บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า ทตฺวา คือ ชำระเจตนาให้ผ่องแผ้ว คือให้หมดจด. สองบทว่า สีลํ สมาทยิตฺวา คือ สมาทานนิจศีล ด้วยอำนาจศีลมีองค์ ๕ หรือองค์ ๑๐ เป็นต้น สมาทานวิรัติทรงแสดงแล้วด้วยคำนี้ ส่วนสัมปัตตวิรัติและสมุจเฉทวิรัติไม่ได้ตรัสไว้ เพราะไม่ได้ปรากฏว่าเป็นศีลในโลก ถึงไม่ได้ตรัสไว้ก็จริง แต่ก็เป็นอารัมมณปัจจัยได้เหมือนกัน บรรดาวิรัติทั้งสองนั้น สมุจเฉทวิรัติเป็นอารมณ์แห่งกุศลของพระเสขะจำพวกเดียว หาเป็นแก่บุคคลอื่นไม่. สองบทว่า อุโปสถกมฺมํ กตฺวา คือ ทำอุโบสถกิริยา ซึ่งมีองค์แปดในวันอุโบสถ อันท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ไม่พึงฆ่าสัตว์และไม่พึงถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้เป็นต้น. สองบทว่า ตํ ปจฺจเวกฺขติ ความว่า พระเสขะหรือปุถุชนก็ตาม ย่อมพิจารณากุศลนั้น. อีกอย่างหนึ่ง แม้พระอรหันต์ก็ย่อมพิจารณา. จริงอยู่ สำหรับพระอรหันต์กุศลที่ทำไว้ก่อนก็ชื่อว่าเป็นกุศล ก็ท่านย่อมพิจารณาด้วยจิตใจ จิตนั้นชื่อว่ากิริยาจิต เพราะฉะนั้น กิริยาจิตนั้น จึงไม่ได้ในอธิการนี้ว่า กุสโล ธมฺโม กุสลสฺส ธมฺมสฺส ดังนี้. จริงอยู่ กรรมที่ทำใกล้ๆ กัน ตรัสไว้ว่า ให้แล้ว สมาทานแล้ว กระทำแล้ว ในคำว่า ปุพฺเพ สุจิณฺ อีกอย่างหนึ่ง คำนี้ตรัสไว้ว่า เพื่อแสดงกามาวจรกุศลที่เหลือด้วยบุญกิริยามีทานเป็นต้น. คำว่า ฌานํ วุฏฺฐหิตฺวา แปลว่า ออกแล้วจากฌาน. อีกอย่างหนึ่ง นี้แหละเป็นบาลี. คำว่า เสกฺขา โคตฺรภํ ตรัสหมายถึงพระโสดาบัน. จริงอยู่ พระโสดาบันนั้นย่อมพิจารณาโคตรภู ส่วนคำว่า โวทานํ นี้ ตรัสหมายถึง พระสกทา บทว่า เสกฺขา คือ พระโสดาบัน พระสกทา สองบทว่า มคฺคา วุฏฺฐหิตฺวา คือ ออกจากมรรคที่ตนได้แล้วด้วยอำนาจการก้าวล่วงภวังค์แห่งมรรคและผล ส่วนการออกจากมรรคล้วนๆ นั้นแล้วพิจารณา ย่อมไม่มี. การเข้าถึงวิปัสสนา เป็นกุศลที่เป็นไปในภูมิ ๓ เท่านั้น. ผู้ศึกษาพึงทราบ ในคำนี้ว่า กุสลํ อนิจฺจโต. ก็กุศลขั้นวิปัสสนา เป็นกามาวจรอย่างเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงรูปาวจรกุศลด้วยคำนี้ว่า เจโตปริยญาเณน. แสดงเฉพาะอรูปาวจรกุศลที่กำลังเกิดขึ้นด้วยอำนาจเป็นอารมณ์แห่งอรูปาวจรกุศล ด้วยคำมีอาทิว่า อากาสานญฺจายตนํ. ทรงแสดงด้วยอำนาจธรรมเท่านั้น ไม่เกี่ยวถึงบุคคล ด้วยคำว่า กุสลา ขนฺธา อิทฺธิวิธญาณสฺส เป็นต้น. เพราะเหตุนั้นเอง เจโตปริยายญาณ แม้ท่านจะถือเอาในหนหลังแล้ว ก็ยังตรัสซ้ำไว้ในอธิการนี้อีก. บทว่า อสฺสาเทติ คือ เสวยและยินดีด้วยจิตอันสัมปยุตด้วยโลภะซึ่งสหรคตด้วยโสมนัส. บทว่า อภินนฺทติ ได้แก่ ยินดี คือเป็นผู้หรรษาร่าเริง ด้วยอำนาจตัณหามีปีติ หรือว่าย่อมยินดียิ่งด้วยอำนาจความเพลินใจในธรรมที่ตนเห็นแล้ว. สองบทว่า ราโค อุปฺปชฺชติ ความว่า ราคะย่อมเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ยินดีอยู่. คำนี้ตรัสหมายถึงจิตที่สหรคด้วยโลภะทั้ง ๘ ดวง. สองบทว่า ทิฏฺฐิ อุปฺปชฺชติ ความว่า ทิฏฐิที่สัมปยุตด้วยจิต ๔ ดวงด้วยอำนาจความเห็นผิดเป็นต้น ว่าตนเป็นของมีในตนดังนี้ ย่อมเกิดแก่บุคคลผู้ยินดียิ่ง. ก็ในกรณีนี้ วิจิกิจฉาย่อมเกิดแก่บุคคลผู้ไม่มีการตัดสินใจ (สงสัย). อุทธัจจะย่อมเกิดแก่ผู้มีจิตฟุ้งซ่าน โทสะย่อมเกิดแก่ผู้เดือดร้อนอยู่ว่า กรรมดี เรายังไม่ได้ทำเลยเป็นต้น. สองบทว่า ตํ อารพฺภ ความว่า ทำกรรมเหล่านั้นซึ่งตนสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อนให้เป็นอารมณ์. จริงอยู่ ศัพท์นี้อาเทสพหูพจน์เป็นเอกพจน์ อีกอย่างหนึ่ง คำนี้เป็นเอกพจน์ด้วยอำนาจชาติ. คำว่า อรหา มคฺคา วุฏฺฐหิตฺวา ความว่า ออกแล้วด้วยอำนาจการก้าวล่วงภวังค์ ในลำดับแห่งผลในมัคควิถี ก็ปัจจเวกขณจิตเป็นกิริยาพยากตะของพระอรหันต์นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงอารัมมณปัจจัยแห่งกิริยาพยากตะอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงอารัมมณปัจจัยแห่งวิปากาพยากตะอีก จึงตรัสคำว่า เสกฺขา วา เป็นอาทิ. สองบทว่า กุสเล นิรุทฺเธ คือ เมื่อวิปัสสนาขวนวิถีขาดไป. บทว่า วิปาโก ได้แก่ กามาวจรวิบาก. บทว่า ตทารมฺมณตา คือ โดยเป็นตทารัมมณะ. อธิบายว่า จิตนั้น (ตทารัมมณจิต) ทำกุศลที่เห็นแจ้งแล้วซึ่งเป็นอารมณ์แห่งกุศลชวนะให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น. ก็แลจะเกิดด้วยอำนาจตทารัมมณะอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ ยังเกิดด้วยอำนาจปฏิสนธิภวังค์และจุติด้วย. จริงอยู่ วิบากย่อมมีกุศลเป็นอารมณ์ได้เหมือนกัน สำหรับบุคคลผู้ทำกรรมให้เป็นอารมณ์แล้วถือปฏิสนธิ. แต่วิบากนั้นไม่ได้แสดงไว้ในที่นี้เพราะเข้าใจยาก. คำว่า กุสลํ อสฺสาเทติ เป็นต้น ตรัสไว้เพื่อแสดงวิบากที่มีกุศลเป็นอารมณ์ในที่สุดแห่งอกุศลชวนะ. คำนี้ว่า วิญฺญาณญฺจายตนวิปากสฺส ถึงจะเป็นธรรมที่เข้าใจยาก พระองค์ก็ตรัสไว้ด้วยอำนาจวิบากที่มีได้ เพราะมหัคคตวิบากไม่เกิดโดยความเป็นตทารัมมณะ. บทว่า กิริยสฺส คือ อากาสานัญจายตนกุศลเป็นปัจจัยโดยอารัมมณปัจจัย แก่กิริยาจิต ของบุคคลผู้บรรลุพระอรหัตแล้วเข้าสมาบัติโดยปฏิโลม หรือโดยมีฌานหนึ่งคั่น ในอารมณ์ที่เป็นอากาสานัญจายตนะ ที่ยังไม่เคยเข้า. บทว่า เจโตปริยญาณสฺส เป็นต้น พึงเชื่อมกับอาวัชชนะข้างหน้า ก็ในข้อนี้ มีอธิบายดังนี้ว่า ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นกุศล เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะแห่งจิตเหล่านั้น (อภิญญาจิต) โดยอารัมมณปัจจัย. บทว่า ราคํ คือ ราคะของตนหรือของคนอื่น แต่ในอธิการนี้วรรณนาปรากฏแล้ว ด้วยอำนาจแห่งราคะของตน. คำว่า อสฺสาเทติ เป็นต้น มีอรรถดังกล่าวไว้แล้ว แต่ในธรรมมีวิจิกิจฉาเป็นต้น ไม่ตรัสว่า อสฺสาเทติ (ย่อมยินดี) เพราะไม่มีภาวะที่จะน่ายินดี ก็ทิฏฐิย่อมเกิดขึ้นในฐานะนี้. ทิฏฐิพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสไว้ก่อนตามลำดับที่มาถึง เพราะบทว่า อสฺสาเทติ ตกไป ทิฏฐินั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมนั้นๆ ในบรรดาธรรมมีวิจิกิจฉาเป็นต้น ซึ่งเป็นสภาคกันก่อนแล้วตรัสไว้ในลำดับแห่งธรรมนั้นๆ. ก็บรรดาธรรมมีราคะเป็นต้นเหล่านี้ พึงทราบการเกิดขึ้นแห่งโทมนัส ด้วยอำนาจความอดกลั้นไม่ได้ว่า บาปธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นทำไม หรือด้วยอำนาจวิปฏิสารมีอาทิว่า เราทำความชั่วไว้ เราทำกรรมหยาบช้าไว้. สองบทว่า จกฺขํ อนิจฺจโต ความว่า รูป ๑๑ คือ โอฬารริกายตนะ ๑๐ และวัตถุรูป ๑ ท่านถือเอาแล้ว เพราะปรากฎตามลำดับวิปัสสนา. รูปาตนะเป็นต้นท่านก็ถือเอาอีก เพราะเป็นอารมณ์แห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น. ก็เพราะเทศนานี้ตรัสด้วยอำนาจแห่งวิญญาณ ไม่ได้ตรัสด้วยอำนาจธาตุ ฉะนั้นจึงไม่ถือเอามโนธาตุด้วย. พึงทราบอารมณ์ที่ถือมาแล้ว และยังไม่ได้ถือเอาในที่ทั้งปวงอย่างนี้. คำว่า ย่อมพิจารณาผล ย่อมพิจารณานิพพาน ตรัสไว้เพื่อแสดงอารมณ์แห่งกุศลที่เป็นตัวพิจารณา. อรรถกถาอารัมมณปัจจัย จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๑ อนุโลมติกปัฏฐาน กุสลัตติกะ ปัญหาวาร อารัมมณปัจจัย จบ. |