ้าง ในปวัตติกาลบ้าง. แต่กาล ๓ มีปัจจุบันกาลเป็นต้น บุคคลย่อมได้ แม้ในจุติและปฏิสนธิบ้าง ในปวัตติกาลบ้าง. บุคคลย่อมได้สัจจะใดๆ ในสัจจยมกนี้ พึงทราบอรรถวินิจฉัยด้วยอำนาจแห่งสัจจะนั้นๆ ด้วยประการอย่างนี้. พึงทราบนัยมุขในสัจจยมกนั้นดังต่อไปนี้. สองบทว่า สพฺเพสํ อุปปชฺชนฺตานํ ความว่า โดยที่สุด แม้แก่ชั้นสุทธาวาส. ก็เทวดาชั้นสุทธาวาส แม้เหล่านั้น ย่อมเกิดด้วยทุกขสัจจะนั่นเทียว. คำนี้ว่า ตณฺหาวิปฺปยุตฺตจิตฺตสฺส ท่านกล่าวไว้แล้วเพื่อแสดงการอุบัติแห่งส่วนหนึ่งในทุกขสัจจะและสมุทยสัจจะ. เพราะฉะนั้น คำนั้นพึงถือเอาด้วยอำนาจปัญจโวการภพนั่นเทียว. แต่ในจตุโวการภพ คำนี้ว่า สัจจะแม้อย่างหนึ่ง ย่อมไม่เกิดขึ้นในอุปปาทักขณะของผลสมาบัติ จิตที่วิปปยุตด้วยตัณหา ดังนี้ บัณฑิตไม่ควรถือเอาในสัจจยมกนี้. จตุโวกาเร ปน ตณฺหาวิปฺปยุตฺตสฺส ผลสมาปตฺติจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ เอกมฺปิ สจฺจํ นุปฺปชฺชตีติ (๒) อิทํ อิธ น คเหตพฺพํ ฯ ____________________________ (๒) ม. อิติสทฺโท นตฺถิ ฯ สองบทว่า เตสํ ทุกฺขสจฺจญฺจ ความว่า ชื่อว่าทุกขสัจจะที่เหลือ เว้นตัณหาเสีย ย่อมมีในขณะนั้น คำนั้นท่านกล่าวหมายเอาทุกขสัจจะนั้น. แม้ในอุปปาทขณะแห่งมรรค ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. แต่ในสัจจยมกนั้นรูปนั่นเทียว ชื่อว่าทุกขสัจจะ ธรรมทั้งหลายที่สัมปยุตด้วยมรรคที่เหลือ เป็นธรรมที่พ้นดีแล้วจากสัจจะ. เพราะเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าวแล้วว่า มรรคสัจจะย่อมเกิดขึ้นแก่ชนเหล่านั้น ในอุปปาทักขณะแห่งมรรคในอรูป แต่ทุกขสัจจะย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ชนเหล่านั้น. พึงทราบโอกาสด้วยอำนาจขณะในสัจจยมกนี้อย่างนี้ว่า ในขณะแห่งการอุบัตินั้นและในขณะแห่งการอุบัติขึ้นของจิตที่วิปปยุตด้วยตัณหาที่เป็นไปของผู้เกิดอยู่ทั้ง ในสัจจะที่มีรูปอย่างนั้น แม้เหล่าอื่น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อนภิสเมตาวีนํ ได้แก่ สัตว์ผู้ไม่บรรลุอภิสมัย กล่าวคือจตุสัจจปฏิเวธ คือการแทงตลอดสัจจะ ๔. บทว่า อภิสเมตาวีนํ ได้แก่ อภิสมิตสัจจะ คือสัจจะที่สงบยิ่ง. พึงทราบอรรถวินิจฉัยในบททั้งปวง โดยนัยมุขนี้. ๓. ปริญฺญาวารวณฺณนา ก็เพราะชื่อว่าปริญญา ย่อมไม่มีในโลกุตตรธรรมทั้งหลาย ฉะนั้น สัจจะ ๒ ท่านจึงถือเอาแล้วในสัจจยมกนี้. คำว่า ทุกฺขสจฺจํ ปริชานาติ ในสัจจยมกนั้น ท่านกล่าวไว้แล้วด้วยอำนาจญาตปริญญาและตี คำว่า สมุทยสจฺจํ ปชหติ ท่านกล่าวไว้แล้วด้วยอำนาจญาตปริญญาและปหานปริญญา. พึงทราบเนื้อความในบททั้งปวงด้วยอำนาจแห่งปริญญาทั้งหลายเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล. อรรถกถาสัจจยมก จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ยมกปกรณ์ ภาค ๑ สัจจยมก ปัณณัตติวารเป็นต้น จบ. |