ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับภาษาไทย   บาลีอักษรไทย   บาลีอักษรโรมัน 
แสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๒ ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
             [๑] 	พราหมณ์พาวรี เป็นผู้เรียนจบมนต์ ปรารถนาความเป็นผู้ไม่
                          มีกังวล ออกจากพระนครโกศลอันน่ารื่นรมย์ ไปสู่
                          ทักขิณาปถชนบท
             [๒] 	พราหมณ์นั้นอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี อันเป็นพรมแดนแว่น
                          แคว้นอัสสกะและแว่นแคว้นมุฬกะต่อกัน เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วย
                          การเที่ยวภิกขาและผลไม้.
             [๓] 	เมื่อพราหมณ์นั้นเข้าไปอาศัย (อยู่) บ้านได้เป็นหมู่ใหญ่ด้วย
                          ความเจริญอันเกิดแต่บ้านนั้น พราหมณ์นั้นได้บูชามหายัญ
             [๔] 	พราหมณ์นั้นบูชามหายัญแล้วก็กลับเข้าไปสู่อาศรม เมื่อ
                          พราหมณ์นั้นกลับเข้าไปแล้ว พราหมณ์อื่นก็มา.
             [๕] 	พราหมณ์อื่นมีเท้าพิการ เดินงกงัน ฟันเขลอะ มีธุลีบนศีรษะ
                          เข้าไปหาพาวรีพราหมณ์แล้ว ขอทรัพย์ห้าร้อย.
             [๖] 	พาวรีพราหมณ์เห็นพราหมณ์นั้นเข้าแล้ว ก็เชิญให้นั่ง แล้ว
                          ก็ถามถึงความสุขสำราญและความไม่มีโรค และได้กล่าว
                          คำนี้ว่า
             [๗] 	ทรัพย์ของเรามีอันจะพึงให้ เราสละหมดแล้ว. ดูกรพราหมณ์
                          ท่านเชื่อเราเถิด ทรัพย์ห้าร้อยของเราไม่มี.
             [๘] 	ถ้าเมื่อเราขอ ท่านจักไม่ให้. ในวันที่เจ็ด ศีรษะของท่านจง
                          แตกเจ็ดเสี่ยง.
             [๙] 	พราหมณ์นั้นเป็นคนโกหก ปรุงแต่งแสดงเหตุให้กลัว.
                          พราหมณ์พาวรีได้ฟังคำของพราหมณ์นั้นแล้ว ก็เป็นทุกข์.
             [๑๐] 	มีลูกศรคือความโศกเสียบแทงแล้ว ไม่บริโภคอาหาร ก็ซูบ
                          ผอม. ใช่แต่เท่านั้น ใจของพาวรีพราหมณ์ผู้มีจิตเป็นอย่างนั้น
                          ย่อมไม่ยินดีในการบูชา.
             [๑๑] 	เทวดา (ที่สิงอยู่ใกล้อาศรมของพราหมณ์พาวรี) ผู้ปรารถนา
                          ประโยชน์ เห็นพาวรีพราหมณ์หวาดกลัวเป็นทุกข์อยู่ จึงเข้า
                          ไปหาพราหมณ์พาวรีแล้วได้กล่าวว่า.
             [๑๒] 	พราหมณ์ผู้มีความต้องการทรัพย์นั้น เป็นคนโกหก ย่อม
                          ไม่รู้จักศีรษะ. ความรู้จักศีรษะหรือธรรมอันให้ศีรษะตกไป
                          ย่อมไม่มีแก่พราหมณ์นั้น.
             [๑๓] 	พาวรีพราหมณ์ดำริว่า เทวดานี้อาจรู้ได้ในบัดนี้. (กล่าวว่า)
                          ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอท่านจงบอกศีรษะและธรรมอันให้ศีรษะ
                          ตกไปแก่ข้าพเจ้าเถิด. ข้าพเจ้าจะขอฟังคำของท่าน.
             [๑๔] 	แม้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักศีรษะและธรรมอันให้ศีรษะตกไป. ข้าพเจ้า
                          ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้. ความเห็นซึ่งศีรษะและธรรมอันให้
                          ศีรษะตกไป ย่อมมีแก่พระชินะทั้งหลายเท่านั้น.
             [๑๕] 	พา. ก็ในบัดนี้ ใครในปฐพีมณฑลนี้ย่อมรู้จักศีรษะและธรรม
                          อันให้ศีรษะตกไป. ดูกรเทวดา ขอท่านจงบอกท่านผู้นั้นแก่
                          ข้าพเจ้าเถิด.
             [๑๖] 	เท. พระสักยบุตร เป็นวงศ์ของพระโอกกากราชเสด็จออก
                          จากเมืองกบิลพัสดุ์บุรี เป็นพระพุทธเจ้าผู้นำสัตว์โลก เป็น
                          ผู้ทำ (แสดง) ธรรมอันสว่าง.
             [๑๗] 	ดูกรพราหมณ์ พระสักยบุตรนั่นแหละ เป็นพระสัมพุทธเจ้า
                          ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง บรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวง มี
                          จักษุในธรรมทั้งปวง ทรงถึงธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งธรรม
                          ทั้งปวง ทรงน้อมพระทัยไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ.
             [๑๘] 	พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระพุทธเจ้าในโลก มี
                          พระจักษุ ย่อมทรงแสดงธรรม. ท่านจงไปทูลถามพระองค์เถิด.
                          พระองค์จักทรงพยากรณ์ปัญหานั้นแก่ท่าน.
             [๑๙] 	พราหมณ์พาวรีได้ฟังคำว่า พระสัมพุทธเจ้า แล้วมีความ
                          เบิกบานใจ มีความโศกเบาบาง และได้ปีติอันไพบูลย์.
             [๒๐] 	พราหมณ์พาวรีนั้น มีใจยินดี มีความเบิกบาน โสมนัส
                          ถามถึง (พระผู้มีพระภาค) กะเทวดานั้น. (และประกาศว่า)
                          พระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ประทับอยู่ ณ ที่ใด
                          คือ บ้านนิคมหรือชนบทที่เขาทำแล้ว เราทั้งหลายพึงไป
                          นมัสการพระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่าสัตว์ ณ ที่นั้น.
             [๒๑] 	เท. พระสักยบุตรนั้น เป็นพระชินะ มีพระปัญญาสามารถ
                          มีพระปัญญากว้างขวางเช่นแผ่นดินอันประเสริฐ เป็น
                          นักปราชญ์ ไม่มีอาสวะ ทรงรู้แจ้งศีรษะและธรรมอันให้
                          ศีรษะตกไป ทรงองอาจกว่านรชน ประทับอยู่ ณ พระราช-
                          มณเฑียรแห่งพระเจ้าโกศลในพระนครสาวัตถี.
             [๒๒] 	ลำดับนั้น พราหมณ์พาวรีได้เรียกพราหมณ์ทั้งหลายผู้เป็นศิษย์
                          ผู้ถึงฝั่งแห่งมนต์มา (บอกว่า). ดูกรมาณพทั้งหลาย มานี่เถิด.
                          เราจักบอก.ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำของเรา.
             [๒๓] 	ความปรากฏเนืองๆ แห่งพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดนั้น
                          ยากที่จะหาได้ในโลก วันนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
                          เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก มีพระนามปรากฏว่า พระ-
                          สัมพุทธเจ้า. ท่านทั้งหลายจงรีบไปเมืองสาวัตถี ดู
                          พระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์.
             [๒๔] 	ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ก็ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นแล้วจะรู้จักว่า
                          เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะรู้จัก
                          พระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยอุบายอย่างไร? ขอท่านจง
                          บอกอุบายนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้ไม่รู้เถิด.
             [๒๕] 	พา. ก็มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ มาแล้วในมนต์ทั้งหลาย
                          ท่านกล่าวไว้แจ่มแจ้งบริบูรณ์แล้วโดยลำดับ.
             [๒๖] 	ท่านผู้ใดมีมหาบุรุษลักษณะเหล่านั้นในกายตัว ท่านผู้นั้นมีคติ
                          เป็นสองอย่างเท่านั้น มิได้มีคติเป็นที่สาม.
             [๒๗] 	คือ ถ้าอยู่ครองเรือน พึงครอบครองแผ่นดินนี้. ย่อมปกครอง
                          โดยธรรม โดยไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศาตรา.
             [๒๘] 	และถ้าท่านผู้นั้นออกบวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระ-
                          อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกิเลสดังหลังคาอันเปิดแล้ว
                          ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า.
             [๒๙] 	พราหมณ์พาวรี (บอกแล้ว) ซึ่งชาติ โคตร ลักษณะ
                          และมนต์อย่างอื่นอีก กะพวกศิษย์ (ได้สั่งว่า). ท่าน
                          ทั้งหลายจงถามถึงศีรษะ และธรรมอันให้ศีรษะตกไปด้วยใจ
                          เท่านั้น.
             [๓๐] 	ถ้าท่านผู้นั้นจักเป็นพระพุทธเจ้าผู้เห็นธรรมไม่มีเครื่องกั้น. เมื่อ
                          ท่านทั้งหลายถามปัญหาด้วยใจแล้ว ก็จักแก้ด้วยวาจา.
             [๓๑] 	พราหมณ์ ๑๖ คน ผู้เป็นศิษย์ คือ อชิตพราหมณ์ ติสสเมตเตยย-
                          พราหมณ์ ปุณณกพราหมณ์ เมตตคูพราหมณ์.
             [๓๒] 	โธตกพราหมณ์ อุปสีวพราหมณ์ นันทพราหมณ์ เหมก-
                          พราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ กัปปพราหมณ์ ชตุกัณณี-
                          พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต.
             [๓๓] 	ภัทราวุธพราหมณ์ อุทยพราหมณ์ โปสาลพราหมณ์ โมฆ-
                          ราชพราหมณ์ผู้เป็นนักปราชญ์ ปิงคิยพราหมณ์ผู้แสวงหาคุณใหญ่
                          ได้ฟังวาจาของพราหมณ์พาวรีแล้ว.
             [๓๔] 	ทั้งหมดนั้น เฉพาะคนหนึ่งๆ เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ ปรากฏ
                          แก่โลกทั้งปวง เป็นผู้เจริญฌาน ยินดีในฌาน เป็นธีรชน
                          ผู้มีจิตอบรมด้วยวาสนาในกาลก่อน.
             [๓๕] 	พราหมณ์ผู้เป็นศิษย์ทุกคน ทรงชฎาและหนังเสือ อภิวาท
                          พราหมณ์พาวรีและกระทำประทักษิณแล้ว มุ่งหน้าเดินไปทาง
                          ทิศอุดร.
             [๓๖] 	สู่สถานเป็นที่ตั้งแห่งแว่นแคว้นมฬุกะ เมืองมาหิสสติในกาล
                          นั้น เมืองอุชเชนี เมืองโคนัทธะ เมืองเวทิสะ เมืองวน-
                          สวหยะ.
             [๓๗] 	เมืองโกสัมพี เมืองสาเกต เมืองสาวัตถี เป็นเมืองอุดม
                          เมืองเสตัพยะ เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองกุสินารา.
             [๓๘] 	เมืองปาวา โภคนคร เมืองเวสาลี เมืองมคธและปาสาณเจดีย์
                          อันเป็นรมณียสถาน น่ารื่นรมย์ใจ.
             [๓๙] 	พราหมณ์เหล่านั้นรีบขึ้นสู่ภูเขา (ปาสาณเจดีย์) เหมือนคน
                          กระหายน้ำรีบหาน้ำเย็น เหมือนพ่อค้ารีบหาลาภใหญ่ และเหมือน
                          คนถูกความร้อนแผดเผาและรีบหาร่ม ฉะนั้น.
             [๔๐] 	ก็ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคอันภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมแล้วทรง
                          แสดงธรรมแก่พระภิกษุทั้งหลายอยู่ ประหนึ่งว่าราชสีห์บันลือ
                          สีหนาทอยู่ในป่า.
             [๔๑] 	อชิตพราหมณ์ ได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้เพียงดังว่าดวงอาทิตย์
                          มีรัศมีฉายออกไป และเหมือนดวงจันทร์เต็มดวงในวันเพ็ญ.
             [๔๒] 	ลำดับนั้น อชิตพราหมณ์ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง รื่นเริงใจ
                          เพราะได้เห็นอนุพยัญชนะบริบูรณ์ ในพระกายของพระผู้มี-
                          พระภาค ได้ทูลถามปัญหาด้วยใจ.
             [๔๓] 	อ. ท่านเจาะจงใคร? จงบอกชาติ บอกโคตรพร้อมด้วย
                          ลักษณะ. บอกความสำเร็จในมนต์ทั้งหลาย. พราหมณ์สอน
                          มาณพ เท่าไร?
             [๔๔] 	พ. พราหมณ์นั้นมีอายุ ๑๒๐ ปี ชื่อพาวรีโดยโคตร. ลักษณะ
                          ๓ อย่างมีในตัวของพราหมณ์นั้น. พราหมณ์นั้นเป็นผู้ถึงฝั่งแห่ง
                          ไตรเพท.
             [๔๕] 	พาวรีพราหมณ์ ถึงความสำเร็จในธรรมของตน สอนมาณพ
                          ๕๐๐ ในมหาบุรุษลักษณะ และคัมภีร์อิติหาสะ พร้อมทั้งคัมภีร์
                          นิฆัณฑุศาสตร์ และคัมภีร์เกฏุภศาสตร์.
             [๔๖] 	ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่านรชน ผู้ตัดเสียซึ่งตัณหา ขอพระองค์
                          ทรงประกาศความกว้างแห่งลักษณะทั้งหลาย ของพราหมณ์-
                          พาวรี. ความสงสัยอย่าได้มีแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเลย.
             [๔๗] 	พราหมณ์นั้นย่อมปกปิดหน้าได้ด้วยลิ้น. มีอุณาโลมอยู่ใน
                          ระหว่างคิ้ว. และมีอวัยวะที่ซ่อนอยู่ในผ้าอยู่ในฝัก. ดูกร
                          มาณพ ท่านจงรู้อย่างนี้.
             [๔๘] 	ชนทั้งปวงไม่ได้ฟังใครๆ ซึ่งเป็นผู้ถาม ได้ฟังปัญหาทั้งหลาย
                          ที่พระผู้มีพระภาคทรงแก้แล้วเกิดความโสมนัส ประนมอัญชลี
                          ย่อมคิดไปต่างๆ (ว่า)
             [๔๙] 	ใครหนอเป็นเทวดา เป็นพระพรหม หรือเป็นพระอินทร์ผู้
                          สุชัมบดี เมื่อเขาถามปัญหาด้วยใจ จะแก้ปัญหานั้นกะใครได้?
             [๕๐] 	อ. พาวรีพราหมณ์ย่อมถามถึงศีรษะ และธรรมอันทำให้ศีรษะ
                          ตกไป. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้ทรงแสวงหา ขอพระองค์ทรง
                          โปรดพยากรณ์ข้อนั้น. กำจัดเสียซึ่งความสงสัยของข้าพระองค์
                          ทั้งหลายเถิด.
             [๕๑] 	พ. ท่านจงรู้เถิดว่า อวิชชาเป็นศีรษะ วิชชาประกอบกับ
                          ศรัทธา สติ สมาธิ ฉันทะ และวิริยะ เป็นธรรมเครื่องยัง
                          ศีรษะให้ตกไป.
             [๕๒] 	ลำดับนั้น อชิตมาณพผู้อันความโสมนัสเป็นอันมากอุดหนุนแล้ว
                          กระทำซึ่งหนังเสือเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แล้วซบเศียรลงแทบพระ-
                          ยุคลบาท (ทูลว่า)
             [๕๓] 	ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ผู้มีพระจักษุ พราหมณ์พาวรีพร้อมด้วย
                          พวกศิษย์ มีจิตเบิกบานโสมนัส ขอถวายบังคมพระยุคลบาท
                          ของพระองค์.
             [๕๔] 	พ. พราหมณ์พาวรีพร้อมด้วยพวกศิษย์จงเป็นผู้มีสุข. ดูกรมาณพ
                          และแม้ท่านก็ขอให้มีความสุข มีชีวิตอยู่ยืนนานเถิด.
             [๕๕] 	เราให้โอกาสแก่พาวรีพราหมณ์ แก่ท่าน และแก่พราหมณ์
                          ทั้งหมด ตลอดข้อสงสัยทั้งปวง. ท่านทั้งหลายย่อมปรารถนา
                          ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ ก็จงถามเถิด.
             [๕๖] 	เมื่อพระสัมพุทธเจ้าทรงประทานโอกาสแล้ว อชิตพราหมณ์
                          นั่งประนมมือ แล้วทูลถามปฐมปัญหากะพระตถาคต ใน
                          บริษัทนั้น.
จบวัตถุคาถา.
อชิตมาณวกปัญหานิทเทส
ว่าด้วยปัญหาของท่านอชิตะ

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๐ บรรทัดที่ ๘-๑๗๑ หน้าที่ ๑-๘. https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=30&A=8&Z=171&pagebreak=0 https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=30&item=1&items=56&mode=bracket              อ่านโดยใช้เนื้อความเป็น เกณฑ์แบ่งข้อ :- https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=30&item=1&items=56              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item.php?book=30&item=1&items=56&mode=bracket              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรโรมัน :- https://84000.org/tipitaka/read/roman_item.php?book=30&item=1&items=56&mode=bracket              ศึกษาอรรถกถานี้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=30&i=1              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๐ https://84000.org/tipitaka/read/?index_30 https://84000.org/tipitaka/english/?index_30

แสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย

บันทึก ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึกล่าสุด ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎก ฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]