บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
จะพรรณนาบทโดยลำดับในเกวัฏฏสูตรนั้น. บทว่า ปวาริกัมพวัน คือ สวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี. บทว่า เกวัฏฏะนี้ เป็นชื่อ มีเรื่องเล่ามาว่า เกวัฏฏะบุตรคฤหบดีนั้นมีทรัพย์ประมาณ ๔๐ โกฏิ เป็น บทว่า มั่งคั่ง คือ มั่งคั่งสมบูรณ์. บทว่า มั่งมี คือ ถึงความเจริญ เพราะมากด้วยภัณฑะนานาชนิด. บทว่า คับคั่งไปด้วยมนุษย์ อธิบายว่า จอแจไปด้วยหมู่มนุษย์สัญจรไปมา ดูเหมือนว่าไหล่กับไหล่จะเสียดสีกัน. บทว่า จงจัด หมายถึง ขอร้อง คือตั้งให้ดำรงตำแหน่ง. บทว่า ธรรมที่ยิ่งยวดของมนุษย์ อธิบายว่า ยิ่งกว่า ธรรมของมนุษย์ผู้ยิ่งยวด หรือธรรมของมนุษย์ อันได้แก่กุศล ๑๐. บทว่า เป็นอย่างยิ่ง สุดที่จะประมาณได้ อธิบายว่า จักเลื่อมใสอย่างยิ่งสุดที่จะประมาณได้ เหมือนดวงประทีปที่โชติช่วง แม้กว่าปรกติ เพราะได้เชื้อน้ำมัน. บทว่า เราไม่แสดงธรรมอย่างนี้ มีอธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ในเรื่องราชคหเศรษฐี เพราะฉะนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า เราไม่แสดงธรรมอย่างนี้. บทว่า เราไม่กำจัด อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราจะไม่ทำลายโดยให้คุณธรรมพินาศไป คือให้ถึงการทำลายศีล แล้วลดลงจากฐานะสูง ตั้งอยู่ในฐานะต่ำโดยลำดับ โดยที่แท้เราหวังความเจริญของพระพุทธศาสนา จึงกล่าวดังนั้น. บทว่า แม้ครั้งที่ ๓ แล อธิบายว่า ไม่มีผู้สามารถจะกล่าวห้ามพระดำรัสของพระพุทธเจ้าถึง ๓ ครั้ง แต่เกวัฏฏะกราบทูลถึง ๓ ครั้งด้วยคิดว่า เราคุ้นเคยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นคนโปรด หวังต่อประโยชน์ ดังนี้. อิทฺธิปาฏิหาริยวณฺณนา ในบทเหล่านั้น บทว่า อมาหํ ภิกฺขุํ ตัดบทเป็น อมุํ อหํ ภิกฺขุํ บทว่า วิชาชื่อคันธารี อธิบายว่า วิชานี้ ฤษีชื่อคันธาระเป็นผู้ทำ หรือเป็นวิชาที่เกิดขึ้นในแคว้นคันธาระ. มีเรื่องเล่ากันมาว่า ในแคว้นคันธาระนั้น พวกฤษีอาศัยอยู่มาก บรรดาฤษีเหล่านั้น ฤษีผู้หนึ่งทำวิชานี้ขึ้น. บทว่า เราอึดอัด อธิบายว่า เราอยู่อย่างอึดอัดคือราวกะว่าถูกบีบ. บทว่า เราระอา คือ ละอาย. บทว่า เรารังเกียจ คือ เราเกิดความรังเกียจเหมือนเห็นคูถ. บทว่า แห่งสัตว์อื่น คือ แห่งสัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่น. บทที่ ๒ คือแห่งบุคคลอื่น เป็นไวพจน์ของบทนั้นนั่นแล. บทว่า ย่อมทาย คือ ย่อมกล่าว. บทว่า ความรู้สึกในใจ หมายถึง โสมนัสและโทมนัส. บทว่า ใจของท่านเป็นไปโดยอาการอย่างนี้ อธิบายว่า ใจของท่านตั้งอยู่ในโสมนัส โทมนัส หรือประกอบด้วยกามวิตกเป็นต้น. บทที่ ๒ เป็นไวพจน์ของบทนั้นแล. บทว่า จิตของท่านเป็นอย่างนี้ คือจิตของท่านเป็นเช่นนี้. อธิบายว่า จิตของท่านคิดถึงเรื่องนี้และเรื่องนี้เป็นไปแล้ว. บทว่า วิชาชื่อมณิกา ท่านชี้แจงว่า มีวิชาหนึ่งในโลกได้ชื่ออย่างนี้ว่า จินดามณี บุคคลย่อมรู้ถึงจิตของคนอื่นได้ ด้วยวิชาจินดามณีนั้น. อนุสาสนีปาฏิหาริยวณฺณนา บทว่า อย่าตรึกอย่างนี้ คือ อย่าตรึกให้เป็นไปทางกามวิตกเป็นต้น. บทว่า จงทำในใจอย่างนี้ คือ ทำในใจถึงอนิจจสัญญา หรือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในทุกขสัญญาเป็นต้นอย่างนี้. บทว่า อย่า ... อย่างนี้ คือ อย่าทำในใจโดยนัยเป็นต้นว่า เป็นของเที่ยง ดังนี้. บทว่า จงละสิ่งนี้ คือ จงละความกำหนัดอันเคลือบด้วยกามคุณนี้. บทว่า จงเข้าถึงสิ่งนี้ อธิบายว่า จงเข้าถึง คือบรรลุ สำเร็จ โลกุตตรธรรม อันได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นี้แลอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงฤทธิ์ต่างๆ ชื่ออิทธิ ในปาฏิหาริย์เหล่านั้น พระมหาโมคคัลลานะแสดงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ด้วยอิทธิ การแสดงธรรมเนืองๆ ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์. ในปาฏิหาริย์เหล่านั้น อิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทศนาปาฏิหาริย์ ยังติเตียนได้ ยังมีโทษ ไม่ยั่งยืนอยู่นาน เพราะไม่ยั่งยืนอยู่นาน จึงไม่นำสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้. อนุสาสนีปาฏิหาริย์เท่านั้นไม่ติเตียนได้ ไม่มีโทษ ตั้งอยู่ได้นาน เพราะตั้งอยู่ได้นาน จึงนำสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงติเตียนอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทศนาปาฏิหาริย์ ทรงสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์อย่างเดียว. บทว่า เรื่องเคยมีมาแล้วนี้ เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภขึ้น. ที่ทรงปรารภขึ้นก็เพื่อทรงแสดงถึงอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทศนาปาฏิหาริย์ไม่นำสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้ และเพื่อทรงแสดงถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์เท่านั้น ที่จะนำสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้. อีกอย่างหนึ่ง มีภิกษุรูปหนึ่งชื่อมหาภูตปริเยสกะ แสวงหามหาภูตรูป เที่ยวไปจนถึงพรหมโลก ไม่ได้ช่องแก้ปัญหา จึงมาทูลถามพระพุทธเจ้า แล้วก็หมดสงสัยไป. เพราะเหตุอะไร. เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เหตุการณ์อันนี้ได้ปกปิดแล้ว ครั้นต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงเปิดเผยแสดงเหตุการณ์นั้น จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า เรื่องเคยมีมาแล้ว ดังนี้. บทว่า ในที่ไหนหนอแล อธิบายว่า บุคคลอาศัยอะไรแล้ว บรรลุอะไร มหาภูต ๔ นั้น จึงดับโดยไม่เหลือด้วยอำนาจเป็นไปไม่ได้ในที่ไหน ก็มหาภูตกถานี้ ท่านกล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรคโดยพิสดาร. เพราะฉะนั้น ควรค้นหาจากวิสุทธิมรรคนั้นเถิด. บทว่า ทางไปเทวโลก คือ ชื่อว่าทางไปเทวโลกเฉพาะนั้น ไม่มี. ก็บทนั้นเป็นชื่อของอิทธิวิธญาณ. จริงอยู่ ทางนั้นเป็นไปสู่อำนาจทางกายย่อมไปสู่เทวโลก ตลอดถึงพรหมโลกได้โดยทางนั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าทางไปเทวโลก. บทว่า เทวดาชั้นจาตุมมหาราชโดยที่ใด ความว่า ภิกษุไม่ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ประทับอยู่ในที่ใกล้ สำคัญว่า ตามธรรมดา เทวดาที่เขาโจทกันย่อมมีอานุภาพ บทว่า รุ่งเรืองยิ่งนัก คือ งามเหลือเกิน. บทว่า วิเศษกว่า คือ สูงสุดด้วยวรรณะ ยศ และความเป็นใหญ่ เป็นต้น. พึงทราบเนื้อความในทุกวาระโดยนัยนี้. แต่เนื้อความนี้พิเศษ. นัยว่าท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่าปัญหานี้เป็นพุทธวิสัย คนอื่นไม่สามารถแก้ได้ ก็ภิกษุนี้ละเลยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอัครบุคคลในโลก เที่ยวถามพวกเทวดา ดุจคนละเว้นไฟเป่าหิ่งห้อย และดุจคน ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงดำริอีกว่า ภิกษุนั้นไปไกลมากแล้ว จักหมดสงสัยในสำนักของพระศาสดา. อนึ่ง ธรรมดาบุคคลเช่นนี้ก็มีอยู่ เมื่อเดินทางไปได้เพียงเล็กน้อย มักมีความลำบาก แต่ภายหลังจักรู้ ดังนี้ จึงกล่าวกะภิกษุนั้น เป็นต้นว่า แม้เราก็ไม่รู้ ดังนี้. แม้ทางไปพรหมโลก ก็เช่นเดียวกับทางไปเทวโลก. ทางไปเทวโลกก็ดี การเข้าถึงธรรมก็ดี ความแน่วแน่ชั่วขณะจิตหนึ่งก็ดี ความคิดคาดคะเนก็ดี จิตไปสูงก็ดี ความรู้ยิ่งก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นชื่อของอิทธิวิธญาณนั่นเอง. บทว่า บุพพนิมิต ท่านแสดงไว้ว่า นิมิตในส่วนแรกที่จะมาถึง เหมือนรุ่งอรุณมีเพราะพระอาทิตย์ขึ้น เพราะฉะนั้น พระพรหมจักมาในบัดนี้. พวกข้าพเจ้ารู้เพียงนี้. บทว่า ปาตุรโหสิ แปลว่า ได้ปรากฏแล้ว. ครั้งนั้นแล พระพรหมเมื่อถูกภิกษุนั้นถาม รู้ความที่มิใช่วิสัยของตน จึงคิดว่า หากเราบอกว่า เราไม่รู้ พวกนี้จักดูหมิ่นเรา ถ้าเราจักกล่าวอะไรๆ ทำเป็นเหมือนรู้ ภิกษุไม่มีจิตปรารภด้วยคำพยากรณ์ของเรา จักยกคำพูดของเรา เมื่อเราบอกว่า ดูก่อนภิกษุ เราเป็นพรหม ดังนี้เป็นต้น ใครๆ ก็จักไม่เชื่อถ้อยคำ ถ้ากระไร เราจะบอกปัดส่งภิกษุนี้ไปเฝ้าพระศาสดาดังนี้ จึงกล่าวว่า ดูก่อนภิกษุ เราเป็นพรหม ดังนี้เป็นต้น. บทว่า นำออกไป ณ ส่วนข้างหนึ่ง ดังนี้ เพราะเหตุไรจึงได้ทำอย่างนั้นเพราะเพื่อความพิศวง. บทว่า เสาะหาการพยากรณ์ในภายนอก อธิบายว่า ถึงการแสวงหา บทว่า นก ได้แก่ กา หรือ เหยี่ยว. ข้อว่า ภิกษุไม่ควรถามปัญหาอย่างนี้ มีอธิบายว่า เพราะภิกษุควรถามปัญหาให้ถูกจุดหมาย ก็ภิกษุนี้ถือ สิ่งไม่มีใจครองถามนอกจุดหมาย ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปฏิเสธ. นัยว่า การแสดงโทษคำถามของผู้หลงผิดในคำถาม แล้วให้สำเหนียกคำถาม จึงตอบในภายหลังเป็นหลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เพราะเหตุไร. เพราะผู้ไม่รู้เพื่อจะถามจึงถาม ชื่อว่าเป็นคนไม่ฉลาด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้สำเหนียกปัญหาจึงตรัสว่า อาโปธาตุย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน ดังนี้เป็นต้น. บทว่า ตั้งอยู่ไม่ได้ คือ ดำรงอยู่ไม่ได้. มีอธิบายว่า มหาภูตรูป ๔ เหล่านี้อาศัยอะไรจึงเป็นอันตั้งอยู่ไม่ได้ ท่านถามหมายถึงสิ่งมีใจครองเท่านั้น. บทว่า ยาวและสั้น ท่านกล่าวถึงอุปาทายรูปโดยสัณฐาน. บทว่า ละเอียด หยาบ หมายถึง เล็กหรือใหญ่. ท่าน บทว่า งามและไม่งาม คือ อุปาทายรูปที่ดีและไม่ดีนั่นเอง ก็ที่ว่า อุปาทายรูปงามไม่งาม มีอยู่ หรือ ไม่มี. แต่ท่านกล่าวถึงอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์อย่างนี้. บทว่า นามและรูป คือ นามและรูปอันต่างกันมียาว เป็นต้น. บทว่า อุปรุชฺฌติ แปลว่า ย่อมดับไป. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงคำถามว่า ควรจะถามอย่างนี้ว่า นามและรูปนั้นอาศัยอะไรจึงเป็นไปไม่ได้อย่างไม่มีเหลือ เมื่อจะทรงแก้ปัญหาจึงตรัสว่า ในปัญหานั้นมีพยากรณ์ดังนี้ แล้วตรัสว่า ธรรมชาติที่รู้แจ้ง เป็นต้น บทว่า ควรรู้แจ้ง คือ ธรรมชาติที่รู้แจ้ง. เป็นชื่อของนิพพาน. นิพพานนั้น แสดงไม่ได้ เพราะไม่มีการแสดง. นิพพานชื่อว่าไม่มีที่สุด เพราะไม่มีเกิด ไม่มีเสื่อม ไม่มีความเป็นอย่างอื่นของผู้ตั้งอยู่. บทว่า แจ่มใส คือ น้ำสะอาด. นัยว่า บทนี้เป็นชื่อของท่าน้ำ. เป็นที่น้ำไหล ท่านทำปอักษรให้เป็นภอักษร ท่าข้ามของนิพพานนั้นมีอยู่ทุกแห่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อมีท่าข้ามทุกแห่ง. ชนทั้งหลายประสงค์จะข้ามจากที่ใดๆ ของมหาสมุทร มีท่าเป็นเส้นทางที่จะไม่มีท่าไม่มี ฉันใด ชนทั้งหลายประสงค์จะข้ามให้ถึงพระนิพพานโดยอุบายอันใดใน พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงอุบายดับไม่มีเหลือของธรรมชาตินั้น จึงตรัสว่า เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้. บทว่า วิญญาณ คือ วิญญาณเดิมบ้าง วิญญาณที่ปรุงแต่งบ้าง. จริงอยู่ เพราะวิญญาณเดิมดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ คือว่าย่อมถึงความไม่มีบัญญัติเหมือนเปลวประทีปที่ถูกเผาหมดไป ฉะนั้น เพราะไม่เกิดขึ้น และดับไปโดยไม่เหลือแห่งวิญญาณที่ปรุงแต่งนามและรูป จึงดับโดยไม่เกิดขึ้น เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า เพราะดับวิญญาณที่ปรุงแต่งด้วยโสดาปัตติมัคคญาณ นามและรูปที่พึงเกิดในสังสารวัฏอันไม่มีเบื้องต้น และที่สุด เว้นภพทั้ง ๗ ย่อมดับโดยไม่มีเหลือ๑- ในธรรมชาตินี้ ดังนี้. ทั้งหมดพึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้วในจูฬนิเทศนั้นแล. ____________________________ ๑- ขุ. จูฬ. เล่ม ๓๐/ข้อ ๘๙ ส่วนที่เหลือในทุกๆ บทง่ายทั้งนั้น. อรรถกถาเกวัฏฏสูตรแห่งอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อสุมังคลวิลาสินีจบแล้วด้วยประการฉะนี้. สูตรที่ ๑๑ จบ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เกวัฏฏสูตร จบ. |