บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ | |
|
|
[๓๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่นำเอาภาระที่ยังไม่มาถึงไป ๑ คนที่ไม่นำเอาภาระที่มาถึงไป ๑ ดูกรภิกษุ- *ทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่นำภาระที่มาถึงไป ๑ คนที่ไม่นำเอาภาระที่ยังไม่มาถึงไป ๑ ดูกรภิกษุ- *ทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าควรในของที่ไม่ควร ๑ คนที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ควร ๑ ดูกร- *ภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ไม่ควร ๑ คนที่เข้าใจว่าควรในของที่ควร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวก เป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าเป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นอาบัติใน ข้อที่เป็นอาบัติ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑ คนที่เข้าใจว่าเป็นอาบัติใน ข้อที่เป็นอาบัติ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าเป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็นธรรม ๑ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นธรรมใน ข้อที่เป็นธรรม ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็นธรรม ๑ คนที่เข้าใจว่าเป็นธรรมใน ข้อที่เป็นธรรม ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าเป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัยในข้อ ที่เป็นวินัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑ คนที่เข้าใจว่าเป็นวินัยในข้อที่ เป็นวินัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวก เป็นไฉน คือ ผู้ที่รังเกียจสิ่งที่ไม่น่ารังเกียจ ๑ ผู้ที่ไม่รังเกียจสิ่งที่น่ารังเกียจ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวก เป็นไฉน คือ ผู้ที่ไม่รังเกียจสิ่งที่ไม่น่ารังเกียจ ๑ ผู้ที่รังเกียจสิ่งที่น่ารังเกียจ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวก เป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าควรในของที่ไม่ควร ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ควร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ไม่ควร ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าควร ในของที่ควร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวก เป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็น อาบัติในข้อที่เป็นอาบัติ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก นี้แล ฯ [๓๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑ ผู้ที่ เข้าใจว่าเป็นอาบัติในข้อที่เป็นอาบัติ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญ แก่คน ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวก เป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็นธรรม ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็น ธรรมในข้อที่เป็นธรรม ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก นี้แล ฯ [๓๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็นธรรม ๑ ผู้ที่เข้าใจ ว่าเป็นธรรมในข้อที่เป็นธรรม ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวก เป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัย ในข้อที่เป็นวินัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล ฯ [๓๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑ ผู้ที่เข้าใจ ว่าเป็นวินัยในข้อที่เป็นวินัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล ฯจบพาลวรรคที่ ๕ จบทุติยปัณณาสก์ ----------------------------------------------------- เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๒๑๙๑-๒๒๕๘ หน้าที่ ๙๔-๙๖. https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=2191&Z=2258&pagebreak=0 ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [คลิกเพื่อฟัง] อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=20&siri=38 ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=343 ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- [343-362] https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=20&item=343&items=20 อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=15&A=1423 The Pali Tipitaka in Roman :- [343-362] https://84000.org/tipitaka/pali/roman_item_s.php?book=20&item=343&items=20 The Pali Atthakatha in Roman :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=15&A=1423 สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ https://84000.org/tipitaka/read/?index_20 อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://84000.org/tipitaka/english/metta.lk/20i343-e.php# https://accesstoinsight.org/tipitaka/an/an02/an02.098.than.html https://suttacentral.net/an2.98-117/en/sujato https://suttacentral.net/an2.98-117/en/thanissaro
บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]