บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
จริงอยู่ ปัจจัยนี้กับอัตถิปัจจัยต่างกันเพียงพยัญชนะเท่านั้น เนื้อความหาต่างกันไม่. วรรณนานิทเทสแห่งอวิคตปัจจัย จบ. ----------------------------------------------------- วรรณนาปัจจัยนิทเทสวาระ (บาลีอรรถกถาหน้า ๕๑๘-๕๒๙) ๑. โดยภาวะที่ธรรมหลายๆ อย่าง เป็นปัจจัยอย่างเดียวกัน ๒. โดยภาวะที่ธรรมอย่างเดียว เป็นปัจจัยได้หลายๆ อย่าง ๓. โดยภาวะที่ปัจจัยอย่างเดียว เป็นปัจจัยได้หลายๆ อย่าง ๔. โดยปัจจัยที่เป็นสภาคะกัน ๕. โดยปัจจัยที่เป็นวิสภาคะกัน ๖. โดยปัจจัยที่เป็นคู่กัน ๗. โดยเป็นชนกปัจจัย และอชนกปัจจัย ๘. โดยปัจจัยที่เข้ากับธรรมได้ทั้งหมดและไม่ทั้งหมด ๙. โดยการกำหนดมีอาทิว่า รูปเป็นปัจจัยแก่รูปเป็นต้น ๑๐. โดยการจำแนกโดยภพ. ใน ๑๐ อย่างนั้น ๑. บทว่า โดยภาวะที่ธรรมหลายๆ อย่างเป็นปัจจัยอย่างเดียวกัน ความว่า ธรรมหลายอย่างเป็นปัจจัยโดยความเป็นอันเดียวกัน ในปัจจัย ๒๓ ที่เหลือเว้นกัมมปัจจัยเหล่านี้. ส่วนกัมมปัจจัย ได้แก่เจตนาธรรมอย่างเดียวเท่านั้น. ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยโดยภาวะที่ธรรมหลายๆ อย่างเป็นปัจจัยอย่างเดียวกัน ในอธิการนี้อย่างนี้ก่อน. ๒. บทว่า โดยภาวะที่ธรรมอย่างเดียวเป็นปัจจัยหลายๆ อย่าง ความว่า ในเหตุปัจจัยก่อน ธรรมอย่างหนึ่งคืออโมหะ ไม่เป็นเพียงปุเรชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย ฌานปัจจัยเท่านั้น (แต่) เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๒๐ ที่เหลือ. อโลภะและอโทสะ แม้ไม่เป็นอินทริยปัจจัยและมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๘ ที่เหลือ. โลภะ โมหะ แม้ไม่เป็นวิปากปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๗ ที่เหลือ. โทสะ แม้ไม่เป็นอธิปติปัจจัย ก็เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๖ ที่เหลือ. ในอารัมมณปัจจัย รูปายตนะเป็นปัจจัย ๔ อย่าง คืออารัมมณปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัยแก่จักขุวิญญาณธาตุ มโนธาตุและอเหตุกมโนวิญญาณธาตุ แต่ยังเป็นปัจจัยด้วยอำนาจของอารัมมราธิปติปัจจัยและอารัมมณูปนิสสยปัจจัยอีก แก่สเหตุกมโนวิญญาณธาตุ. ผู้ศึกษาพึงทราบความที่อารัมมณปัจจัยธรรมทั้งหมด เป็นปัจจัยหลายอย่างโดยนัยนี้. ในอธิปติปัจจัย ผู้ศึกษาพึงทราบความที่อารัมมณาธิปติเป็นปัจจัยหลายอย่าง ตามนัยที่กล่าวแล้วในอารัมมณปัจจัย. ในธรรมที่เป็นสหชาตาธิปติ วิมังสาธิปติ เป็นปัจจัย ๒๐ อย่าง เหมือนอโมหะเหตุ. ฉันทะไม่เป็นเหตุปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย อินทริยปัจจัย ฌานปัจจัย และมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๗ ที่เหลือ. จิตตะไม่เป็นเหตุปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย กัมมปัจจัย ฌานปัจจัยและมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๙ ที่เหลือ. วิริยะไม่เป็นเหตุปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัยและฌานปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๙ ที่เหลือ. ในอนันตรปัจจัย บรรดาขันธ์ ๔ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัย เป็นต้นว่า "จกฺขุวิญฺญาณธาตุ". เวทนาขันธ์ไม่เป็นเหตุปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัยและมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๙ ที่เหลือ. สัญญาขันธ์ไม่เป็นอินทริยปัจจัยและฌานปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๗ ที่เหลือ. ในสังขารขันธ์ เหตุเป็นปัจจัยตามนัยที่กล่าวแล้วในเหตุปัจจัย ฉันทะและวิริยะเป็นปัจจัยตามนัยที่กล่าวแล้วในอธิปติปัจจัย. ผัสสะไม่เป็นเหตุปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อินทริยปัจจัย ฌานปัจจัยและมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๘ ที่เหลือ. เจตนาไม่เป็นเหตุปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย อินทริยปัจจัย ฌานปัจจัยและมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๙ ที่เหลือ. วิตกไม่เป็นเหตุปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัยและอินทริยปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๙ ที่เหลือ. วิจารไม่เป็นมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๘ ที่เหลือ. ปีติเป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๘ เหล่านั้นเหมือนกัน. เอกัคคตาไม่เป็นเหตุปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย กัมมปัจจัยและอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๒๐ ที่เหลือ. สัทธาไม่เป็นเหตุปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย ฌานปัจจัยและมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๘ ที่เหลือ. สติเป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๙ คือปัจจัย ๑๘ เหล่านั้นและมัคคปัจจัย. ชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๘ ที่กล่าวแล้วในสัทธา. หิริและโอตตัปปะเป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๗ ที่เหลือ โดยเอาอินทริยปัจจัยออก. เจตสิกที่เป็นคู่ๆ กัน มีกายปัสสัทธิ์เป็นต้น และบรรดาเยวปนกะ เจตสิกคือ อธิโมกข์ มนสิการ ตัตรมัชฌัตตา กรุณาและมุทิตาก็เหมือนกัน คือเป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๗ เหล่านั้น. ส่วนวิรตีเจตสิกเป็นปัจจัย ๑๘ อย่าง คือปัจจัย ๑๗ เหล่านั้นและมัคคปัจจัย. มิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย ๑๗ อย่าง โดยนำวิปากปัจจัยออก. มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะและมิจฉาอาชีวะ เป็นปัจจัย ๑๙ อย่าง คือปัจจัย ๑๗ เหล่านั้น และกัมมปัจจัยกับอาหารปัจจัย. เจตสิกธรรมเหล่านี้ คืออหิริกะ อโนตตัปปะ มานะ ถีนะ มิทธะ อุทธัจจะ ไม่เป็นเหตุปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย กัมมาปัจจัย วิปากปัจจัย อาหารปัจจัย อินทริยปัจจัย ฌานปัจจัยและมัคคปัจจัย แต่เป็นปัจจัยด้วยอำนาจปัจจัย ๑๖ ที่เหลือ. วิจิกิจฉา อิสสา มิจฉริยะและกุกกุจจะเป็นปัจจัย ๑๕ อย่าง โดยเอาอธิปติปัจจัยออกจากนั้น. พึงทราบความที่วิญญาณขันธ์เป็นปัจจัยหลายอย่างตามนัยที่กล่าวแล้วในอธิปติปัจจัย. แม้ในสมนันตรปัจจัยก็นัยนี้เหมือนกัน. ในสหชาตปัจจัย บรรดาขันธ์ ๔ ก่อน พึงทราบความเป็นธรรมหนึ่งๆ เป็นปัจจัยหลาย มหาภูตรูป ๔ เป็นปัจจัย ๙ อย่าง คืออารัมมณปัจจัย อารัมมณาธิปติปัจจัย สหชาตปัจจัย อัญญ หทัยวัตถุเป็นปัจจัย ๑๐ อย่าง คือปัจจัย ๙ เหล่านั้น และวิปปยุตตปัจจัย. ในอัญญมัญญปัจจัย ไม่มีธรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน (คือเหมือนกับสหชาตปัจจัย). ในนิสสยปัจจัย จักขายตนะเป็นต้นเป็นปัจจัย ๙ อย่าง คืออารัมมณปัจจัย อารัมมณาธิปติปัจจัย นิสสยปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย อินทริยปัจจัย วิปปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคต ในอุปนิสสยปัจจัย ไม่มีธรรมที่ไม่เคยกล่าวมาก่อน. ในปุเรชาตปัจจัย รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะและรสายตนะ เป็นปัจจัย ๖ อย่าง คืออารัมมณปัจจัย อารัมมณาธิปติปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย ในปุเรชาตปัจจัยนี้มีคำที่ยังไม่ได้อธิบายเพียงเท่านี้. ในปัจฉาชาตปัจจัยเป็นต้น ไม่มีธรรมที่ยังไม่เคยมีมาก่อน. ในอาหารปัจจัย กพฬีการาหารเป็นปัจจัย ๖ อย่าง คืออารัมมณปัจจัย อารัมมณาธิปติปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย อาหารปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย. ในอินทริยปัจจัย เป็นต้น ไม่มีธรรมที่ยังไม่เคยมีมา. ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัย แม้โดยภาวะที่ธรรมอย่างเดียว เป็นปัจจัยได้หลายอย่างในอธิการนี้ ดังพรรณนามาแล้วแล. ๓. บทว่า โดยภาวะทีปัจจัยเดียว เป็นปัจจัยได้หลายอย่าง ความว่า ธรรมใดเป็นปัจจัยแห่งปัจจยุบบันชนิดใดชนิดหนึ่ง ในบรรดาเหตุปัจจัยเป็นต้น โดยอาการใด โดยอรรถใด ธรรมนั้นไม่ละอาการนั้น อรรถนั้น ถึงความเป็นปัจจัยหลายอย่างแก่ธรรมเหล่านั้นในขณะนั้นเอง โดยอาการใด โดยอรรถใด อย่างอื่นอีก. ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยธรรมนั้นโดยภาวะที่เป็นปัจจัยได้หลายอย่าง โดยอาการนั้น โดยอรรถนั้น คือ อโมหะเป็นเหตุปัจจัย อโมหะนั้นไม่ละอรรถแห่งเหตุปัจจัยนั้นเลย ถึงความเป็นปัจจัยหลายอย่างโดยอาการ ๑๑ อีก คืออธิปติปัจจัย สหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย วิปากปัจจัย อินท อโลภะและอโทสะถึงความเป็นปัจจัยหลายอย่าง ด้วยอำนาจปัจจัยที่เหลือจาก ๑๑ ปัจจัยนั้น โดยนำปัจจัย ๓ คืออธิปติปัจจัย อินทริยปัจจัยและมัคคปัจจัยออก. อโลภะและอโทสะ ทั้งสองนี้ย่อมได้ในเหตุปัจจัยและวิปากปัจจัยด้วย. ส่วนในกุศลและกิริยา ขาดวิปากปัจจัยไป. โลภะโทสะและโมหะ ย่อมถึงความเป็นปัจจัยหลายอย่างด้วยอำนาจปัจจัยที่เหลือ เว้นปัจจัย ๔ คือปัจจัย ๓ เหล่านั้นและวิปากปัจจัย. อารัมมณปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งอารัมมณปัจจัยนั้นเลย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยหลายอย่าง ด้วยอาการ ๗ อีก คืออารัมมณาธิปติปัจจัย นิสสยปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย วิปปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย. นี้เป็นกำหนดอย่างสูงสุดในอารัมมณปัจจัยนี้. ก็เมื่ออรูปธรรมหรือรูปธรรม ที่เป็นอดีตและอนาคต เป็นอารัมมณปัจจัยมีอยู่ ย่อมได้ปัจจัยเพิ่มขึ้นเพียงอารัมมณาธิปติปัจจัยและอารัมมณูปนิสสยปัจจัยเท่านั้น. วิมังสา ในอธิปติปัจจัย เหมือนกับอโมหะ. ฉันทะ ไม่ละอรรถแห่งอธิปติปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยหลายอย่างโดยอาการ ๘ อีก คือสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย วิปากปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย วิปปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย. วิริยะ ถึงความเป็นปัจจัยหลายอย่างด้วยอาการ ๑๐ ด้วยอำนาจปัจจัยเหล่านี้ คือปัจจัย ๘ เหล่านั้น และอินทริยปัจจัยกับมัคคปัจจัย. จิตตะ ถึงความเป็นปัจจัยหลายอย่าง โดยอาการ ๑๐ นอกเหนือจากอธิปติปัจจัย ด้วยอำนาจการนำมัคคปัจจัยออกจากนั้น แล้วเพิ่มอาหารปัจจัยเข้าไป. ส่วนอารัมมณาธิปติปัจจัย ผู้ศึกษาพึงทราบว่าเป็นปัจจัยหลายอย่าง ตามนัยที่กล่าวแล้วในอารัมมณปัจจัยในหนหลัง. อนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยหลายอย่าง ด้วยอาการ ๕ อีก คืออุปนิสสยปัจจัย กัมมปัจจัย อาเสวนปัจจัย นัตถิปัจจัยและวิคตปัจจัย เจตนาในอริยมรรคเท่านั้น ย่อมได้ความเป็นกัมมปัจจัย ในอนันตรปัจจัยนี้ ธรรมที่เหลือหาได้ไม่. สหชาตปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งสหชาตปัจจัยเลย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยหลายอย่าง ด้วยอาการ ๑๔ อีก คือเหตุปัจจัย อธิปติปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย กัมมปัจจัย วิปากปัจจัย อาหารปัจจัย อินทริย แม้ในอัญญมัญญปัจจัย ก็นัยนี้เหมือนกัน. นิสสยปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งนิสสยปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยหลาย ในอุปนิสสยปัจจัย อารัมมณูปนิสสยปัจจัย เหมือนกับอารัมมณาธิปติปัจจัย. อนันตรูปนิสสยปัจจัยไม่ละอรรถแห่งอนันตรรูปนิสสยปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยหลาย อริยมรรคเจตนาเท่านั้น ย่อมได้ความเป็นกัมมปัจจัย ในอนันตรูปนิสสยปัจจัยนี้ ธรรมที่เหลือหาได้ไม่. ปกตูปนิสสยะ ก็คือปกตูปนิสสย ปุเรชาตปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งปุเรชาตปัจจัยของตน ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่าง โดยอาการ ๘ อีก คืออารัมมณปัจจัย อารัมมณาธิปติปัจจัย นิสสยปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย อินทริยปัจจัย วิปปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย. นี้เป็นการแสดงปัจจัยที่มากที่สุด แต่ในอารัมมณปุเรชาต ปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งปัจฉาชาตปัจจัยของตน ย่อมถึงความเป็นปัจจัยหลาย อาเสวนปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งอาเสวนปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่างโดยอาการ ๕ คืออนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย นัตถิปัจจัยและวิคตปัจจัย. กัมมปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งกัมมปัจจัยที่เป็นกัมมปัจจัยในขณะเดียวกัน (เอกขณิกกัมม ที่เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลาย วิปากปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งวิปากปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่างด้วยอาการ ๑๔ คือเหตุปัจจัย อธิปติปัจจัย สหชาตปัจจัย อัญญมัญ ในอาหารปัจจัย กวฬีการาหารไม่ละอรรถแห่งอาหารปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่างด้วยอาการ ๒ อย่าง คืออัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย. อาหาร ๓ ที่เหลือไม่ละอรรถแห่งอาหารปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่างด้วยอาการ ๑๑ คืออธิปติปัจจัย สหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิส ในอินทริยปัจจัย รูปอินทรีย์ ๕ ไม่ละอรรถแห่งอินทริยปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่าง โดยอาการ ๕ คือนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย วิปปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัย อวิคต แม้รูปชีวิตินทรีย์ก็ไม่ละอรรถแห่งอินทริยปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่างโดยอาการ ๒ คืออัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย. อรูปอินทรีย์ไม่ละอรรถแห่งอินทริยปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่างโดยอาการ ๑๓ คือเหตุปัจจัย อธิปติปัจจัย สหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย สัมปยุตต ฌานปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งฌานปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่างโดยอาการ ๑๐ คือสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย วิปากปัจจัย อินทริยปัจจัย มัคคปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย วิปปยุตตปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย. มัคคปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งมัคคปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่างโดยอาการ ๑๒ คือปัจจัย ๑๐ ที่กล่าวแล้วในฌานปัจจัย และเหตุปัจจัยกับอธิปติปัจจัย ตามสมควร. สัมปยุตตปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งสัมปยุตตปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่างโดยอาการ ๑๓ คือเหตุปัจจัย อธิปติปัจจัย สหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย กัมมปัจจัย วิปากปัจจัย อาหารปัจจัย อินทริยปัจจัย ฌานปัจจัย มัคคปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย. วิปปยุตตปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งวิปปยุตตปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่างด้วยอาการ ๑๗ ตามสมควร คือปัจจัยที่เหลือ โดยนำเอาปัจจัย ๖ ออก คืออนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย อา พึงทราบวิภาคแห่งปัจจัยแห่งรูปและอรูปในวิปปยุตตปัจจัยนั้น. อัตถิปัจจัย ไม่ละอรรถแห่งอัตถิปัจจัย ย่อมถึงความเป็นปัจจัยอีกหลายอย่างโดยอาการ ๑๘ ตามสมควร ด้วยอำนาจปัจจัยที่เหลือ ด้วยนำปัจจัย ๕ ออก คืออนันตรปัจจัย สมนัน นัตถิปัจจัย และ วิคตปัจจัย เหมือนกับอนันตรปัจจัย. อวิคตปัจจัย เหมือนกับอัตถิปัจจัย. ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยแม้โดยภาวะที่ปัจจัยอย่างเดียวเป็นปัจจัยได้หลายอย่างในอธิการนี้ ดังพรรณนามาแล้ว. ๔. บทว่า โดยเป็นปัจจัยที่เป็นสภาคกัน ความว่า จริงอยู่ ในปัจจัย ๒๔ นี้ อนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย อนันตรูปนิสสยปัจจัย อาเสวนาปัจจัย นัตถิปัจจัยและวิคตปัจจัยเป็นภาคกัน. อนึ่ง อารัมมณปัจจัย อารัมมณาธิปติปัจจัยและอารัมมณูปนิสสยปัจจัย ก็เป็นสภาคกันแล. พึงทราบวินิจฉัยแม้ด้วยอำนาจของปัจจัยที่เป็นสภาคกันในอธิการนี้ ด้วยอุบายนี้. ๕. บทว่า โดยเป็นปัจจัยที่เป็นวิสภาคกัน ความว่า ก็บรรดาปัจจัยเหล่านี้ ปุเรชาตปัจจัยเป็นวิส ๖. บทว่า โดยเป็นปัจจัยที่เป็นคู่กัน มีอธิบายว่า ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยด้วยอำนาจของปัจจัยที่เป็นคู่กันในปัจจัยเหล่านี้ ด้วยเหตุเหล่านี้ คือโดยความมีอรรถเหมือนกัน มีศัพท์เหมือนกัน มีกาลที่ผิดกัน เป็นเหตุและเป็นผลกัน และเป็นปฏิปักษ์ต่อกันและกัน. จริงอยู่ อนันตรปัจจยกับสมนันตรปัจจัย จัดเป็นคู่หนึ่ง เพราะมีเนื้อความเหมือนกัน. นิสสยปัจจัยกับอุปนิสสยปัจจัย จัดเป็นคู่หนึ่ง เพราะมีศัพท์เหมือนกัน. ปุเรชาตปัจจัยกับปัจฉาชาตปัจจัย จัดเป็นคู่หนึ่ง เพราะมีกาลเป็นปฏิปักษ์กัน. กัมมปัจจัยกับวิปากปัจจัย จัดเป็นคู่หนึ่ง เพราะเป็นเหตุและเป็นผลกัน. สัมปยุตตปัจจัยกับวิปปยุตตปัจจัย จัดเป็นคู่หนึ่ง เพราะเป็นปฏิปักษ์ซึ่งกันและกัน. อัตถิปัจจัยกับนัตถิปัจจัย วิคตปัจจัยกับอวิคตปัจจัยก็เหมือนกันอย่างนั้น. ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยแม้ด้วยอำนาจปัจจัยที่เป็นของคู่กันในอธิการนี้ ดังกล่าวมาแล้ว. ๗. บทว่า โดยเป็นชนกปัจจัยและอชนกปัจจัย ความว่า ก็บรรดาปัจจัยเหล่านี้ ปัจจัยนี้คืออนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย อนันตรูปนิสสยปัจจัย ปกตูปนิสสยปัจจัยและอาเสวนปัจจัย นานักขณิก พึงทราบวินิจฉัยแม้ด้วยอำนาจของปัจจัยที่เป็นชนกปัจจัยและอชนกปัจจัยในอธิการนี้ ดังพรรณนามาแล้ว. ๘. บทว่า โดยเป็นปัจจัยที่เข้ากับธรรมทั้งหมดและไม่ทั้งหมด ความว่า ในปัจจัยเหล่านี้ สหชาตปัจจัย นิสสยปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย ชื่อว่าเข้าได้กับธรรมทั้งหมด (สพฺพฏฺฐานิก). อธิบายว่า เป็นที่ตั้งเป็นเหตุแห่งรูปธรรมและอรูปธรรม ที่เป็นสังขตะทั้งหมด. อธิบายว่า ธรรมแม้อย่างหนึ่งเมื่อเกิดขึ้น เว้นจากปัจจัยเหล่านี้ย่อมไม่มี. อารัมมณะ อารัมมณาธิปติ อนันตระ สมนันตระ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ อาเสวนะ สัมปยุต นัตถิและวิคตปัจจัย ชื่อว่าปัจจัยที่เข้าได้กับธรรมไม่หมด (อสพฺพฏฺฐานิก) เพราะไม่เป็นที่ตั้งแห่งรูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหมด. อธิบายว่า เป็นที่ตั้งเป็นเหตุแห่งอรูปขันธ์ทั้งหลายเท่านั้น. จริงอยู่ อรูปธรรมเท่านั้นย่อมเกิดเพราะปัจจัยเหล่านี้ รูปธรรมหาเกิดขึ้นไม่. แม้ปุเรชาตปัจจัย และปัจฉาชาตปัจจัย ชื่อว่าปัจจัยที่เข้าไม่ได้กับธรรมทั้งหมด (อสพฺพฏฐานิก) เพราะเป็นปัจจัยเฉพาะแก่อรูปขันธ์ และรูปขันธ์เท่านั้นตามลำดับ. แม้ปัจจัยที่เหลือจากที่กล่าวแล้วก็ชื่อว่าประกอบไม่ได้ทุกแห่ง เพราะเป็นเหตุแห่งการเกิดขึ้นของรูปธรรมและอรูปธรรมบางพวก. พึงทราบวินิจฉัยแม้ด้วยอำนาจของปัจจัยที่เข้าได้ทุกแห่ง และเข้าไม่ได้ทุกแห่งในอธิการนี้ ดังพรรณนามาแล้ว. ๙. บทว่า โดยการกำหนดว่า รูปเป็นปัจจัยแก่รูปเป็นต้น ความว่า ก็ในปัจจัย ๒๔ เหล่านี้ แม้ปัจจัยอย่างหนึ่งที่เป็นรูปอย่างเดียว จะชื่อว่าเป็นปัจจัยเฉพาะแก่รูปเท่านั้น ย่อมไม่มี. แต่ที่เป็นรูปโดยส่วนเดียว เป็นปัจจัยเฉพาะแก่อรูปเท่านั้นมีอยู่. ถามว่า ก็ปัจจัยอย่างนั้นคือปัจจัยไหน? ตอบว่า ปุเรชาตปัจจัย. จริงอยู่ ปุเรชาตปัจจัยเป็นรูปโดยแน่นอน (แต่) เป็นปัจจัยเฉพาะแก่อรูปเท่านั้น. ปัจจัยที่เป็นรูปอย่างเดียวชื่อว่าเป็นปัจจัยแก่รูปและอรูปไม่มี แต่ที่เป็นอรูปอย่างเดียวเป็นปัจจัยเฉพาะแก่อรูปเท่านั้นมีอยู่. ถามว่า ได้แก่ปัจจัยไหน? ตอบว่า ได้แก่ปัจจัย ๖ คือ อนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย อาเสวนปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย นัตถิปัจจัยและวิคตปัจจัย. จริงอยู่ ปัจจัยทั้ง ๖ นั้นเป็นอรูปอย่างเดียว เป็นปัจจัยเฉพาะแก่อรูปเท่านั้น. ปัจจัยที่เป็นอรูปอย่างเดียว เป็นปัจจัยเฉพาะแก่รูปเท่านั้นมีอยู่. ถามว่า ได้แก่ปัจจัยไหน? ตอบว่า ได้แก่ปัจฉาชาตปัจจัย. จริงอยู่ ปัจฉาชาตปัจจัยนั้นเป็นอรูปอย่างเดียว เป็นปัจจัยเฉพาะแก่รูปเท่านั้น. ส่วนปัจจัยที่เป็นอรูปธรรมอย่างเดียว เป็นปัจจัยทั้งแก่รูปและอรูปมีอยู่. ถามว่า ได้แก่ปัจจัย? ตอบว่า ได้แก่ปัจจัย ๕ คือเหตุปัจจัย กัมมปัจจัย วิปากปัจจัย ฌานปัจจัยและมัคคปัจจัย. จริงอยู่ ปัจจัย ๕ ทั้งหมดนั้นเป็นอรูปอย่างเดียว เป็นปัจจัยแก่รูปธรรมก็ได้ อรูปธรรมก็ได้. แต่ปัจจัยที่เป็นทั้งรูปและอรูปโดยแน่นอน ชื่อว่าเป็นปัจจัยเฉพาะแก่รูปเท่านั้น ย่อมไม่มี แต่เป็นปัจจัยเฉพาะแก่อรูปมีอยู่. ถามว่า ได้แก่ปัจจัยไหน? ตอบว่า ได้แก่อารัมมณปัจจัยและอุปนิสสปัจจัย. จริงอยู่ ปัจจัยทั้งสองนี้เป็นทั้งรูปและอรูปแน่นอน (แต่) เป็นปัจจัยเฉพาะแก่อรูปเท่านั้น. อนึ่ง ปัจจัยที่เป็นทั้งรูปและอรูปโดยแน่นอน เป็นปัจจัยทั้งแก่รูปและอรูปมีอยู่. ถามว่า ได้แก่ปัจจัยไหน? ตอบว่า ได้แก่อธิปติปัจจัย สหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย อาหารปัจจัย อินทริย จริงอยู่ ปัจจัยนั้นทั้งหมดเป็นทั้งรูปและอรูป (และ) เป็นปัจจัยทั้งแก่รูปและอรูปด้วย. พึงทราบวินิจฉัยแม้โดยการกำหนดมีอาทิว่า รูปเป็นปัจจัยแก่รูปเป็นต้นในอธิการนี้ดังกล่าวมาแล้ว. ๑๐. บทว่า โดยการจำแนกโดยภพ ความว่า มีบรรดาปัจจัย ๒๔ เหล่านี้ ในปัญจโวการภพก่อน ปัจจัยอะไรๆ ที่ชื่อว่ามีไม่ได้ ย่อมไม่มี. ส่วนในจตุโวการภพ ปัจจัย ๒๑ ที่เหลือย่อมมีได้โดยนำปัจจัย ๓ คือปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัยและวิปปยุตตปัจจัยออก. ในเอกโวการภพย่อมได้ปัจจัย ๗ เหล่านั้น คือสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย กัมมปัจจัย อินทริยปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย. ส่วนในรูปที่ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ในภายนอก ย่อมได้ปัจจัย ๕ เท่านั้น คือสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย อัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัย. พึงทราบวินิจฉัยแม้โดยการจำแนกโดยภพในอธิการนี้ ดังกล่าวมาแล้วแล. วรรณนาปัจจัยนิทเทสวาระ จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๑ มาติกานิกเขปวาร ปัจจยวิภังควาร อวิคตปัจจัย จบ. |