ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 40 / 1อ่านอรรถกถา 40 / 1อรรถกถา เล่มที่ 40 ข้อ 2อ่านอรรถกถา 40 / 3อ่านอรรถกถา 40 / 1767
อรรถกถา มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๑
มาติกานิกเขปวาร ปัจจยวิภังควาร เหตุปัจจัย

               วรรณนานิทเทสแห่งเหตุปัจจัย               
               บัดนี้เพื่อจะแสดงขยายความปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมด ตามลำดับปัจจัยที่ได้ยกขึ้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำมีอาทิว่า ชื่อว่าเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุเป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุ และแก่รูปที่มีเหตุและธรรมที่สัมปยุตกับเหตุนั้นเป็นสมุฏฐาน ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย.
               บรรดาปัจจัย ๒๔ เหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกเหตุปัจจัยนี้ขึ้นแสดงก่อนกว่าปัจจัยทั้งหมด แล้วก็ทรงจำแนกไปตามลำดับที่ทรงตั้งไว้. แม้ในปัจจัยที่เหลือ ผู้ศึกษาพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกบทที่ควรจำแนกขึ้นก่อน และทำการวิสัชนาโดยนัยนี้เหมือนกัน. ส่วนสัมพันธ์บท (บทที่เกี่ยวข้องกัน) ในอธิการนี้ ปัจจัยใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นในอุทเทสแห่งปัจจัยว่า "เหตุปจฺจโย" ปัจจัยนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบโดยนิทเทสอย่างนี้ เหตุเป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุ และแก่รูปที่มีเหตุนั้นเป็นสมุฏฐาน ด้วยอำนาจเหตุปัจจัย. ผู้ศึกษาพึงทราบสัมพันธ์กับการวิสัชนาบทที่ควรจำแนกด้วยปัจจัยทั้งหมด โดยอุบายนี้.
               บัดนี้มีคำถามว่า ในคำว่า เหตุ เหตุสมฺปยุตฺตกานํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสว่า เหตุสมฺยุตฺกานํ แต่ตรัสว่า เหตุ เหตุสมฺปยุตฺตกานํ ดังนี้ เพราะเหตุไร? ตอบว่า เพราะเป็นการกำหนดปัจจัยและปัจจยุบบัน.
               จริงอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เหตุสมฺปยุตฺตกานํ การกำหนดปัจจัยว่า ธรรมชื่อโน้นเป็นปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลายที่สัมปยุตด้วยเหตุ ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย ดังนี้ ใครๆ ก็ทราบไม่ได้.
               อีกอย่างหนึ่ง เพราะไม่ถือเอาเนื้อความว่า ธรรมทั้งหลายที่สัมปยุตด้วยเหตุ ชื่อว่า เหตุสมฺปยุตฺกานํ ใจความพึงมีว่า เหตุเป็นปัจจัยแก่ธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่สัมปยุตกัน ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย. เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้จักขุวิญญาณจิตเป็นต้นที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ก็ชื่อว่า สมฺปยุตฺตกา (ประกอบกัน) เหมือนกัน ทั้งธรรมมีกุศลเป็นต้นที่ประกอบด้วยเหตุก็ชื่อว่า สมฺปยุตฺตกา ด้วย.
               บรรดาปัจจยุบบันเหล่านั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เหตุนี้เป็นปัจจัยแก่ธรรมชื่อโน้นซึ่งสัมปยุตกัน การกำหนดธรรมที่เป็นปัจจยุบบัน ใครๆ ก็รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงกำหนดทั้งปัจจัยและปัจจยุบบัน จึงตรัสว่า เหตุ เหตุสมฺปยุตฺตกานํ (เหตุเป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุ).
               ข้อนั้นมีอธิบายว่า เหตุที่สัมปยุตเป็นปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลายมีกุศลเป็นต้นที่สัมปยุตด้วยเหตุ ด้วยอำนาจเหตุปัจจัย. แม้ในคำนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ตรัสว่า ปจฺจโย อย่างเดียว ตรัสว่า เหตุปจฺจเยน ด้วย เพื่อปฏิเสธความที่เหตุเป็นปัจจัยโดยประการอื่น.
               จริงอยู่ เหตุนี้เป็นปัจจัยด้วยอำนาจของเหตุปัจจัยก็ได้ ด้วยอำนาจของสหชาตปัจจัยเป็นต้นก็ได้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า เหตุปจฺจเยน ไว้ในอธิการนั้น ก็เพื่อปฏิเสธความที่เหตุนี้เป็นปัจจัยโดยประการอื่น มีสหชาตปัจจัยเป็นต้น.
               ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสว่า ตํสมฺปยุตูตกานํ มาตรัสว่า เหตุสมฺปยุตฺตกานํ.
               ตอบว่า เพราะปัจจัยที่จะอธิบายยังไม่ปรากฏ.
               จริงอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เหตุสมฺปยุตฺตกานํ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น จะชื่อว่า ตํสมฺปยุตฺตกา ด้วยธรรมที่เป็นเหตุอันใด ธรรมที่เป็นเหตุอันนั้นซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าก็พึงทรงชี้แจงว่า ธรรมชื่อนี้ ยังไม่ปรากฏ เพราะข้อที่ธรรมนั้นยังไม่ปรากฏ บัณฑิตจะเรียกธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุอันใดนั้นว่า ตํสมฺปยุตฺตกานํ ดังนี้ เพื่อจะแสดงเหตุอันนั้นโดยย่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เหตุสมฺปยุตฺตกานํ.
               ส่วนในคำว่า ตํสมุฏฺฐานานํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้ศัพท์ว่า ตํ นั้น เพราะปัจจัยที่ควรอธิบายปรากฏแล้ว.
               จริงอยู่ ในอธิการนี้มีเนื้อความดังนี้ว่า เหตุเหล่านั้นด้วย ธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุด้วย เป็นสมุฏฐานแห่งรูปเหล่านี้ เพราะฉะนั้น รูปเหล่านี้จึงชื่อว่า มีเหตุและธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุเป็นสมุฏฐาน. เหตุเป็นปัจจัยแก่รูปเหล่านั้น อันมีเหตุและธรรมอันสัมปยุตด้วยเหตุนั้นเป็นสมุฏฐาน. อธิบายว่า แก่รูปอันเกิดจากเหตุและธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุ. ทรงถือเอารูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานด้วยคำนี้.
               ถามว่า ก็รูปนั้นย่อมเกิดขึ้น แม้ด้วยธรรมอื่นจากจิตก็ได้หรือ ตอบว่า เกิดขึ้นได้.
               จริงอยู่ จิตและเจตสิกแม้ทั้งหมดเกิดพร้อมกันแล้ว จึงให้รูปเกิดขึ้นได้ (เว้นจากจิต คือเจตสิก) แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยโลกียธรรมเทศนาว่า รูปอันมีจิตเป็นสมุฏฐานตามวิธีนั้น เพราะความที่จิตเป็นใหญ่. เพราะเหตุนั้นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ธรรมคือจิตและเจตสิก เป็นปัจจัยแก่รูปซึ่งมีจิตเป็นสมุฏฐานด้วยอำนาจของสหชาตปัจจัย.
               ถามว่า ถ้าอย่างนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในอธิการนี้ว่า ตํสมุฏฺฐานานํ ไม่ตรัสว่า จิตฺสมุฏฺฐานานํ ดังนี้ เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะสงเคราะห์รูปที่ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐานเข้ามาด้วย.
               จริงอยู่ ในปัญหาวาระมีอาคตสถานว่า เหตุที่เป็นวิปากาพยากตะเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตด้วยเหตุ และแก่กัมมชรูปในขณะปฏิสนธิ ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย. พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสว่า จิตฺสมุฏฺฐานานํ แต่ตรัสว่า ตํสมุฏฺฐานานํ ไว้ในอธิการนี้ ก็เพื่อจะสงเคราะห์กัมมชรูปนั้นไว้ด้วย.
               บทนั้นมีใจความว่า เหตุเหล่านั้นและธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุ แม้จะไม่ได้ยังจิตตชรูปให้เกิดได้ แต่ก็จัดเป็นสมุฏฐานแห่งรูปเหล่านั้นด้วยอำนาจสหชาตปัจจัยเป็นต้น เพราะเหตุนั้น รูปเหล่านั้นจึงชื่อว่า มีเหตุและธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุนั้นเป็นสมุฏฐาน. เหตุเป็นปัจจัยแก่กัมมชรูปเหล่านั้น ซึ่งมีเหตุและธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุนั้นเป็นสมุฏฐาน. เหตุเป็นปัจจัยแก่จิตตชรูปในปวัตติกาล และแก่กัมมชรูปในปฏิสนธิกาลด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย. แม้อรรถในอาคตสถานว่า ตํสมุฏฺฐานานํ ในบทอื่นๆ ผู้ศึกษาก็พึงทราบอธิบายโดยอุบายนี้.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร เหตุนี้จึงเป็นเหตุปัจจัยแก่กัมมชรูปในปฏิสนธิกาลอย่างเดียว ไม่เป็นเหตุปัจจัยในปวัตติกาลด้วย.
               ตอบว่า เพราะว่ากัมมชรูปมีความเป็นไปเกี่ยวเนื่องกับจิตใจปฏิสนธิกาล.
               จริงอยู่ ในปฏิสนธิกาล กัมมชรูปมีความเป็นไปเกี่ยวเนื่องกับจิต คือย่อมเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้ด้วยอำนาจของจิต. เพราะว่าในขณะนั้นจิตไม่สามารถจะยังจิตตชรูปให้เกิดขึ้นได้. รูปแม้เหล่านั้นเว้นจิตเสีย ย่อมไม่สามารถจะเกิดขึ้น และตั้งอยู่ได้. เพราะเหตุนั้นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า นามและรูปย่อมเกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย เมื่อวิญญาณนั้นยังดำรงอยู่ นามและรูปจึงเกิดขึ้นได้.
               แต่ในปวัตติกาล กัมมชรูปเหล่านั้น แม้จิตจะยังมีอยู่ ก็มีความเป็นไปเกี่ยวเนื่องด้วยกรรมเท่านั้น หากเกี่ยวเนื่องด้วยจิตไม่. อนึ่ง สำหรับบุคคลผู้เข้านิโรธ แม้ไม่มีจิตเกิด กัมมชรูปก็ยังเกิดได้.
               ถามว่า เพราะเหตุไร ในปฏิสนธิขณะ จิตจึงไม่สามารถให้จิตตชรูปเกิดขึ้นได้
               ตอบว่า เพราะมีกำลังอ่อน ด้วยถูกกำลังกรรมซัดไป และยังไม่มีที่อาศัยอันมั่นคง.
               จริงอยู่ ในปฏิสนธิกาล จิตนั้นถูกกำลังกรรมซัดไป และชื่อว่ายังไม่มีที่อาศัยอันมั่นคง เพราะยังไม่มีวัตถุรูปที่เป็นปุเรชาตปัจจัย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่ามีกำลังอ่อน.
               เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตจึงไม่สามารถให้รูปเกิดขึ้นได้ เหมือนคนที่พอตกลงไปในเหวไม่สามารถจะแสดงศิลปใดๆ ได้. ก็กัมมชรูปเท่านั้นตั้งอยู่ในฐานแห่งรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานสำหรับบุคคลนั้น. และจิตนั้นก็ตั้งอยู่ในฐานะเป็นพืชแห่งกัมมชรูปเท่านั้น.
               ส่วนกรรมเปรียบเหมือนที่นา กิเลสเปรียบเหมือนน้ำ สำหรับกัมมชรูปนั้น เพราะฉะนั้น ในขณะปฏิสนธิ รูปกายย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยอานุภาพของจิต เปรียบเหมือนเมื่อมีที่นาและน้ำ ต้นไม้ย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยอานุภาพแห่งเมล็ดพืชในคราวเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก. แม้เว้นจากจิต กัมมชรูปก็ย่อมเป็นไปได้เพราะกรรม เปรียบเหมือนเมล็ดพืชหมดแล้ว ต้นไม้ก็เจริญเติบโตขึ้นได้ด้วยอานุภาพแห่งดินและน้ำนั่นเอง.
               สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า กรรมเปรียบเหมือนที่นา วิญญาณเปรียบเหมือนพืช ตัณหาเปรียบเหมือนยาง.
               ก็แลเนื้อความนี้ผู้ศึกษาพึงถือเอาด้วยอำนาจแห่งโอกาส (ภูมิ) เท่านั้น.
               จริงอยู่ โอกาสมี ๓ คือโอกาสแห่งนาม โอกาสแห่งรูป โอกาสแห่งนามและรูป.
               บรรดาโอกาสทั้ง ๓ นั้น อรูปภพ ชื่อว่าโอกาสแห่งนาม. เพราะชื่อว่าในอรูปภพนั้น อรูปธรรมเท่านั้นย่อมเกิดขึ้นโดยเว้นซึ่งรูปเป็นปัจจัยแม้เพียงหทัยวัตถุ.
               อสัญญภพ ชื่อว่าโอกาสแห่งรูป เพราะว่าในอสัญญภพนั้น รูปธรรมย่อมเกิดขึ้นโดยเว้นซึ่งนามเป็นปัจจัย แม้เพียงปฏิสนธิจิต.
               ปัญจโวการภพ ชื่อว่าโอกาสแห่งนามและรูป เพราะว่าในปัญจโวการภพนั้น ในปฏิสนธิกาลเว้นแม้เพียงวัตถุรูป นามธรรมย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ และเว้นปฏิสนธิจิตเสีย รูปธรรมที่เกิดจากกรรมย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เหมือนกัน ทั้งรูปธรรมและนามธรรมย่อมเกิดขึ้นคู่กัน.
               เหมือนอย่างว่า ในเรือนหลวงที่มีเจ้าหน้าที่ มีคนเฝ้าประตูเว้นคำสั่งของพระราชาเสีย ใครจะเข้าไปก่อนไม่ได้ แต่ภายหลังจากได้รับอนุญาต แม้จะเว้นคำสั่งก็เข้าไปได้ ด้วยอานุภาพและคำสั่งคราวก่อน ฉันใด ในปัญจโวการภพ เว้นปฏิสนธิวิญญาณ อันมีสหชาตปัจจัยเป็นต้น เป็นปัจจัย รูปที่จะเกิดครั้งแรก ด้วยสามารถปฏิสนธิไม่มี แต่ภายหลังปฏิสนธิกาล แม้จะเว้นปฏิสนธิวิญญาณ ซึ่งมีอานุภาพแห่งสหชาตปัจจัยเป็นต้นเป็นปัจจัย รูปที่เกิดด้วยอำนาจกรรมในก่อน ย่อมเป็นไปได้ เพราะกรรมนั่นแล ฉันนั้น.
               ส่วนอสัญญภพย่อมไม่เป็นโอกาสแห่งอรูป เพราะฉะนั้น ในอสัญญภพนั้น เว้นนามที่เป็นปัจจัยเสีย รูปก็ย่อมเป็นไปได้ เพราะเป็นภูมิ (ที่เกิด) ของสัตว์ที่ไม่มีสัญญา เปรียบเหมือนในเรือนว่างที่ไม่มีเจ้าของ หรือในเรือนของตน คนย่อมเข้าไปได้ฉะนั้น. แม้อรูปภพ ย่อมไม่เป็นโอกาสแห่งรูป เพราะฉะนั้น ในอรูปภพนั้นเว้นรูปที่เป็นปัจจัยเสีย นามธรรมย่อมเป็นไปได้ เพราะเป็นภูมิของสัตว์ผู้รู้แจ้ง.
               ก็ปัญจโวการภพเป็นโอกาสแห่งรูปและนาม เพราะฉะนั้น ในปฏิสนธิกาลในปัญจโวการภพนี้ เว้นนามที่เป็นปัจจัยแล้ว รูปจะเกิดขึ้นได้ย่อมไม่มีแล. เหตุนี้ปฏิสนธิจิตจึงเป็นปัจจัยแก่กัมมชรูปในปฏิสนธิกาลเท่านั้น หาเป็นในปวัตติกาลไม่ ดังพรรณนามาแล้ว แล.
               ถามว่า ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เหตุเป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับเหตุ ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย เนื้อความนี้ทั้งหมดทรงถือเอาแล้วมิใช่หรือ เมื่อเป็นอย่างนั้น คำนี้ว่า เหตุเป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยเหตุ และแก่รูปที่มีเหตุนั้นเป็นสมุฏฐานดังนี้ พระองค์ทรงถือเอาอีกเพราะเหตุไร.
               ตอบว่า เพราะทรงปฏิเสธความเป็นปัจจัยแก่กัมมชรูปเป็นต้น ในปวัตติกาล.
               จริงอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น กัมมชรูปและรูปที่มีอุตุและอาหารเป็นสมุฏฐานเหล่าใด เกิดขึ้นในขณะเดียวกับเหตุในปวัตติกาล เหตุต้องเป็นเหตุปัจจัยแก่รูปเหล่านั้นได้ แต่ว่าเหตุหาได้เป็นปัจจัยแก่รูปเหล่านั้นไม่ เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาคำนั้นด้วย ก็เพื่อจะปฏิเสธความที่เหตุเป็นปัจจัยแก่กัมมชรูปเป็นต้นนั้น (ในปวัตติกาล).
               บัดนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยในเหตุปัจจัยนี้ ด้วยอำนาจแห่งบทเหล่านี้ว่า นานปฺปการเภทโต (โดยการจำแนกโดยประการต่างๆ) ปจฺจยุปฺปนฺนโต (โดยปัจจยุบบัน) ต่อไป.
               บทว่า นานปฺปการเภทโต มีอธิบายว่า ชื่อว่าเหตุนี้โดยชาติมี ๔ อย่าง คือกุศลชาติ อกุศลชาติ วิปากชาติและกิริยาชาติ.
               บรรดาชาติ ๔ อย่างนั้น กุศลเหตุ ว่าโดยลำดับแห่งภูมิมี ๔ โดยแจกเป็นกามาวจรภูมิเป็นต้น. อกุศลเหตุ เป็นกามาวจรอย่างเดียว. วิปากเหตุมี ๔ อย่างโดยจำแนกเป็นกามาวจรเป็นต้น. กิริยาเหตุมี ๓ คือกามาวจร รูปาวจรและอรูปาวจร.
               บรรดาเหตุเหล่านั้น กามาวจรกุศลเหตุ ว่าโดยชื่อมี ๓ ด้วยอำนาจอโลภเหตุเป็นต้น.
               แม้ในรูปาวจรกุศลเหตุเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. อกุศลเหตุมี ๓ ด้วยอำนาจโลภเหตุเป็นต้น. ส่วนการจำแนกเหตุนั้นๆ โดยประการต่างๆ ย่อมมีด้วยอำนาจการประกอบกับจิตนั้นๆ นั่นแหละ.
               ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยโดยประการต่างๆ ในเหตุนี้เท่านี้ก่อน.
               บทว่า ปจฺจยุปฺปนฺนโต มีเนื้อความว่า ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยอย่างนี้ว่า ธรรมเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นเพราะปัจจัยนี้ เหตุนี้ ปัจจัยนี้จึงชื่อว่าเป็นปัจจัยแก่นามธรรมเหล่านี้. บรรดาปัจจัยเหล่านั้นพึงทราบวินิจฉัยในเหตุปัจจัยนี้ก่อน.
               กามาวจรกุศลเหตุ เป็นเหตุปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตกับตน และรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานในกามภพ และรูปภพทั้งหลาย. ในอรูปภพเป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตเท่านั้น.
               รูปาวจรกุศลเหตุ เป็นเหตุปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุต และรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานในกามภพ และรูปภพเท่านั้น.
               อรูปาวจรกุศลเหตุ เหมือนกับกามาวจรกุศลเหตุนั่นเอง.
               โลกุตตรกุศลเหตุ และอกุศลเหตุก็เหมือนกัน.
               ส่วนกามาวจรวิบากเหตุ เป็นเหตุปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตกับตนเฉพาะในกามภพเท่านั้น เป็นเหตุปัจจัยแก่กัมมชรูปในปฏิสนธิกาล และเป็นปัจจัยแก่รูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานในปวัตติกาล.
               รูปาวจรวิบากเหตุ เป็นเหตุปัจจัยแก่ธรรมมีประการดังกล่าวแล้วในรูปภพนั่นเอง. อรูปาวจรวิบากเหตุ เป็นเหตุปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตเท่านั้น ในอรูปภพ. โลกุตตรวิบากเหตุ เป็นเหตุปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตและแก่รูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ในกามภพและรูปภพ เป็นเหตุปัจจัยแก่อรูปธรรมเท่านั้นในอรูปภพ. ส่วนในกิริยาเหตุ มีนัยแห่งการเป็นปัจจัยเหมือนกับกุศลเหตุในภูมิทั้ง ๓ ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัย แม้โดยธรรมที่เป็นปัจจยุบบันในเหตุปัจจัยนี้ ดังพรรณนามาฉะนี้แล.

               วรรณนานิทเทสแห่งเหตุปัจจัย จบ.               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๑ มาติกานิกเขปวาร ปัจจยวิภังควาร เหตุปัจจัย จบ.
อ่านอรรถกถา 40 / 1อ่านอรรถกถา 40 / 1อรรถกถา เล่มที่ 40 ข้อ 2อ่านอรรถกถา 40 / 3อ่านอรรถกถา 40 / 1767
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=40&A=31&Z=33
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=9146
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=9146
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๕  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๕๗
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :