บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ปัจจัย ๙ เหล่าใดที่ท่านกล่าวไว้ว่า อรูปานญฺเญว ปัจจัยที่ตั้งอยู่ในฐานแห่งนามที่เหลือย่อมไม่ได้โดยอนุโลมในปัจจัย ๗ ที่เหลือ เว้นปุเรชาตปัจจัยและอาเสวนปัจจัย ซึ่งตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนิก. จริงอยู่ ธรรมที่ไม่เกิดจากอารัมมณปัจจัยเป็นต้น ย่อมไม่ได้อนันตรปัจจัยเป็นต้น. ก็ปฏิสนธิวิบาก และวิบากทั้งหมดจากปุเรชาตปัจจัย แม้จะไม่เกิดจากอาเสวนะกับกิริยามโนธาตุ ก็ย่อมได้อนันตรปัจจัยเป็นต้น. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปุเรชาตญฺจ อาเสวนญฺจ ฐเปตฺวา ดังนี้ ปัจจัยที่เหลือเว้นอวิคตปัจจัย ย่อมได้โดยอนุโลมในปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย อาเสวนปัจจัย วิปากปัจจัย วิปปยุตตปัจจัย ที่ตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนิก. เว้นวิปากปัจจัยเสีย ที่เหลือย่อมได้โดยอนุโลมในกัมมปัจจัยที่ตั้งอยู่โดยปัจจนิก. เว้นปัจจัยที่อุปการะในที่ทั้งปวง และอัญญมัญญปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัยและอินทริยปัจจัย ที่เหลือย่อมไม่ได้โดยอนุโลมในอาหารปัจจัยและอินทริยปัจจัย ซึ่งตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนิก. ปัจจัยนอกนี้ย่อมได้ด้วยอำนาจที่เหมาะสม เหตุปัจจัย อธิปติปัจจัย อาเสวนปัจจัยและมัคคปัจจัย ย่อมไม่ได้โดยอนุโลมในฌานปัจจัยที่ตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนิก. ในมัคคปัจจัย ที่ตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนิก ย่อมไม่ได้เหตุปัจจัยและอธิปติปัจจัยโดยเป็นอนุโลม. ในวิปปยุตตปัจจัย ที่ตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนิก เว้นปุเรชาตปัจจัยย่อมได้ปัจจัยที่เหลือโดยอนุโลม. บัณฑิตครั้นทราบปัจจัยที่ไม่ได้โดยเป็นอนุโลม ในบรรดาปัจจัยที่ตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนิกอย่างนี้แล้ว พึงทราบด้วยการนับด้วยอำนาจปัจจัยที่นับได้น้อยกว่า ในการเปรียบเทียบกับปัจจัยนั้น. ในมาติกาทั้งหลายมีทุกะมาติกาเป็นต้นใดๆ อันท่านแสดงเริ่มแต่ปัจจัยใดๆ ในนัยทั้งหลายมีทุมูลกนัยเป็นต้น ทุกะมาติกานั้นๆ ท่านแสดงไว้แล้วโดยวิธีใดๆ ด้วยอำนาจปัจจัยที่หาได้และหาไม่ได้ บัณฑิตพึงกำหนดทุกมาติกาเป็นต้นนั้นให้ดี โดยวิธีนั้นๆ. พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะแสดงนัยมีทุมูลกนัยเป็นต้น ด้วยอำนาจเหตุปัจจัยตรัสว่า นเหตุปจฺจยา นารมฺมณปจฺจยา ฯเปฯ นาเสวนปจฺจยา ดังนี้ แล้วตรัสคำใดไว้ คำอธิบายทั้งหมดเช่นเดียวกันจนถึงอาเสวนปัจจัย พึงทราบความเหมือนกันของคำนั้นกับคำว่า นอญฺญ จริงอยู่ พยัญชนะเช่นนั้นพระโบราณาจารย์เขียนไว้เป็นภาษาสันสกฤต เพื่อร้อยกรองตามความทรงจำของตน. อีกอย่างหนึ่ง แม้ในบรรดาปัจจยุบบันธรรมในปัจจนียานุโลมนี้ อัตถิธรรม (อัตถิปัจจัย) ย่อมได้กัมมปัจจัย แต่ไม่ได้อินทริยปัจจัย. อัตถิธรรมนั้น พึงทราบด้วยอำนาจรูปชีวิตินทรีย์ในอสัญญสัตว์ และในปวัตติกาลในปัญจโวการภพ อัตถิธรรมที่ได้มัคคปัจจัยแต่ไม่ได้เหตุปัจจัย. อัตถิธรรมนั้น พึงทราบด้วยอำนาจโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและอุทธัจจสัมปยุตตจิต อัตถิธรรมที่ได้ฌานปัจจัยแต่ไม่ได้มัค บรรดาความในอัตถิปัจจัยนั้น กัมมชรูปยอ่มได้กัมมปัจจัย ด้วยอำนาจนานักขณิกกัมมปัจจัยเท่านั้น. ในปัจจัยเหล่านั้น รูปธรรมย่อมไม่ได้เหตุปัจจัย อธิปติปัจจัย วิปากปัจจัย อินทริยปัจจัย ฌานปัจจัยและมัคคปัจจัย. ปัจจัยที่เข้าได้ทุกที่ไม่มีปัจจนียะ ในอเหตุกจิตไม่มีอธิปติปัจจัยแล. ในอธิการนี้ บัณฑิตพึงทราบวาระแห่งการคำนวณด้วยอำนาจปกิณกะ แม้เหล่านี้โดยไม่งมงาย. ในข้อนั้นมีนัยดังต่อไปนี้ อเหตุกโมหะ และอเหตุวิบาก และกิริยาเท่านั้นเป็นปัจจยุบบันธรรมในพระบาลีนี้ว่า นเหตุปจฺจยา อารมฺมเณ เทฺว เพราะนเหตุปัจจัย ในอารัมมณปัจจัยมี ๒ วาระ คำว่า มี ๒ วาระ ในอธิการนี้ ท่านจึงหมายเอาอกุศลกับอกุศล อัพยากตะกับอัพยากตะ. แม้ในคำที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. ส่วนในอาเสวนปัจจัยย่อมไม่ได้วิบากและกิริยามโนธาตุ เพราะฉะนั้นในที่นี้คำว่า อพฺยากเตนาพฺยากตํ บัณฑิตพึงทราบด้วยอำนาจอเหตุกมโนวิญญาณธาตุฝ่ายกิริยา. สองบทว่า วิปาเก เอกํ ในวิปากปัจจัย มี ๑ วาระ คืออัพยากตะกับอัพยากตะนั่นเอง. คำว่า มคฺเค เอกํ คืออกุศลกับอกุศล. คำว่า เหตุยา ปญฺจ ในเหตุปัจจัย มี ๕ วาระ ในอารัมมณมูลกนัย ท่านกล่าวหมายเอารูปเท่านั้น. จริงอยู่ รูปนั้นย่อมเกิดเพราะอาศัยส่วน ๕ คือ กุศล อกุศล อัพยากตะ กุศลกับอัพยากตะ และอกุศลกับอัพยากตะ. แม้ในปัญจกะทั้งปวงนี้นัยนี้เหมือนกัน. สองบทว่า อญฺญมญฺเญ เอกํ ในอัญญมัญญปัจจัย มี ๑ วาระ ท่านกล่าวหมายเอามหาภูตรูปและวัตถุรูป. จริงอยู่ รูปเหล่านั้นย่อมเกิดเพราะนอารัมมณปัจจัย เพราะอัญญมัญญปจจัย. แม้ในติมูลกนัย ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. คำว่า เหตุยา นว ในเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ ในนาธิปติมูลกนัย ท่านกล่าวไว้แล้วในเหตุปัจจัยตอนอนุโลมนัย. แม้คำว่า ตีณิ = ๓ เป็นต้นก็เช่นเดียวกับคำที่กล่าวแล้วในอนุโลมนัยในหนหลัง. ในติมูลกนัย คำว่า เทฺว = ๒ วาระ เหมือนกับที่กล่าวไว้แล้ว ในนเหตุปัจจัยมูละ อารัมมณปัจ ในนปุเรชาตมูลกนัย คำว่า เหตุยา สตฺต ในเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ในนปุเรชาตปัจจัยในหนหลัง โดยนัยมีอาทิว่า อารุปฺเป กุสลํ เอกํ ขนฺธํ ปฏิจฺจ (ขันธ์ ๓ อาศัยกุศลขันธ์ ๑ ในอรูปภูมิ). แม้ในสัตตกะทั้งปวงก็นัยนี้. ในนกัมมมูลกนัย คำว่า เหตุยา ตีณิ ในเหตุปัจจัยมี ๓ วาระ เป็นต้น เจตนาเท่านั้นเป็นปัจจยุบบัน เพราะฉะนั้น คำว่า ๓ วาระ ท่านจึงกล่าวหมายเอาการเกิดขึ้นเพราะอาศัย กุศล อกุศลและอัพยากตะ. โดยนัยนี้ บัณฑิตพึงทราบการนับจำนวนวาระในอาคตสถาน (ที่มา) ว่า ๑, ๒, ๓, ๕, ๗, ๙ ส่วนการนับจำนวนอีก ๓ ว่า ๔, ๖, ๘ เหล่านี้ไม่มีเลย. อรรถกถาปัจจปัจจนียานุโลมนัย จบ. วรรณนาเนื้อความแห่งปฏิจจวาระ จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๑ อนุโลมติกปัฏฐาน กุสลัตติกะ ปฏิจจวาร ปัจจนียานุโลม ปัจจยปัจจนียานุโลมนัย จบ. |