ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับภาษาไทย   บาลีอักษรไทย   บาลีอักษรโรมัน 
อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้า
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๔ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๑ ธรรมสังคณีปกรณ์
             [๙๕๙] ธรรมเป็นอุปาทาน และเป็นอารมณ์ของอุปาทาน เป็นไฉน?
             อุปาทานธรรมเหล่านั้นแล ชื่อว่าธรรมเป็นอุปาทาน และเป็นอารมณ์ของอุปาทาน.
             ธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทาน แต่ไม่เป็นอุปาทาน เป็นไฉน
             อกุศลที่เหลือ เว้นอุปาทานทั้งหลายเสีย กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤต
ในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทาน แต่ไม่เป็น
อุปาทาน.
             ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน จะกล่าวว่า ธรรมเป็นอุปาทาน และเป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็ไม่ได้ ว่าธรรมเป็นอารมณ์ของอุปาทาน แต่ไม่เป็นอุปาทานก็ไม่ได้.
             [๙๖๐] ธรรมเป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน เป็นไฉน?
             ทิฏฐิและโลภะ บังเกิดร่วมกันในจิตตุปบาทใด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็น
อุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน.
             ธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน แต่ไม่เป็นอุปาทาน เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะ ๘ ดวง เว้นอุปาทานทั้งหลายที่บังเกิดในจิตตุปบาท
เหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน แต่ไม่เป็นอุปาทาน.
             ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน จะกล่าวว่า ธรรมเป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน
ก็ไม่ได้ ว่าธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน แต่ไม่เป็นอุปาทานก็ไม่ได้.
             [๙๖๑] ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน แต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน เป็นไฉน?
             โลภะที่บังเกิดในจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่
สหรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา จิตตุปบาทที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน แต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน.
             ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน และไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน เป็นไฉน?
             มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม
วิปปยุตจากอุปาทาน และไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน.
             ธรรมสัมปยุตด้วยอุปาทาน จะกล่าวว่า ธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน แต่เป็นอารมณ์ของ
อุปาทานก็ไม่ได้ ว่าธรรมวิปปยุตจากอุปาทาน และไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานก็ไม่ได้.
อุปาทานโคจฉกะ จบ
-----------------------------------------------------
กิเลสโคจฉกะ
[๙๖๒] กิเลสธรรม เป็นไฉน? กิเลสวัตถุ ๑๐ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ. โลภะ บังเกิดในจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะ ๘ ดวง โทสะ บังเกิดในจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง โมหะ บังเกิดในอกุศลทั้งปวง มานะ บังเกิดในจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง ทิฏฐิ บังเกิดในจิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง วิจิกิจฉา บังเกิดในจิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ถีนะ บังเกิดในอกุศลจิตที่เป็นสังขาริก อุทธัจจะ อหิริกะ และอโนตตัปปะ บังเกิดในอกุศลจิตทั้งปวง สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า กิเลสธรรม. ธรรมไม่เป็นกิเลส เป็นไฉน? อกุศลที่เหลือ เว้นกิเลสทั้งหลายเสีย กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤต ในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นกิเลส. [๙๖๓] ธรรมเป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นไฉน? กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอารมณ์ของสังกิเลส. ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นไฉน? มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สามัญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม ไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส. [๙๖๔] ธรรมเศร้าหมอง เป็นไฉน? อกุศลจิตตุปบาท ๑๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเศร้าหมอง ธรรมไม่เศร้าหมอง เป็นไฉน? กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรม เหล่านี้เรียกว่า ธรรมไม่เศร้าหมอง. [๙๖๕] ธรรมสัมปยุตด้วยกิเลส เป็นไฉน? อกุศลจิตตุปบาท ๑๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสัมปยุตด้วยกิเลส. ธรรมวิปปยุตจากกิเลส เป็นไฉน? กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมวิปปยุตจากกิเลส. [๙๖๖] ธรรมเป็นกิเลส และเป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นไฉน? กิเลสธรรมเหล่านั้นแลชื่อว่า ธรรมเป็นกิเลส และเป็นอารมณ์ของสังกิเลส. ธรรมเป็นอารมณ์ของสังกิเลส แต่ไม่เป็นกิเลส เป็นไฉน? อกุศลที่เหลือ เว้นกิเลสทั้งหลายเสีย กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิริยา- *อัพยากฤตในภูมิ ๓ รูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอารมณ์ของสังกิเลส แต่ไม่เป็นกิเลส. ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส จะกล่าวว่า ธรรมเป็นกิเลส และเป็นอารมณ์ของ สังกิเลสก็ไม่ได้ ว่าธรรมเป็นอารมณ์ของสังกิเลส แต่ไม่เป็นกิเลสก็ไม่ได้. [๙๖๗] ธรรมเป็นกิเลส และเศร้าหมอง เป็นไฉน? กิเลสธรรมเหล่านั้นแลชื่อว่า ธรรมเป็นกิเลส และเศร้าหมอง. ธรรมเศร้าหมอง แต่ไม่เป็นกิเลส เป็นไฉน? อกุศลที่เหลือ เว้นกิเลสทั้งหลายเสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเศร้าหมอง แต่ไม่เป็นกิเลส. ธรรมไม่เศร้าหมอง จะกล่าวว่า ธรรมเป็นกิเลส และเศร้าหมองก็ไม่ได้ ว่าธรรม เศร้าหมอง แต่ไม่เป็นกิเลสก็ไม่ได้. [๙๖๘] ธรรมเป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส เป็นไฉน? กิเลส ๒-๓ อย่าง บังเกิดร่วมกันในจิตตุปบาทใด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม เป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลส. ธรรมสัมปยุตด้วยกิเลส แต่ไม่เป็นกิเลส เป็นไฉน? อกุศลที่เหลือ เว้นกิเลสทั้งหลายเสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสัมปยุต ด้วยกิเลส แต่ไม่เป็นกิเลส. ธรรมวิปยุตจากกิเลส จะกล่าวว่า ธรรมเป็นกิเลส และสัมปยุตด้วยกิเลสก็ไม่ได้ ว่าเป็นธรรมสัมปยุตด้วยกิเลส แต่ไม่เป็นกิเลสก็ไม่ได้. [๙๖๙] ธรรมวิปปยุตจากกิเลส แต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นไฉน? กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด สภาวธรรม เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมวิปปยุตจากกิเลส แต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส. ธรรมวิปปยุตจากกิเลส และไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นไฉน? มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมวิปปยุตจากกิเลส และไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส. ธรรมสัมปยุตด้วยกิเลส จะกล่าวว่า ธรรมวิปปยุตจากกิเลส แต่เป็นอารมณ์ของ สังกิเลสก็ไม่ได้ ว่าธรรมวิปปยุตจากกิเลส และไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลสก็ไม่ได้.
กิเลสโคจฉกะ จบ
-----------------------------------------------------
ปิฏฐิทุกะ
[๙๗๐] ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา สภาว- *ธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ. จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วย โทมนัสสเวทนา ๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ ที่เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณก็มี ที่เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคไม่ประหาณก็มี. ธรรมอันโสดาปัตติมรรคไม่ประหาณ เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันโสดาปัตติมรรคไม่ประหาณ. [๙๗๑] ธรรมอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณ เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณ. จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัสส- *เวทนา ๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ ที่เป็นธรรมอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณก็มี ที่เป็นธรรม อันมรรคเบื้องสูง ๓ ไม่ประหาณก็มี. ธรรมอันมรรคเบื้องสูง ๓ ไม่ประหาณ เป็นไฉน? จิตตุปบาทสัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอัน มรรคเบื้องสูง ๓ ไม่ประหาณ. [๙๗๒] ธรรมมีสัมปยุตเหตุอันโสดาปัตติมรรคประหาณ เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา เว้นโมหะที่ บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรค ประหาณ. จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัสส- *เวทนา ๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ ที่เป็นธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคประหาณก็มี ที่เป็นธรรมไม่มีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคจะประหาณก็มี. ธรรมไม่มีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคจะประหาณ เป็นไฉน? โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๔ วิบากใน ภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีสัมปยุตต- *เหตุอันโสดาปัตติมรรคจะประหาณ. [๙๗๓] ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณ เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เว้นโมหะที่บังเกิดขึ้นในจิตตุปบาทนี้เสีย สภาวธรรม เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณ. จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัส ๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ ที่เป็นธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณก็มี ที่เป็น ธรรมไม่มีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณก็มี. ธรรมไม่มีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ จะประหาณ เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา โมหะที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ จะประหาณ. [๙๗๔] ธรรมมีวิตก เป็นไฉน? กามาวจรกุศล, อกุศล, จิตตุปบาทฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๑๑ ดวง ฝ่ายอกุศลวิบาก ๒ ดวง ฝ่ายกิริยา ๑๑ ดวง, รูปาวจรปฐมฌานฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบากและกิริยา, โลกุตตรปฐมฌาน ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก, เว้นวิตกที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีวิตก. ธรรมไม่มีวิตก เป็นไฉน? ปัญจวิญญาณทั้ง ๒ ฝ่าย ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และ ฝ่ายกิริยา, อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นโลกุตตระ ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก, วิตก, รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีวิตก. [๙๗๕] ธรรมมีวิจาร เป็นไฉน? กามาวจรกุศล, อกุศล, จิตตุปบาทฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๑๑ ดวง ฝ่ายอกุศลวิบาก ๒ ดวง ฝ่ายกิริยา ๑๑ ดวง, ฌาน ๑ และ ๒ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และกิริยา, ฌาน ๑-๒ ที่เป็นโลกุตตระ ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก, เว้นวิจารที่เกิดขึ้นในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีวิจาร. ธรรมไม่มีวิจาร เป็นไฉน? ปัญจวิญญาณทั้ง ๒ ฝ่าย, ฌาน ๓ และ ๓ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และ ฝ่ายกิริยา, อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา, ฌาน ๓ และ ๓ ที่เป็นโลกุตตระ ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก, วิจาร, รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีวิจาร. [๙๗๖] ธรรมมีปีติ เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโสมนัสสเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๔ ดวง ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๕ ดวง ฝ่ายกิริยา ๕ ดวง, ฌาน ๒ และ ๓ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา, ฌาน ๒ และ ๓ ที่เป็นโลกุตตระ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก, เว้นปีติที่ เกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีปีติ. ธรรมไม่มีปีติ เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๘ ดวง ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๑๑ ดวง ฝ่ายอกุศลวิบาก ๗ ดวง ฝ่ายกิริยา ๖ ดวง, ฌาน ๒ และ ๒ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา, ฌาน ๒ และ ๒ ที่เป็นโลกุตตระ ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก, ปีติ, รูป และนิพพาน สภาวธรรม เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีปีติ. [๙๗๗] ธรรมสหรคตด้วยปีติ เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโสมนัสสเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๔ ดวง ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๕ ดวง ฝ่ายกิริยา ๕ ดวง, ฌาน ๒ และ ๓ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา, ฌาน ๒ และ ๓ ที่เป็นโลกุตตระ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก เว้นปีติที่ บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสหรคตด้วยปีติ. ธรรมไม่สหรคตด้วยปีติ เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๘ ดวง ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๑๑ ดวง ฝ่ายอกุศลวิบาก ๗ ดวง ฝ่ายกิริยา ๖ ดวง, ฌาน ๒ และ ๒ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก, และฝ่ายกิริยา, อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก, และฝ่ายกิริยา ฌาน ๒ และ ๒ ที่เป็นโลกุตตระ ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก ปีติ, รูป และนิพพาน สภาวธรรม เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่สหรคตด้วยปีติ. [๙๗๘] ธรรมสหรคตด้วยสุขเวทนา เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโสมนัสสเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๔ ดวง ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๖ ดวง ฝ่ายกิริยา ๕ ดวง, ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา, ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นโลกุตตระ ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก, เว้น สุขเวทนาที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสหรคตด้วยสุขเวทนา. ธรรมไม่สหรคตด้วยสุขเวทนา เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๘ ดวง ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๑๐ ดวง ฝ่ายอกุศลวิบาก ๗ ดวง ฝ่ายกิริยา ๖ ดวง, รูปาวจรจตุตถฌาน ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา, อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา, โลกุตตร- *จตุตถฌาน ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก สุขเวทนา, รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่สหรคตด้วยสุขเวทนา. [๙๗๙] ธรรมสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๖ ดวง ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๑๐ ดวง ฝ่ายกุศลวิบาก ๖ ดวง ฝ่ายกิริยา ๖ ดวง, รูปาวจรจตุตถฌาน ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา, อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา, โลกุตตร- *จตุตถฌาน ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก, เว้นอุเบกขาเวทนา ที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา. ธรรมไม่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโสมนัสสเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๖ ดวง ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๖ ดวง ฝ่ายอกุศลวิบาก ๑ ดวง ฝ่ายกิริยา ๕ ดวง, ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา, ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นโลกุตตระ ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก, อุเบกขาเวทนา, รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่สหรคต ด้วยอุเบกขาเวทนา. [๙๘๐] กามาวจรธรรม เป็นไฉน? กามาวจรกุศล อกุศล วิบากแห่งกามาวจรทั้งหมด กามาวจรกิริยา อัพยากฤต และ รูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า กามาวจรธรรม. ธรรมไม่เป็นกามาวจร เป็นไฉน? รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตตระ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นกามาวจร. [๙๘๑] รูปาวจรธรรม เป็นไฉน? ฌาน ๔ และ ๕ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า รูปาวจรธรรม. ธรรมไม่เป็นรูปาวจร เป็นไฉน? กามาวจร อรูปาวจร โลกุตตระ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นรูปาวจร. [๙๘๒] อรูปาวจรธรรม เป็นไฉน? อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และกิริยา สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า อรูปาวจรธรรม. ธรรมไม่เป็นอรูปาวจร เป็นไฉน? กามาวจร รูปาวจร โลกุตตระ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นอรูปาวจร. [๙๘๓] ปริยาปันนธรรม เป็นไฉน? กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ปริยาปันนธรรม. อปริยาปันนธรรม เป็นไฉน? มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า อปริยาปันนธรรม. [๙๘๔] นิยยานิกธรรม เป็นไฉน? มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า นิยยานิกธรรม. อนิยยานิกธรรม เป็นไฉน? กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า อนิยยานิกธรรม. [๙๘๕] นิยตธรรม เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัสสเวทนา ๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ ที่เป็นนิยตธรรมก็มี ที่เป็นอนิยตธรรมก็มี มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า นิยตธรรม. อนิยตธรรม เป็นไฉน? จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า อนิยตธรรม. [๙๘๖] สอุตตรธรรม เป็นไฉน? กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า สอุตตรธรรม. อนุตตรธรรม เป็นไฉน? มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า อนุตตรธรรม. [๙๘๗] สรณธรรม เป็นไฉน? อกุศลจิตตุปบาท ๑๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า สรณธรรม. อรณธรรม เป็นไฉน? กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรม เหล่านี้ชื่อว่า อรณธรรม.
ธรรมสังคณีปกรณ์ จบ
-----------------------------------------------------

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๔ บรรทัดที่ ๘๒๙๕-๘๕๓๗ หน้าที่ ๓๓๐-๓๓๙. https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=34&A=8295&Z=8537&pagebreak=0 https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=34&item=959&items=29&mode=bracket              อ่านโดยใช้เนื้อความเป็น เกณฑ์แบ่งข้อ :- https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=34&item=959&items=29              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item.php?book=34&item=959&items=29&mode=bracket              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรโรมัน :- https://84000.org/tipitaka/read/roman_item.php?book=34&item=959&items=29&mode=bracket              ศึกษาอรรถกถานี้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=34&i=959              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๔ https://84000.org/tipitaka/read/?index_34 https://84000.org/tipitaka/english/?index_34

อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้า

บันทึก ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึกล่าสุด ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎก ฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]