ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับภาษาไทย   บาลีอักษรไทย   บาลีอักษรโรมัน 
อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
             [๓๐๔] 	ข้าพระองค์มา เพื่อจะทูลถามถึงคนผู้เสื่อม และคนผู้เจริญ
                          กะท่านพระโคดม จึงขอทูลถามว่าอะไรเป็นทางของคน
                          เสื่อม ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                          ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ ผู้รู้ชั่วเป็นผู้เสื่อม ผู้ใคร่ธรรมเป็นผู้เจริญ
                          ผู้เกลียดธรรมเป็นผู้เสื่อม เพราะเหตุนั้นแล เราจงทราบชัด
                          ข้อนี้เถิดว่าความเสื่อมนั้นเป็นที่ ๑
                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๒
                          อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ฯ
                          คนมีอสัตบุรุษเป็นที่รัก ไม่กระทำสัตบุรุษให้เป็นที่รัก ชอบใจ
                          ธรรมของอสัตบุรุษ ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม เพราะเหตุ
                          นั้นแล เราจงทราบข้อนี้เถิดว่า ความเสื่อมนั้นเป็นที่ ๒ ฯ
                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๓
                          อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ฯ
                          คนใดชอบนอน ชอบคุย ไม่หมั่น เกียจคร้าน โกรธง่าย
                          ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม เพราะเหตุนั้นแล เราจงทราบ
                          ชัดข้อนี้เถิดว่า ความเสื่อมนั้นเป็นที่ ๓ ฯ
                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๔
                          อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ฯ
                          คนใดสามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดาผู้แก่เฒ่า ผ่านวัย
                          หนุ่มสาวไปแล้ว ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม เพราะเหตุ
                          นั้นแล เราจงทราบชัดข้อนี้เถิดว่า ความเสื่อมนั้นเป็นที่ ๔ ฯ
                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๕
                          อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ฯ
                          คนใดลวงสมณะพราหมณ์ หรือแม้วณิพกอื่นด้วยมุสาวาท
                          ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม เพราะเหตุนั้นแล เราจงทราบ
                          ชัดข้อนี้เถิดว่า ความเสื่อมนั้นเป็นที่ ๕ ฯ
                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๖
                          อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ฯ
                          คนมีทรัพย์มาก มีเงินทองของกิน กินของอร่อยแต่ผู้เดียว
                          ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม เพราะเหตุนั้นแล เราจงทราบ
                          ชัดข้อนี้เถิดว่า ความเสื่อมนั้นเป็นที่ ๖ ฯ
                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๗
                          อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ฯ
                          คนใดหยิ่งเพราะชาติ หยิ่งเพราะทรัพย์ และหยิ่งเพราะโคตร
                          ย่อมดูหมิ่นญาติของตน ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม เพราะ
                          เหตุนั้น เราจงทราบชัดข้อนี้เถิดว่า ความเสื่อมนั้นเป็นที่ ๗ ฯ
                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๘
                          อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ฯ
                          คนใดเป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา และเป็นนักเลง
                          การพนันผลาญทรัพย์ที่ตนหามาได้ ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
                          เพราะเหตุนั้นแล เราจงทราบชัดข้อนี้เถิดว่า ความเสื่อม
                          นั้นเป็นที่ ๘ ฯ
                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๙
                          อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ฯ
                          คนไม่สันโดษด้วยภริยาของตน ประทุษร้ายในภริยาของคนอื่น
                          เหมือนประทุษร้ายในหญิงแพศยา ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
                          เพราะเหตุนั้นแล เราจงทราบชัดข้อนี้เถิดว่า ความเสื่อม
                          นั้นเป็นที่ ๙ ฯ
                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๑๐
                          อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ฯ
                          ชายแก่ได้หญิงรุ่นสาวมาเป็นภริยา ย่อมนอนไม่หลับ เพราะ
                          ความหึงหวงหญิงรุ่นสาวนั้น ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
                          เพราะเหตุนั้น เราจงทราบชัดข้อนี้เถิดว่า ความเสื่อมนั้น
                          เป็นที่ ๑๐ ฯ
                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๑๑
                          อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ฯ
                          คนใดตั้งหญิงนักเลงสุรุ่ยสุร่าย หรือแม้ชาย เช่นนั้นไว้ในความ
                          เป็นใหญ่ ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม เพราะเหตุนั้น
                          เราจงทราบชัดข้อนี้เถิดว่า ความเสื่อมนั้นเป็นที่ ๑๑ ฯ
                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงตรัสบอกคนเสื่อมที่ ๑๒
                          อะไรเป็นทางของคนเสื่อม ฯ
                          ก็บุคคลผู้เกิดในสกุลกษัตริย์ มีโภคทรัพย์น้อย มีความมักใหญ่
                          ปรารถนาราชสมบัติ ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม บัณฑิตผู้ถึง
                          พร้อมด้วยความเห็นอันประเสริฐ พิจารณาเห็นคนเหล่านี้
                          เป็นผู้เสื่อมในโลก ท่านย่อมคบโลกที่เกษม (คนผู้เจริญ) ฯ
จบปราภวสูตรที่ ๖
วสลสูตรที่ ๗
[๓๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มี พระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ยังพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ก่อไฟแล้วตกแต่ง ของที่ควรบูชา อยู่ในนิเวศน์ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ตามลำดับตรอก ในพระนครสาวัตถี เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของอัคคิกภารทวาช- *พราหมณ์ อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนโล้น หยุดอยู่ที่ นั่นแหละสมณะ หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนถ่อย ฯ เมื่ออัคคิกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส ถามว่า ดูกรพราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อย หรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็น คนถ่อยหรือ ฯ อ. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่รู้จักคนถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำ ให้เป็นคนถ่อย ดีละ ขอท่านพระโคดมจงแสดงธรรมตามที่ข้าพเจ้าจะพึงรู้จักคน ถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยเถิด ฯ พ. ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระ- *คาถาประพันธ์นี้ว่า [๓๐๖] ๑. คนมักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่อย่างเลว มีทิฐิวิบัติ และ มีมายา พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ๒. คนผู้เบียดเบียนสัตว์ที่เกิดหนเดียว แม้หรือเกิดสองหน ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๓. คนเบียดเบียน เที่ยวปล้น มีชื่อเสียงว่า ฆ่าชาวบ้าน และชาวนิคม พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๔. คนลักทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน ไม่ได้อนุญาตให้ ใน บ้านหรือในป่า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๕. คนที่กู้หนี้มาใช้แล้วกล่าวว่า หาได้เป็นหนี้ท่านไม่ หนี ไปเสีย พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๖. คนฆ่าคนเดินทาง ชิงเอาสิ่งของ เพราะอยากได้สิ่งของ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๗. คนถูกเขาถามเป็นพยาน แล้วกล่าวคำเท็จ เพราะเหตุ แห่งตนก็ดี เพราะเหตุแห่งผู้อื่นก็ดี เพราะเหตุแห่งทรัพย์ ก็ดี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๘. คนผู้ประพฤติล่วงเกิน ในภริยาของญาติก็ตาม ของ เพื่อนก็ตาม ด้วยข่มขืนหรือด้วยการร่วมรักกัน พึงรู้ว่าเป็น คนถ่อย ฯ ๙. คนผู้สามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่านวัย หนุ่มสาวไปแล้ว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๑๐. คนผู้ทุบตีด่าว่ามารดาบิดา พี่ชายพี่สาว พ่อตาแม่ยาย แม่ผัวหรือพ่อผัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๑๑. คนผู้ถูกถามถึงประโยชน์ บอกสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ พูดกลบเกลื่อนเสีย พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๑๒. คนทำกรรมชั่วแล้ว ปรารถนาว่าใครอย่าพึงรู้เรา ปกปิด ไว้ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๑๓. คนผู้ไปสู่สกุลอื่นแล้ว และบริโภคโภชนะที่สะอาด ย่อมไม่ตอบแทนเขาผู้มาสู่สกุลของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๑๔. คนผู้ลวงสมณะ พราหมณ์ หรือแม้วณิพกอื่น ด้วย มุสาวาท พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๑๕. เมื่อเวลาบริโภคอาหาร คนผู้ด่าสมณะหรือพราหมณ์ และไม่ให้โภชนะ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๑๖. คนในโลกนี้ ผู้อันโมหะครอบงำแล้ว ปรารถนา ของเล็กน้อย พูดอวดสิ่งที่ไม่มี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๑๗. คนเลวทราม ยกตนและดูหมิ่นผู้อื่น ด้วยมานะ ของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๑๘. คนฉุนเฉียว กระด้าง มีความปรารถนาลามก มี ความตระหนี่ โอ้อวด ไม่ละอาย ไม่สะดุ้งกลัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๑๙. คนติเตียนพระพุทธเจ้า หรือติเตียนบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์สาวกของพระพุทธเจ้า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ ๒๐. ผู้ใดแลไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ปฏิญาณว่าเป็นพระ- อรหันต์ ผู้นั้นแลเป็นคนถ่อยต่ำช้า เป็นโจรในโลกพร้อม ทั้งพรหมโลก คนเหล่าใด เราประกาศแก่ท่านแล้ว คนเหล่านั้นนั่นแล เรากล่าวว่าเป็นคนถ่อย ฯ บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ท่าน จงรู้ข้อนั้น ตามที่เราแสดงนี้ บุตรของคนจัณฑาลเลี้ยง ตัวเองได้ ปรากฏชื่อว่าตังมาคะ เป็นคนกินของที่ตนให้ สุกเอง เขาได้ยศอย่างสูงที่ได้แสนยาก กษัตริย์และ พราหมณ์เป็นอันมากได้มาสู่ที่บำรุงของเขา เขาขึ้นยานอัน ประเสริฐ ไปสู่หนทางใหญ่อันไม่มีฝุ่น เขาสำรอกกาม- ราคะเสียได้แล้ว เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก ชาติไม่ได้ ห้ามเขาให้เข้าถึงพรหมโลก พราหมณ์เกิดในสกุลผู้สาธยาย- มนต์ เป็นพวกร่ายมนต์ แต่พวกเขาปรากฏในบาปกรรม อยู่เนืองๆ พึงถูกติเตียนในปัจจุบันทีเดียว และภพหน้า ก็เป็นทุคติ ชาติห้ามกันพวกเขาจากทุคติหรือจากครหาไม่ได้ บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ฯ

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๗๒๒๕-๗๓๗๐ หน้าที่ ๓๑๗-๓๒๓. https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=25&A=7225&Z=7370&pagebreak=0 https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=25&item=304&items=3              อ่านโดยใช้เครื่องหมาย [เลขข้อ] เป็น เกณฑ์แบ่งข้อ :- https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=25&item=304&items=3&mode=bracket              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item.php?book=25&item=304&items=3              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรโรมัน :- https://84000.org/tipitaka/read/roman_item.php?book=25&item=304&items=3              ศึกษาอรรถกถานี้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=304              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ https://84000.org/tipitaka/read/?index_25 https://84000.org/tipitaka/english/?index_25

อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย

บันทึก ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึกล่าสุด ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎก ฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]