บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
สองบทว่า สทฺธํ อุปนิสฺสาย คือ ทำศรัทธา ได้แก่ความเชื่อในกรรม ผลของกรรม โลกนี้และโลกหน้าเป็นต้น ให้เป็นที่อาศัยอย่างมั่นคง เหมือนอย่างว่าคนเชื่อว่าภายใต้แผ่นดินมีน้ำแล้ว ขุดซึ่งแผ่นดิน ฉันใด กุลบุตรมีศรัทธาก็ฉันนั้น เชื่อผลและอานิสงส์ของทานเป็นต้นแล้ว ย่อมบริจาคทานเป็นต้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สทฺธํ อุปนิสฺสาย. ในคำว่า สีลํ อุปนิสฺสาย เป็นต้น อธิบายว่า ทำธรรมมีศีลเป็นต้นเหล่านี้ให้เป็นอุปนิสสัย. จริงอยู่ บุคคลผู้มีศีลเป็นผู้ฉลาดในศีลานุภาพ และในอานิสงส์แห่งศีล เพราะอาศัยศีลจึงให้ทานแก่คนผู้มีศีล สมาทานศีลชั้นสูงๆ ขึ้นไป รักษาอุโบสถในวันปักษ์มีวัน ๑๔ ค่ำเป็นต้นให้บริสุทธิ์ ไม่ให้ขาด เพราะอาศัยศีลสมบัติ ย่อมยังคุณธรรมมีฌานเป็นต้นให้เกิดขึ้น. แม้บุคคลผู้ได้ยินได้ฟังมาก หยั่งรู้ซึ่งสมบัติทุกอย่างอันเนื่องด้วยบุญกิริยาวัตถุมีทานเป็นต้น และความแตกต่างกันแห่งความเศร้าหมองและผ่องแผ้วแห่งกุศลมีทานเป็นต้น ด้วยสุตมยปัญญาแล้ว อาศัยสุตะบำเพ็ญกุศลมีทานเป็นต้น. แม้บุคคลผู้เสียสละ มีใจน้อมไปในทางบริจาค อาศัยการถึงพร้อมด้วยจาคธรรมของตนจึงให้ทาน สมาทานศีล เพราะเข้าใจว่า ทานที่บุคคลมีศีลให้แล้วย่อมมีผลมาก รักษาอุโบสถเพราะการปฏิบัติอย่างนั้น จึงเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ ย่อมทำให้คุณธรรมมีฌานเป็นต้นเกิดขึ้นได้. ฝ่ายบุคคลผู้มีปัญญากำหนดรู้ประโยชน์ในโลกนี้และโลกหน้า และอุบายที่จะข้ามพ้นจากโลก อาศัยความรู้อย่างทั่วถึงว่า เพราะข้อปฏิบัตินี้ บุคคลอาจทำตนให้ลุถึงประโยชน์ในโลกนี้บ้าง ประโยชน์ในโลกหน้าบ้าง และแม้อุบายที่ข้ามพ้นจากโลกด้วย ดังนี้ย่อมบำเพ็ญกุศลมีทานเป็นต้น จะเป็นอุปนิสสัยแห่งทานเป็นต้น อย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ ย่อมเป็นอุปนิสสัยแม้แห่งศรัทธาเป็นต้นของตนซึ่งจะเกิดต่อไปในภายภาคหน้า เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญาเป็นอุปนิส บทว่า ปริกมฺมํ ผู้ศึกษาพึงถือเอาบริกรรมในส่วนเบื้องต้น ไม่ใช่ที่เป็นอนันตรปัจจัย บริกรรมแห่งทิพจักขุญาณนั้นแหละ ย่อมมีแก่ญาณทั้งสองนี้ คือยถากัมมูปคญาณ อนาคตตังสญาณ หามีบริกรรมต่างออกไปไม่ ญาณทั้งสองนี้เป็นบริวารแห่งทิพจักขุนั่นเอง เมื่อทิพจักขุนั้นสำเร็จแล้ว ญาณทั้งสองนี้ก็สำเร็จด้วย. แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบว่า บริกรรมแห่งทิพจักขุญาณที่มุ่งต่อการน้อมใจไปเพื่อความรู้อย่างนั้นเป็นบริกรรมแห่งญาณทั้งสองนั้น เพราะว่าญาณทั้งสองนี้จะมีคติเหมือนทิพจักขุทุกอย่างก็หาไม่ ฉะนั้น จึงมีบริกรรมพิเศษในญาณทั้งสองนี้อีกแล. คำว่า ทิพฺพจกฺขุ ทิพฺพาย โสตธาตุยา ความว่า ทิพจักขุของบุคคลผู้เห็นรูปในที่ไกล แล้วต้องการจะฟังเสียงแห่งรูปเหล่านั้น เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ความผ่องใสแห่งโสตธาตุ. ก็ทิพโสตธาตุย่อมเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ ด้วยอำนาจความเป็นผู้ได้ยินเสียงแห่งรูปเหล่านั้น แล้วประสงค์จะไปในที่นั้น. บัณฑิตพึงทราบความเป็นอุปนิสสยปัจจัย ด้วยอำนาจความเป็นอุปการะแก่ธรรมนั้นๆ ในที่ทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้. คำว่า มคฺคํ อุปนิสฺสาย อนุปฺปนฺนํ สมาปตฺตึ ความว่า พระอริยบุคคลเหล่าใดยังสมาบัตินั้นๆ ให้เกิดขึ้น เพราะอันตรายในหนทางเป็นสภาพเบาบางแล้ว และละได้แล้วด้วยมรรคนั้นๆ ฉะนั้น มรรคของพระอริยบุคคลเหล่านั้น จึงชื่อว่าเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่สมาบัติ. บทว่า วิปสฺสนฺติ คือ ย่อมเห็นแจ้ง เพื่อต้องการมรรคเบื้องสูงขึ้นไป. คำว่า อตฺถปฏิสมฺภิทา เป็นอาทิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยที่ปฏิสัมภิทาทั้งหลาย สำเร็จได้เพราะการได้บรรลุมรรคนั่นเอง. ก็แลมรรคนั่นเองชื่อว่าเป็นอุปนิสสัย เพราะเป็นไปในอารมณ์นั้นๆ ภายหลัง ปฏิสัมภิทาเหล่านี้สำเร็จแล้วด้วยประการฉะนี้. คำว่า สทฺธํ อุปนิสฺสาย มานํ ชปฺเปติ ความว่า ย่อมยังมานะให้เป็นไปว่าเราเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส. สองบทว่า ทิฏฺฐึ คณฺหาติ ความว่า บุคคลไปด้วยอำนาจความเชื่อในคำนั้นๆ ไม่พิจารณาเนื้อความด้วยปัญญา คือย่อมถือเอาทิฏฐิด้วยอำนาจความเห็นผิดว่า บุคคลมีอยู่เป็นต้น. คำว่า สีลํ สุตํ จาคํ ปญฺญํ ความว่า เกิดมานะขึ้นว่า เราเป็นผู้มีศีล เป็นผู้สดับแล้ว มีการสละ มีความรู้ทุกด้าน. ก็เมื่อบุคคลยังความสำคัญผิดด้วยอำนาจทิฏฐิให้เกิดขึ้นในศีล สุตะ จาคะและปัญญา เหมือนความสำคัญผิดด้วยอำนาจมานะ ย่อมถือเอาซึ่งทิฏฐิ. พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ราคสฺส เป็นต้น. บรรดาทิฏฐิและมานะเหล่านั้น ธรรมหนึ่งๆ เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ราคะในเวลาอาศัยสมบัติมีศรัทธาเป็นต้นแล้วยกย่องตน เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่โทสะในเวลาอาศัยสมบัติ มีศรัทธาเป็นต้นแล้วเย้ย ส่วนโลกุตตรกุศลเป็นธรรมสงบ ประณีต สูงสุด กำจัดอกุศลได้เด็ดขาด ฉะนั้นจึงไม่เป็นอุปนิส คำว่า อาตาเปติ เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพื่อแสดงอัพยากตธรรมด้วยอำนาจกายิกทุกข์. จริงอยู่ ผู้มีศรัทธาอาศัยศรัทธา ไม่ย่อท้อต่อความหนาวจัด ร้อนจัด เอาใจใส่ในการก่อสร้างเป็นต้นมีประการต่างๆ ชื่อว่าย่อมทำตนให้เดือดร้อน. บุคคลคิดว่า เราได้โภคสมบัติแล้วจักทำบุญ ชื่อว่าย่อมเสวยทุกข์อันมีการแสวงหาเป็นมูล. แม้บุคคลผู้มีศีล ชื่อว่าย่อมทำตนให้เดือดร้อน ด้วยอำนาจการถือธุดงค์มีการอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร (อัพโภกาสิกวัตร) เป็นต้น เพื่อรักษาศีล ชื่อว่าย่อมเสวยทุกข์อันมีการแสวงหาเป็นมูล ด้วยอำนาจการเที่ยวแสวงหาอาหารเป็นต้น. แม้บุคคลผู้สดับแล้วคิดว่า เราจะปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ความเป็นพหูสูต ปฏิบัติอยู่ตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล ชื่อว่าย่อมทำตนให้เดือดร้อน. ชื่อว่าย่อมเสวยทุกข์อันมีการแสวงหาเป็นมูล. แม้บุคคลผู้เสียสละเพราะจิตใจน้อมไปในการบริจาค สละเสียจนไม่เหลือปัจจัยไว้เลี้ยงชีพตน หรือทำการสละอวัยวะเป็นต้น ชื่อว่าทำตนให้เดือดร้อน ชื่อว่าย่อมเสวยทุกข์อันมีการแสวงหาเป็นมูล เพื่อได้มาซึ่งวัตถุที่จะนำมาบริจาค. แม้บุคคลผู้มีปัญญาอาศัยความมีปัญญา ไม่คำนึงถึงความหนาวร้อนเป็นต้น พยายามสนใจในการท่องจำ ด้วยคิดว่า เราจักมีปัญญาให้สูงขึ้นๆ ชื่อว่าย่อมทำตนให้เดือดร้อน. เห็นโทษในมิจฉาชีพและอานิสงส์ในสัมมาชีพ ละมิจฉาชีพและหาเครื่องเลี้ยงชีวิต ด้วยอาชีวะอันหมดจด ชื่อว่าย่อมเสวยทุกข์อันมีการแสวงหาเป็นมูล. สองบทว่า กายิกสฺส สุขสฺส คือ แก่ความสุขทางกายในเวลาความสุขเกิดขึ้นแก่กาย ซึ่งมีรูปอันประณีต มีศรัทธาเป็นต้นเป็นสมุฏฐาน ถูกต้องแล้วในเวลาใช้สอยอุปกรณ์แห่งความสุข ซึ่งเกิดขึ้นเพราะอาศัยสมบัติมีศรัทธาเป็นต้น, และแก่ความสุขทางกายอันมีรูป มีปราโมทย์และปีติซึ่งมีความเดือดร้อนด้วยอำนาจแห่งอุปกรณ์ความสุขเหล่านั้นเป็นมูล เป็นสมุฏฐานถูกต้องแล้ว, และแก่ความสุขทางกาย ในเวลาวิบากสุขเกิดขึ้น เพราะอุปกรณ์แห่งความสุขเหล่านั้น ทำแล้วในกาลเกิดขึ้นแห่งความสุข, และแก่ทุกข์ทางกาย ในเวลาทุกข์เกิดขึ้นตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล และในเวลามีการฆ่าและจองจำ อันบุคคลผู้อดกลั้นไม่ได้ด้วยคุณสมบัติ มีศรัทธาเป็นต้นประกอบแล้ว. ก็ในเวลาผลสมาบัติอาศัยศรัทธาเป็นต้นเป็นไป ธรรมหนึ่งๆ ในบรรดาธรรมมีศรัทธาเป็นต้นนี้ พึงทราบว่า เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ผลสมาบัติด้วย. สองบทว่า กุสลํ กมฺมํ คือ กุศลเจตนาเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่วิบากของตน. แต่เจตนานั้นได้เฉพาะที่มีกำลังเท่านั้น ที่มีกำลังอ่อนย่อมไม่ได้. ในข้อนั้นมีเรื่องดังต่อไปนี้ (เป็นอุทาหรณ์) :- เล่ากันมาว่า หญิงคนหนึ่งต้องการจะผูกคอตาย จึงห้อยเชือกไว้ที่ต้นไม้ จัดแจงของที่ควรจัดอยู่. ทีนั้นโจรคนหนึ่งคิดว่าตอนกลางคืนเราเข้าไปยังเรือนนั้น แล้วจักเอาเชือกเส้นนี้มัดสิ่งของบางอย่างแล้วลักไป จึงเอามีดเข้าไปตัด ลำดับนั้นเชือกนั้นได้กลายเป็นงูพิษขู่แล้ว โจรกลัวไม่กล้าเข้าไป หญิงนั้นออกจากเรือน สอดคอเข้าไปในบ่วงเชือกผูกคอตายแล้ว พลวเจตนาห้ามเสียซึ่งอันตรายแล้ว เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่วิบากของตนด้วยประการฉะนี้. แต่คำนี้ก็ไม่ควรถือโดยแน่นอน เพราะว่า กรรมที่ได้โอกาสห้ามอันตรายแห่งวิบากอย่างนี้แล้วย่อมให้ผล ส่วนกรรมที่ยังวิบากให้เกิดกล่าวไม่ได้ว่า ไม่เป็นอุปนิสสัยแก่วิบาก. ในคำว่า กมฺมํ นี้ บัณฑิตพึงทราบว่า ได้แก่กรรมที่เป็นไปในภูมิทั้ง ๔. ก็คำที่ท่านกล่าวไว้ว่า มรรคเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ข้างหน้านั้น กล่าวด้วยอำนาจธรรมที่ไม่มีเจตนา. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงไว้ว่า ธรรมที่ยังวิบากให้เกิดขึ้นนั่นแหละเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่วิบากของตน. คำว่า ราคํ อุปนิสฺสาย ปาณํ หนติ ความว่า ประโยชน์ใดย่อมมีโดยเป็นสาระในวัตถุใด ผิดแล้วในวัตถุนั้น หรือว่าฆ่าสัตว์เพื่อประโยชน์นั้น. แม้ในอทินนาทานเป็นต้น ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความโดยอุบายนี้. คำว่า สนฺธึ ฉินฺทติ เป็นต้น ตรัสไว้ด้วยอำนาจอทินนาทาน. คำว่า สนฺธึ ในอธิการนั้นหมายเอาฝาเรือน. สองบทว่า นิลฺโลปํ หรติ คือ แอบเข้าไปขโมย. สองบทว่า เอกาคาริกํ กโรติ คือ ร่วมกันหลายๆ คน ล้อมปล้นเรือนหลังเดียว. สองบทว่า ปริปนฺเถ ติฏฺฐติ คือ ดักทำร้ายคนเดินทาง. ในคำว่า โทสํ อุปนิสฺสาย เป็นต้น ความว่า ทำโทสะที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจความแค้นว่า เขาได้สร้างความฉิบหายวายวอดให้กับเราเป็นต้น ให้เป็นอุปนิสสัย. คำว่า โมหํ อุปนิสฺสาย คือ ทำโมหะที่ปิดบังโทษในปาณาติบาตเป็นต้น ให้เป็นอุปนิสสัย. สองบทว่า มานํ อุปนสฺสาย คือ ทำมานะว่า ทำไมจึงฆ่าไม่ได้ ทำไมเราจึงลักไม่ได้ให้เป็นอุปนิสสัย. หรืออธิบายว่า ถูกใครเขาดูถูกเหยียดหยาม แล้วยกเอาการดูถูกนั้นมาเป็นอุปนิสสัยบ้าง. สองบทว่า ทิฏฺฐึ อุปนิสฺสาย คือ ทำทิฏฐิในยัญทั้งหลายให้เป็นอุปนิสสัย เหมือนพราหมณ์ทั้งหลาย และพวกปาราสิกะและมิลักขะเป็นต้น. สองบทว่า ปตฺถนํ อุปนิสฺสาย คือ ทำความปรารถนามีอาทิอย่างนี้ว่า ถ้างานชิ้นนี้ของข้าพเจ้าสำเร็จ ก็จักทำพลีกรรมอย่างนี้แก่ท่าน หรือ ท่านจงนำเครื่องบวงสรวงเทวดาชนิดโน้มมาให้ข้าพเจ้า หรือจงนำเอาไปให้คนโน้น หรือว่าท่านจงมาร่วมเป็นสหายของเราซึ่งกำลังทำงานเหล่านี้อยู่ให้เป็นอุปนิสสัย. ในคำว่า ราโค โทโส มาโน ทิฏฺฐิ ปตฺถนา ราคสฺส นี้ ราคะเป็นอุปนิสสัยแก่ราคะด้วย แก่ธรรมมีโทสะเป็นต้นด้วย. แม้ในโทสะเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน. สองบทว่า ปาณาติปาโต ปาณาติปาตสฺส ความว่า บุคคลผู้ฆ่าสัตว์ ย่อมจะฆ่าสัตว์อื่นอีก เพราะตั้งอยู่ในความที่ไม่สำรวม. หรือว่าย่อมฆ่าญาติมิตรของผู้ที่ถูกเขาฆ่าแล้วประทุษร้ายต่อเพิ่มอีก. ปาณาติบาตเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ปาณาติบาตด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง ปาณาติบาตเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่อทินนาทานเป็นต้น ในเวลาฆ่าเจ้าของ หรือคนเฝ้าลักเอาของเขาไป, ในการฆ่าสามีแล้วล่วงภรรยาเขา, ในเวลาพูดเท็จว่าไม่ได้ฆ่า, ในเวลาพูดส่อเสียดเพื่อปกปิดกรรมที่ตัวเองทำแล้ว, หรือเพื่อต้องการทำกรรมที่ยังไม่ได้ทำ ในเวลาพูดคำหยาบ คำเพ้อเจ้อ โดยนัยนั้น ในเวลาเพ่งเล็งสมบัติที่อยากได้ของผู้อื่น, ในเวลาคิดว่าเมื่อเขาถูกฆ่าตายแล้วพวกพ้องมิตรอำมาตย์ของเขาต้องสูญสิ้นไปเป็นต้น และในเวลาถือความเห็นผิดด้วยอำนาจผู้ทำกรรมที่ทำได้ยากว่า ปาณาติบาตของเราจักหนักแน่นอยู่นี้ เป็นต้น. บัณฑิตพึงทราบเนื้อความในความหมุนไปในธรรมมีอทินนาทานเป็นต้นเป็นมูลโดยอุบายนี้. สองบทว่า มาตุฆาตกมฺมํ มาตุฆาตกมฺมสฺส ความว่า มาตุฆาตกรรมเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรม สำหรับบุคคลผู้เห็นคนอื่นฆ่ามารดา แล้วฆ่าซึ่งมารดาของตนบ้าง เข้าใจว่าการทำอย่างนั้นสมควร หรือด้วยอำนาจการฆ่าในภพหนึ่งแล้วฆ่าในภพอื่นอีก หรือในภพเดียวกันด้วยสามารถแห่งการสั่งบ่อยๆ ว่าท่านจงไปฆ่ามารดาของเรา หรือด้วยอำนาจการประหารครั้งที่ ๒ เพื่อให้ตายแน่นอนด้วยการประหาร ๒ ครั้ง. แม้บทที่เหลือ ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความตามที่เหมาะสมโดยนัยนี้เหมือนกัน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อกุศลที่มีกำลัง หาเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่อกุศลที่มีกำลังอ่อนไม่ เพราะฉะนั้น เทศนาพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ด้วยอำนาจอนันตริยกรรมที่เนื่องด้วยกรรมบถเท่านั้น. ดังนั้น ไม่ควรยึดถือโดยแน่นอน. เพราะว่าบุคคลทำกรรมมีปาณาติบาตเป็นต้นแล้ว ถูกท้วงติว่า ทำไมจึงทำอย่างนั้น ย่อมทำอาการโกรธบ้าง เดือดร้อนบ้าง ก็เมื่อกิเลสมีประมาณน้อยเกิดแล้ว เขาปล่อยให้กิเลสนั้นขยายตัวไม่ยอมทำ การล่วงละเมิดได้ เพราะฉะนั้น อกุศลที่มีกำลังย่อมเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่อกุศลที่หย่อนกำลังไป และอกุศลที่หย่อนกำลังก็ย่อมเป็นอุปนิสสยปัจจัย แม้แต่อกุศลที่มีกำลังได้เหมือนกัน ก็คำใดที่ท่านกล่าวไว้ในวรรณนานิทเทสแห่งปัจจยวิภังค์ว่า ธรรมที่ชื่อว่าเป็นอุปนิสสยปัจจัย เพราะอรรถว่า เป็นเหตุมีกำลัง คำนั้นท่านกล่าวไว้ เพราะภาวะแห่งการเป็นเหตุเท่านั้นมีกำลัง ไม่ใช่เพราะตัวปัจจัยธรรมซึ่งเป็นที่เข้าไปอิงอาศัย. จริงอยู่ กรรมและกิเลสทั้งหลาย ที่มีกำลังมากก็ดี ที่หย่อนกำลังก็ดี จัดว่าเป็นเหตุที่มีกำลังทั้งนั้น. พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ราคํ อุปนิสฺสาย ทานํ เทติ เป็นต้นต่อไป. บุคคลเข้าไปอาศัยความยินดีในอุปปัตติภพ หรือในโภคะทั้งหลายว่า ทำไมหนอเราจึงจะเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทพชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นต้น ดังนี้แล้วจึงให้ทาน แม้ในการสมาทานศีลและรักษาอุโบสถเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน ก็บุคคลเมื่อทำฌานให้เกิดเพื่อต้องการข่มราคะ ทำวิปัสสนาให้เกิดเพื่อต้องการลดราคะ ทำมรรคให้เกิดเพื่อต้องการตัดภพตัดชาติ ชื่อว่าเข้าไปอิงอาศัยราคะทำให้เกิดขึ้น. อนึ่ง เมื่อยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด เพื่อต้องการให้ปราศจากราคะ ก็ชื่อว่าเข้าไปอิงอาศัยราคะให้เกิดขึ้นเหมือนกัน. จริงอยู่ ด้วยความต้องการเท่านี้ ผู้นั้นย่อมเป็นคนปราศจากราคะได้. บทว่า สทฺธาย คือ ความเชื่ออันเป็นไปด้วยอำนาจทานเป็นต้น. แม้ในศีลเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. เหมือนอย่างว่า เมื่อยังศรัทธาเป็นต้นให้เกิดด้วยอำนาจทานเป็นต้น ชื่อว่าเข้าไปอิงอาศัยราคะให้เกิด ฉันใด ผู้ศึกษาพึงทราบว่า แม้ราคะเป็นต้นก็ชื่อว่าเป็น สองบทว่า ตสฺส ปฏิฆาตตฺถาย คือ เพื่อห้ามเสียซึ่งวิบากนั้น. อธิบายว่า เพื่อไม่ให้โอกาสแห่งวิบากเกิดขึ้น ในสัปปฏิฆาตธรรมทั้งหลาย มีอธิบายเพียงเท่านี้. ถามว่า อนันตริยกรรมเหล่าใดไม่มีปฏิฆาต ทำไม พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ตสฺส ปฏิฆาตตฺ แก้ว่า ตรัสด้วยอำนาจอัธยาศัยแห่งบุคคลนั้น. จริงอยู่ ผู้นั้นย่อมมีอัธยาศัยว่าจะประพฤติเพื่อต้องการจะกำจัดสิ่งนั้น (วิบาก). พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาอัธยาศัยนั้น จึงตรัสไว้อย่างนี้. คำว่า ราคํ อุปนิสฺสาย อตฺตานํ อาตาเปติ ผู้ศึกษาพึงทราบความทั้งหมดโดยนัยก่อนนั่นเทียวว่า บุคคลเห็นอยู่ซึ่งส่วนบุญ โดยเป็นการกระทำได้ยากของผู้ยินดีแล้วในสมบัติใดเล่า ย่อมทำอย่างนั้นบ้าง. สองบทว่า กายิกสฺส สุขสฺส คือ ความสุขที่ได้เพราะการทำกุศลด้วยอำนาจการก้าวล่วงอกุศลมีราคะเป็นต้น หรือว่าด้วยอำนาจการบริโภคกามแห่งบุคคลผู้ยังไม่เห็นโทษด้วยอำนาจราคะเป็นต้น. บทว่า ทุกฺขสฺส คือ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจการย่างกิเลสเป็นต้น (การทำตนเองให้เดือดร้อน) หรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจการฆ่า และการจองจำที่เป็นไปเพราะเหตุแห่งราคะเป็นต้น. บทว่า ผลสมาปตฺติยา หมายถึง คุณธรรมที่พระโยคาวจรให้เกิดขึ้น เพราะตัดกิเลสมีราคะเป็นต้นได้ หรือหมายถึงคุณชาติที่ท่านผู้เบื่อหน่ายราคะเป็นต้นเหล่านั้นเข้าถึงแล้ว. สองบทว่า กายิกํ สุขํ เป็นต้น ความว่าเมื่อความสุขเกิดขึ้น บุคคลยินดีความสุขนั้น ทำความสุขนั้นให้เกิดบ่อยๆ ด้วยปัจจัยอย่างเดียวกันนั่นเอง ความสุขคราวก่อนเชื่อว่าเป็นอุปนิสสยปัจจัย แก่ความสุขคราวหลัง. ก็ในบรรดาความหนาวเป็นต้น เมื่อบุคคลช่องเสพเกินไปซึ่งความร้อนมีความร้อนเพราะไฟเป็นต้น ความสุขเบื้องต้นย่อมเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ความทุกข์ภายหลัง. อีกอย่างหนึ่งในอธิการนี้ กายิกสุขของบุคคลผู้ดื่มด่ำในกามทั้งหลายว่า สัมผัสแห่งแขนที่มีขนอ่อนนุ่มของปริพาชิกานี้ เป็นสุขจริงหนอ ดังนี้ ย่อมเป็นอุปนิสสยปัจจัยแห่งกายิกทุกข์ในนรก. ส่วนเมื่อพระโยคีผู้มีความสุขเพราะไม่มีโรค เข้าผลสมาบัติ กายิกสุขย่อมเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ผลสมาบัติ. ก็เมื่อบุคคลเสพอยู่ซึ่งความสุขเพื่อกำจัดทุกข์ เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าผลสมาบัติระงับอาพาธ เพื่อกำจัดทุกข์ กายิกทุกข์ย่อมเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่กายิกสุขและผลสมาบัติ. ฤดูที่สบายย่อมเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่สุขและผลสมาบัติ และฤดูที่ไม่สบายย่อมเป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ทุกข์. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อบุคคลปรารถนาเสวยความสุข อันเกิดแล้วด้วยอำนาจรูปอันตั้งอยู่แล้วในสมาบัติ เพราะข่มความไม่สบายเพราะฤดูไว้ ฤดูแม้จะไม่สบาย (ของท่าน) ก็เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติได้เหมือนกัน. แม้ในโภชนะและเสนาสนะก็นัยนี้เหมือนกัน. คำว่า กายิกํ สุขํ เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้รวมกันโดยเฉพาะอีก. แต่ผู้ศึกษาพึงทราบความเป็นปัจจัยแห่งธรรมเหล่านั้น ตามนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังเหมือนกัน. คำว่า ผลสมาปตฺติ กายิกสฺส สุขสฺส คือ ความสุขที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจรูปที่มีสมาบัติเป็นสมุฏ จริงอยู่ พระโยคีออกจากสมาบัติแล้ว ย่อมได้เสวยความสุขนั้น. ในคำว่า กายิกํ อุปนิสฺสาย สุขํ ทานํ เป็นต้น ผู้ศึกษาพึงทราบความสุขและความทุกข์ เป็นอุปนิสสยปัจจัยด้วยอำนาจสุขที่ได้รับแล้วยังไม่เสื่อมไปว่า ไฉนหนอ ความสุขนี้ของเราไม่พึงเสื่อมไป หรือด้วยอำนาจการบรรลุสุขที่ตนยังไม่ถึงว่า ไฉนหนอ เราพึงเข้าถึงความสุขอย่างนี้ในกาลต่อไป แม้ในทุกข์ก็พึงทราบด้วยอำนาจความเสื่อมไปว่า ไฉนหนอ ทุกข์พึงเสื่อมไป หรือด้วยอำนาจปรารถนาไม่ให้ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์อย่างนี้ไม่พึงเกิดต่อไป. ฤดู โภชนะและเสนาสนะ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นเอง. แม้ในคำว่า กายิกํ สุขํ เป็นต้นอีก มีความว่า เพราะศรัทธาย่อมเกิดแม้แก่บุคคลผู้ถึงสุขได้ เช่นในคำว่า ดูก่อนโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ การเข้าถึงพระพุทธเจ้านั้นว่าเป็นสรณะเป็นการดีแล, ย่อมเกิดแก่บุคคลแม้ถึงทุกข์ก็ได้ เช่นในคำว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองพระองค์นั้น ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อกำหนดรู้ทุกข์อย่างนี้. อนึ่ง บุคคลย่อมทำให้บริบูรณ์ในศีลเป็นต้น เพื่อประกอบตนไว้ในสุข และพรากเสียจากความทุกข์ เพราะฉะนั้น สุขและทุกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงโดยเป็นอุปนิสสัยแห่งศรัทธาเป็นต้น. แม้ฤดูเป็นต้น ผู้ศึกษาพึงประกอบอธิบายตามสมควร. แม้ในคำว่า กายิกํ สุขํ อุปนิสฺสาย ปาณํ หนติ เป็นต้น พึงทราบความที่สุขเป็นต้น เป็นอุปนิส ก็ในบทภาชนีย์แห่งอุปนิสสยปัจจัยนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบว่าอุปนิสสยปัจจัยทั้งสามทรงจำแนกไว้ ๒๓ วาระ คือกุศล ๘ อกุศล ๖ อัพยากตะ ๙ วาระนี้ คือกุศลเป็นปัจจัยแก่กุศล ด้วยอำนาจของอุปนิส อรรถกถาอุปนิสสยปัจจัย จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๑ อนุโลมติกปัฏฐาน กุสลัตติกะ ปัญหาวาร อุปนิสสยปัจจัย จบ. |