บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
__________________________ * ม. โคลิลฯ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระโกกาลิกะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย เว กาเล อสมฺปตฺเต ดังนี้. เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารแล้วใน ตักการิยชาดก. ส่วนเรื่องในอดีตมีดังต่อไปนี้:- ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิ ครั้นวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน แล้วประทับนั่งบนแผ่นศิลาอันเป็น จำเนียรกาลล่วงมา ลูกนกดุเหว่าก็ออกจากฟองไข่นั้น นางกาสำคัญว่าบุตรของเราจึงนำอาหารมาด้วยจะงอยปาก ปรนนิบัติลูกนกดุเหว่านั้น. ลูกนกดุเหว่านั้นขนปีกยังไม่งอกก็ส่งเสียงร้องเป็นเสียงดุเหว่า ในกาลอันไม่ควรร้องเลย. นางกาคิดว่า ลูกนกนี้มันร้องเป็นเสียงอื่นในบัดนี้ก่อน เมื่อโตขึ้นจักทำอย่างไร จึงตีด้วยจะงอยปากให้ตายตกไปจากรัง. ลูกนกดุเหว่านั้นตกลงใกล้พระบาทของพระราชา. พระราชารับสั่งถามพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คิดว่า เราแสวง แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :- เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด ผู้ใดพูดเกินเวลาไป ผู้นั้นย่อมถูกทำร้าย ดุจลูกนกดุเหว่าฉะนั้น. มีดที่ลับคมกริบ ดุจยาพิษที่ร้ายแรง หาทำให้ตกไปทันทีทันใด เหมือนวาจาทุพ เพราะฉะนั้น บัณฑิตควรรักษาวาจาไว้ ทั้งในกาลที่ควรพูดและไม่ควร ไม่ควรพูดให้เกินเวลา แม้ในคนผู้เสมอกับตน. ผู้ใดมีความคิดเห็นเป็นเบื้องหน้า มีปัญญาเครื่องพิจารณาเห็นประจักษ์ พูดพอเหมาะในกาลที่ควรพูด ผู้นั้นย่อมจับศัตรูได้ทั้งหมด ดุจครุฑจับนาคได้ฉะนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเล อสมฺปตฺเต ได้แก่ เมื่อกาลที่จะพูดของตน ยังไม่ถึง. บทว่า อติเวลํ ความว่า ย่อมพูดเกินประมาณ ทำให้ล่วงเลยเวลา. บทว่า หลาหลมฺมิว ตัดเป็น หลาหลํอิว แปลว่า เหมือนยาพิษอันร้ายแรง. บทว่า นิกฺกเฒ ได้แก่ ในขณะนั้นเอง คือในกาลอันยังไม่ถึง. บทว่า ตสฺมา ได้แก่ เพราะเหตุที่คำทุพภาษิตเท่านั้น ย่อมทำให้ตกไปเร็วพลัน แม้กว่าศาตราที่ลับคมกริบ และยาพิษอันร้ายแรง. บทว่า กาเล อกาเล จ ความว่า บัณฑิตพึงรักษาวาจาทั้งในกาลและมิใช่กาลที่ควรกล่าว ไม่ควรกล่าวเกินเวลา แม้กะบุคคลผู้เสมอกับตน คือแม้กะบุคคลผู้มีการกระทำไม่ต่างกัน. บทว่า มติปุพฺโพ ได้แก่ ชื่อว่ามีความคิดเป็นเบื้องหน้า เพราะกระทำความคิดให้เป็นปุเรจาริกอยู่ข้างหน้าแล้วจึงกล่าว. บทว่า วิจกฺขโณ ความว่า บุคคลผู้พิจารณาด้วยญาณแล้วได้ประโยชน์ ชื่อว่าผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์. บทว่า อุรคมิว ตัดเป็น อุรคํ อิว แปลว่า เหมือนสัตว์ผู้ไปด้วยอก (งู). ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ว่า ครุฑทำทะเลให้ปั่นป่วนแล้วยึด คือจับงูตัวมีขนาดใหญ่ ก็แลครั้นจับได้แล้ว ทันใดนั้นเอง ก็ยกหิ้วงูนั้นขึ้นสู่ต้นงิ้ว กินเนื้ออยู่ ฉันใด บุคคลผู้มีความคิดเกิดขึ้นก่อนเป็นเบื้องหน้า มีปัญญาเป็นเครื่องเห็นประจักษ์ กล่าวพอประมาณในกาลที่ควรกล่าว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมยึดคือจับพวกอมิตรทั้งหมดได้ คือทำให้อยู่ในอำนาจของตนได้. พระราชาทรงสดับธรรมเทศนาของพระโพธิสัตว์แล้ว ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้มีพระดำรัส พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ลูกนกดุเหว่าในกาลนั้น ได้เป็น พระโกกาลิกะ ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา โกกาลิกชาดก จบ. |