ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
 ฉบับหลวง   บาลีอักษรไทย    PaliRoman 
แสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๓ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๑๐ ปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๔
พระอภิธรรมปิฎก
เล่ม ๑๐
ปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สารัมมณทุกะ
ปฏิจจวาร
[๑] สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม เกิดขึ้น ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม อาศัยอารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อนารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูป ทั้งหลาย เกิดขึ้น สารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรมและหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๒] สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ฯลฯ. สารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ. สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ. [๓] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑- ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ @๑. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑, ๒ คำว่ามีวาระเป็นมีปัจจัย ในอนันตรปัจจัย มีวาระ ๓ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๙ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๓ ในวิคตปัจจัย มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔] สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ. อนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อเหตุกปฏิสนธิ. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม ซึ่งเป็น อเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ. อนารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ. สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ในอเหตุกะปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย. สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ. อนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ และ มหาภูตรูปทั้งหลาย อเหตุกปฏิสนธิขณะ. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย. [๕] อนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อนารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ตลอดจนถึงอสัญญสัตว์. อนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ปฏิสนธิ ฯลฯ. [๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มีวาระ ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙.
ฯลฯ
[๘] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ฯลฯ. ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
สหชาตวาร เหมือนกับปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๙] สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร. อนารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูป ทั้งหลาย. สารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย ปฏิสนธิ. สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ. อนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ปฏิสนธิ. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ปฏิสนธิ. [๑๐] สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ. สารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสารัมมณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปฏิสนธิ. สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และจักขายตนะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ฯลฯ. [๑๑] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย มีวาระ ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๙ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๓ ในวิคตปัจจัย มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙. [๑๒] สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร. อนารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ. สารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สารัมมณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยหทัยวัตถุ. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม อาศัยอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย ปฏิสนธิ. สารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และจักขายตนะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ฯลฯ. อนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ปฏิสนธิ. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม อาศัยสารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรมและหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ฯลฯ. [๑๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓. [๑๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
ฯลฯ
[๑๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัย ที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙.
ฯลฯ
ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙.
นิสสยวาร เหมือนกับปัจจยวาร.
สังสัฏฐวาร
[๑๖] สารัมมณธรรม คลุกเคล้ากับสารัมมณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ ฯลฯ [๑๗] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑ [๑๘] สารัมมณธรรม คลุกเคล้ากับสารัมมณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย. คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม ซึ่งเป็นเหตุกขันธ์ ๒ ฯลฯ โมหะ คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ฯลฯ. [๑๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มีวาระ ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มีวาระ ๑ การนับทั้งสอง นอกจากนี้ก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำอย่างนี้.
ปัญหาวาร
[๒๐] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือสารัมมณเหตุทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ. สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ สารัมมณเหตุทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ. สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ สารัมมณเหตุทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ. [๒๑] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ บุคคลพิจารณาซึ่งกุศลธรรมนั้น ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภกุศลธรรม นั้น ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น กุศลธรรมที่ตนอบรมแล้วในกาลก่อน ฯลฯ ฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลาย พิจารณาโคตรภู โวทาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณากิเลสทั้งหลายที่ ละแล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว บุคคลรู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยกำเริบแล้วในกาลก่อน บุคคลพิจารณาขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสารัมมณธรรม โดยเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลที่พร้อมเพรียงด้วยสารัมมณจิต ด้วยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ สารัมมณขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย. อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือพระอริยะทั้งหลายพิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย บุคคลพิจารณาจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูป ด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียง ด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ อนารัมมณขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย. [๒๒] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ. ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ พิจารณากุศลธรรม นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะทำกุศลธรรมนั้นให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะย่อมเกิดขึ้น ทิฏฐิย่อมเกิดขึ้น ฯลฯ กุศลธรรมที่อบรมแล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว ทำฌานให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายที่ออกจากมรรคแล้ว ทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ บุคคลทำสารัมมณขันธ์ทั้งหลาย ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วย่อมยินดี ย่อมเพลิด เพลิน เพราะทำสารัมมณขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น ฯลฯ ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ สารัมมณอธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย. สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่สารัมมณอธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน รูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย. สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ สารัมมณอธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย. อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายกระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย บุคคลทำจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิด เพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น ฯลฯ [๒๓] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ สารัมมณธรรมที่เกิดก่อนๆ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย. เป็นปัจจัย โดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๗ นัยเหมือนกับ สหชาตปัจจัย ในปฏิจจวาร เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย เหมือนกับอัญญมัญญปัจจัยในปฏิจจวารมี ๖ นัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๗ นัย เหมือนกับนิสสยปัจจัยในปฏิจจวาร. [๒๔] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่างคือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้วย่อมให้ทาน ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัย ศีล ปัญญา ความปรารถนา สุขอันเป็นไปทางกาย ทุกข์อันเป็นไป ทางกาย แล้วย่อมให้ทาน ฯลฯ บุคคลยังสมาบัติให้เกิด ฆ่าสัตว์มีชีวิต ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ปัญญา ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา สุขอันเป็นไปทางกาย ทุกข์อันเป็นไปทางกาย เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ราคะ แก่ความปรารถนา แก่สุขอันเป็นไปทางกาย แก่ทุกข์อันเป็นไป ทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย. อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่างคือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัย ฤดู โภชนะ เสนาสนะแล้วให้ ทาน ยังสมาบัติให้เกิด ฆ่าสัตว์มีชีวิต ทำลายสงฆ์ ฤดู โภชนะ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ความปรารถนา แก่สุขอันเป็น ไปทางกาย แก่ทุกข์อันเป็นไปทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย. [๒๕] อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต. ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่บุคคลพิจารณาจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ. ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่สารัมมณขันธ์ทั้งหลาย โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๖] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยปัจฉาชาต ปัจจัย มี ๑ นัย. [๒๗] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอาเสวนปัจจัย มี ๑ นัย. [๒๘] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ สารัมมณเจตนา เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมม- *ปัจจัย. ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ สารัมมณเจตนา เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมม- *ปัจจัย. สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือสหชาต นานาขณิก. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ สารัมมณเจตนา เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย กัมมปัจจัย. ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่สารัมมณเจตนา เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมม- *ปัจจัย. สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ สารัมมณเจตนา เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย. ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ สารัมมณเจตนา เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย. [๒๙] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยวิปากปัจจัย มี ๓ นัย. [๓๐] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอาหารปัจจัย มี ๓ นัย. อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ กพฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอาหารปัจจัย. [๓๑] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย. อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ จักขุนทรีย์ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ จักขุนทรีย์ และจักขุวิญญาณ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย กายินทรีย์ และกายวิญญาณ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย กายวิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย. [๓๒] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๓ นัย เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๑ นัย. [๓๓] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย. มี ๒ อย่างคือ สหชาต ปัจฉาชาต อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่างคือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่สารัมมณขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณ โดยวิปปยุตตปัจจัย. [๓๔] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ. สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม โดยอัตถิปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๑ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่สารัมมณขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่สารัมมณขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และจักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ และกายายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิ- *ปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสารัมมณธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ สารัมมณขันธ์ และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏ- *ฐานรูป โดยอัตถิปัจจัย ปฏิสนธิ. ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ สารัมมณขันธ์ และกพฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ สารัมมณขันธ์ และรูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย. [๓๕] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในอธิปติปัจจัย มี " ๔ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย มี " ๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มีวาระ ๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๒ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๓ ในอาหารปัจจัย มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย มี " ๖ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในอัตถิปัจจัย มี " ๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑ ในวิคตปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๗ [๓๖] สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย. สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉา- *ชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย. สารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรมโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย. อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย. อนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาต- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่สารัมมณธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย. สารัมมณธรรม และอนารัมมณธรรม เป็นปัจจัยแก่อนารัมมณธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย. [๓๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๗ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๗ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๔ [๓๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " กับ ฯลฯ มี " ๓. [๓๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มี " ๒ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
พึงกระทำอนุโลมมาติกา.
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๗.
สารัมมณทุกะ จบ.
จิตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๔๐] ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิตเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต. ในปฏิสนธิขณะ สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูป อาศัยจิต. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิตเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๑ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ธรรมที่เป็นจิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยคือ จิต อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ในปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ในปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิตเกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ จิต และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ จิต และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๑ จิต และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ จิตและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิตเกิดขึ้น เพราะเหตุ ปัจจัย ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต อาศัยจิต และหทัยวัตถุ [๔๑] ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยจิต ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นจิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ในปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ จิต ในปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยหทัยวัตถุ ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิตเกิดขึ้นเพราะอารัมมณ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิต อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ และจิตอาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิตและจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต อาศัยจิต และหทัยวัตถุ. [๔๒] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในอนันตรปัจจัย มี " ๕ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในสหชาตปัจจัย มี " ๕ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๕ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในกัมมปัจจัย มี " ๕ ในวิปากปัจจัย มี " ๕ ในอาหารปัจจัย มี " ๕ ในอินทริยปัจจัย มีวาระ ๕ ในฌานปัจจัย มี " ๕ ในมัคคปัจจัย มี " ๕ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในวิปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๕ ในนัตถิปัจจัย มี " ๕ ในวิคตปัจจัย มี " ๕ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕ [๔๓] ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิตเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยอเหตุกจิต ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ อาศัยจิตที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิตเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ. ธรรมที่เป็นจิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิตเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นอเหตุกะ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ จิตและจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่เป็นจิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นอเหตุกะ และ จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่ใช่จิต อาศัยจิต และหทัยวัตถุ โมหะที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยจิตที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย. [๔๔] ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต ปฏิสนธิ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณ ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยจิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย กฏัตตารูป อาศัยจิต และมหาภูตรูปทั้งหลาย. [๔๕] ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปปัจจัย มี ๕ นัย. ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย. [๔๖] ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยจิต จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต ในปฏิสนธิขณะ สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูป อาศัยจิต. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์. ธรรมที่เป็นจิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ในปฏิสนธิขณะ จิต หทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาต ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๒ และจิต อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ในปฏิสนธิขณะ จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตต- *สมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต และจิต จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต และมหาภูตรูป ทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต อาศัยจิต และหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยจิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย กฏัตตารูป อาศัยจิต และมหาภูตรูปทั้งหลาย. ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย. [๔๗] ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยจิต. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมมปยุตตเจตนา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐาน รูป ฯลฯ. อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต และจิต.
ฯลฯ
[๔๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓. [๔๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕.
ฯลฯ
[๕๐] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๕ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕.
สหชาตวาร เหมือนกับ ปฏิจจวาร.
[๕๑] ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือสัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต ปฏิสนธิ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ตลอดถึงมหาภูตรูป ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นจิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต จิต อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ในปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะเหตุ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ จิต และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ จิต และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต อาศัยจิตและหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต อาศัยจิตและหทัยวัตถุ. [๕๒] ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย มี ๑ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต อาศัยหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยจักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นจิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต จิต อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ในปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยหทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิต อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตและสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัย กายายตนะ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ ไม่ใช่จิต อาศัยจิต และหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต อาศัยจิต และหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ และจักขุวิญญาณ กายายตนะ ฯลฯ.
ฯลฯ
[๕๓] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๕ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕. [๕๔] ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยอเหตุกจิต ในอเหตุปฏิสนธิขณะ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัย จิตที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่ ไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นจิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นอเหตุกะ จิต อาศัยหทัยวัตถุ อเหตุก- *ปฏิสนธิ ฯลฯ ในเหตุกปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยหทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ อาศัย กายายตนะ ฯลฯ ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ จิตและจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ อเหตุกปฏิสนธิ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ จิตและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ อาศัย จักขายตนะ ฯลฯ อาศัยกายายตนะ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่จิต อาศัยธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นอเหตุกะ และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต อาศัยจิต และหทัยวัตถุ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต อาศัยจิต และหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ อาศัย จักขายตนะ และจักขุวิญญาณ กายายตนะ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และจิต.
ฯลฯ
[๕๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มีวาระ ๓ [๕๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕. [๕๗] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๕ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕.
นิสสยวาร เหมือนกับปฏิจจาร.
สังสัฏฐวาร
[๕๘] ธรรมที่ไม่ใช่จิต คลุกเคล้ากับธรรมที่เป็นจิต เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย คลุกเคล้ากับจิต ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่จิต คลุกเคล้ากับธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๑ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๒ ปฏิสนธิ. ธรรมที่เป็นจิต คลุกเคล้ากับธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตคลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ปฏิสนธิ. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต คลุกเคล้ากับธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิต คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต คลุกเคล้ากับธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ.
ฯลฯ
[๕๙] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๕ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕.
ฯลฯ
[๖๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๕.
การนับทั้งสอง นอกจากนี้ก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำอย่างนี้ทั้งหมด.
ปัญหาวาร
[๖๑] ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่จิต โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิต และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ. [๖๒] ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอารัมมณปัจจัย คือ จิต ปรารภจิต เกิดขึ้น.
พึงกระทำมูล.
ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ปรารภจิต เกิดขึ้น.
พึงกระทำมูล.
จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ปรารภจิต เกิดขึ้น. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน รักษาศีล กระทำอุโบสถกรรม แล้วพิจารณาซึ่งกุศลธรรมนั้น ย่อม ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภกุศลธรรมนั้น ราคะเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น กุศลธรรมที่ตนอบรมดีแล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว พิจารณาซึ่งฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลาย ออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย พระอริยทั้งหลาย พิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่ไม่ใช่จิต พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลส ทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นในกาลก่อน บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ และขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต โดยความ เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูป ด้วยทิพยจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียง ด้วยธรรมที่ไม่ใช่จิต ด้วยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ ฯลฯ อากิญจัญญายตนะ ฯลฯ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่บุพเพ- *นิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอารัมมณปัจจัย มีคำอธิบายเหมือนกับข้อความตามบาลีตอนต้น ที่ว่าบุคคลให้ทาน ฯลฯ ไม่มีแตกต่างกัน. ข้อที่ต่างกันมีแต่ว่า รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ. ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ ฯลฯ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณ- *ปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอารัมมณปัจจัย มีคำอธิบายเหมือนกับข้อความตามบาลีตอนต้น ที่ว่าบุคคลให้ทาน ฯลฯ ไม่มีแตกต่างกัน. ข้อที่ต่างกันมีแต่ว่า รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โผฏฐัพ- *พายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต เป็น ปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ ฯลฯ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอารัมมณปัจจัย คือ จิต ปรารภจิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย มี ๓ นัย. [๖๓] ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ จิต ทำจิตให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว เกิดขึ้น. ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอธิปติปัจจัยมี ๒ อย่าง คือ อารัมมณา- *ธิปติ สหชาตาธิปติ. ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ทำจิตให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่นแล้ว เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ จิตตาธิปติธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย. ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ทำจิตให้ เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว เกิดขึ้น. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ. ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ บุคคลกระทำกุศล- *ธรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา ย่อมยินดีย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำ กุศลธรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น ฯลฯ กุศลธรรมที่ตนอบรมดีแล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค ผล ฯลฯ นิพพาน ฯลฯ กระทำให้ เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย บุคคลกระทำจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต ให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น ราคะเกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น ฯลฯ ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอธิปติปัจจัย คำอธิบายทั้งสองอย่างนี้ เหมือนกับคำอธิบายตามบาลีตอนต้น ไม่มีแตกต่างกัน พึง กระทำอารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ แม้ทั้ง ๓ นัย ธรรมที่พึงทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น ก็เป็นอารัมมณาธิปติอย่างเดียว. [๖๔] ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอนันตรปัจจัย คือ จิตที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่จิตที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย. ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอนันตรปัจจัย คือ จิตที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิตที่เกิดหลังๆ โดยอนันตร- *ปัจจัย จิตเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย. ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอนันตรปัจจัย คือ จิตที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่จิตที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย อนันตรปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิตที่เกิดก่อนๆ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดย อนันตรปัจจัย ข้อความที่จะยกมาอธิบายบททั้งสองนี้โดยบริบูรณ์ เหมือนกับข้อความตามบาลีที่มีอยู่ ข้างต้น. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอนันตรปัจจัย คือ จิตที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย.
พึงถามถึงมูล
จิตที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิตที่ เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดย อนันตรปัจจัย.
พึงถามถึงมูล
จิตที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตที่เกิดหลังๆ และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย. เป็นปัจจัย โดยสมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๕ นัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๕ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย มี ๕ นัย เหมือนกับปัจจยวาร [๖๕] ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ จิตเป็นปัจจัยแก่จิต โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาให้ทาน ฯลฯ ก่อมานะ ยึดถือ ทิฏฐิ เข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ และเสนาสนะ ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอุปนิสสยปัจจัย ข้อความที่จะยกมาอธิบายบททั้งสองนี้ให้สมบูรณ์ เหมือนกับข้อความตามบาลี ที่มีอยู่ ข้างต้น ไม่มีแตกต่างกัน. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ จิตและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิต โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย. [๖๖] ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่าง ๒ คือ อารัมมณะปุเรชาต วัตถุปุเรชาต. ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย. ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยจักขุ วิญญาณ กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต โดยปุเรชาตปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัย แก่ธรรมที่เป็นจิต โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต. ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ. ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่จิต โดยปุเรชาตปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยความเป็นของ ไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยปุเรชาตปัจจัย กายายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยปุเรชาตปัจจัย. [๖๗] ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ [๖๘] ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ นัย. [๖๙] ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก. ที่เป็นสหชาต ได้แก่เจตนาที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย. ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ทั้งหลาย และ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่จิต โดยกัมมปัจจัย. ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่วิบากจิต โดยกัมมปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย จิต และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย. ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ทั้งหลาย และจิต และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย. [๗๐] ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยวิปากปัจจัย มี ๕ นัย เป็น ปัจจัยโดยอาหารปัจจัย มี ๕ นัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย มี ๕ นัย. [๗๑] ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย เป็น ปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๓ นัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๕ นัย. [๗๒] ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต โดยวิปปยุตตปัจจัย. ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่จิต โดยวิปปยุตตปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่จิต โดยวิปปยุตตปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่จิต และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่จิต และวิปปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต.
ฯลฯ
[๗๓] ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาตได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่จิต ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่ไม่ใช่จิต ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่จิต โดยอัตถิปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เหมือนกับปุเรชาต ฯลฯ. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิต และจิตต- *สมุฏฐานรูป โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ไม่ใช่จิต ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เหมือนกับปุเรชาต ฯลฯ. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่จิตและจิต เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิตต- *สมุฏฐานรูป โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ จิตและหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่จิต โดย อัตถิปัจจัย แม้ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ จิตและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป โดยอัตถิปัจจัย. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ จิตและมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป โดยอัตถิปัจจัย. ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ จิตและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย. ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ จิตและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และกพฬิงการาหาร เป็นปัจจัย แก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย. ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ จิตและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และรูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัย แก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย. [๗๔] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๕ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มีวาระ ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๕ ในอาหารปัจจัย มี " ๕ ในอินทริยปัจจัย มี " ๕ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๕ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕. [๗๕] ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย. ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย. ธรรมที่เป็นจิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมม- *ปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยกัมมปัจจัย. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย. ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นจิต และธรรมที่ไม่ใช่จิต โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย. [๗๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๙. [๗๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตร- ปัจจัยกับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญ- ปัจจัยกับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสย- ปัจจัยกับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยทั้งปวงกับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคค- ปัจจัยกับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตต- ปัจจัยกับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตต- ปัจจัยกับ ฯลฯ มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิ ปัจจัยกับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัยกับ ฯลฯ มี " ๓. [๗๘] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงกระทำอนุโลม ปฏิโลมมาติกา.
จิตตตุกะ จบ
เจตสิกทุกะ
ปฏิจจวาร
[๗๙] ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิต และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ในปฏิสนธิขณะ จิต และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ จิตและจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยจิต หทัยวัตถุอาศัยจิต จิตอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูต- *รูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทายรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย. ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยจิต ในปฏิสนธิขณะ จิต ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก อาศัย หทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต ในปฏิสนธิขณะ จิต ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ จิตและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ และจิต อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิกและหทัยวัตถุ ขันธ์ ๑ และจิต อาศัยขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุ. [๘๐] ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ปฏิสนธิ. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิต อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยจิต ในปฏิสนธิขณะ จิต ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่ เจตสิก เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ และจิต อาศัยขันธ์ ๑ ซึ่งเป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ. [๘๑] ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย.
ฯลฯ
[๘๒] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๕ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙. [๘๓] ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จิต และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ซึ่งเป็นอเหตุกะ อเหตุกปฏิสนธิ. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิต และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก ซึ่งเป็น อเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิตซึ่งเป็นอเหตุกะ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยจิต หทัยวัตถุอาศัยจิต จิตอาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนอสัญญสัตว์ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ. ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยจิตซึ่งเป็นอเหตุกะ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยจิต ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก อาศัยหทัยวัตถุ โมหะที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยจิตที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิตซึ่งเป็นอเหตุกะ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และกฏัตตารูป อาศัยจิต ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ. ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก ซึ่งเป็นอเหตุกะ และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และจิต. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ซึ่งเป็นอเหตุกะ และจิต จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ซึ่งเป็นอเหตุกะ และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และมหาภูตรูป ทั้งหลาย ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ จิต อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่ เจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก ซึ่งเป็นอเหตุกะ และจิต ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ และจิต อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ. [๘๔] ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต ปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และวิญญาณ และจิต จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ พึงทำทั้ง ๒ นัย.
ฯลฯ
[๘๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓. [๘๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัยกับเหตุปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัยกับ ฯลฯ มี " ๙.
ฯลฯ
[๘๗] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ฯลฯ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๙ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
สหชาตวาร เหมือนกับปฏิจจวาร.
ปัจจยวาร
[๘๘] ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต จิต อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยจิต หทัยวัตถุ อาศัยจิต จิต อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายอาศัยจิต ขันธ์อันเป็นเจตสิก อาศัยหทัยวัตถุ ใน ปฏิสนธิขณะ พึงทำทั้ง ๒ นัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยจิต จิตและสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ พึงทำทั้ง ๒ นัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ พึงทำ ทั้ง ๒ นัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และ จิต จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตอาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ พึงทำทั้ง ๓ นัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่ เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๒ และจิต อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ พึงทำทั้ง ๒ นัย. [๘๙] ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนปฏิจจวาร. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ จิตอาศัย หทัยวัตถุ ปฏิสนธิ. ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ อาศัยกายายตนะ ฯลฯ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยจิต ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ พึงทำทั้ง ๒ นัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จักขุวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยจักขายตนะ อาศัย กายายตนะ ฯลฯ จิตและสัปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิขณะ มี ๑ นัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และจักขุวิญญาณ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และจักขายตนะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่สหรคต ด้วยกายวิญญาณ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ มี ๒ นัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จักขุวิญญาณ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และจักขายตนะ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ ฯลฯ จิตอาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ ปฏิสนธิ มี ๑ นัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรม ที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจักขุวิญญาณ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และ จักขายตนะ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๒ และจิต อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ มี ๑ นัย.
ฯลฯ
[๙๐] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙. [๙๑] ธรรมที่เป็นเจตสิก อาศัยธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ เจตสิกที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ. มีวาระ ๙ แม้ปัญจวิญญาณ พึงกระทำเหมือน อารัมมณปัจจัย โมหะ มีในหัวข้อปัจจัย ๓ เท่านั้น หัวข้อปัจจัยทั้งปวง ผู้มีปัญญาพึงกระทำ โดยปวัตติ และปฏิสนธิ. [๙๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓. [๙๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัยกับเหตุปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙.
ฯลฯ
[๙๔] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัย ที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๙ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙.
สังสัฏฐวาร
[๙๕] ธรรมที่เป็นเจตสิก คลุกเคล้ากับธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก คลุกเคล้ากับธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิต คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ปฏิสนธิ. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก คลุกเคล้ากับธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิต คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ. ธรรมที่เป็นเจตสิก คลุกเคล้ากับธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย คลุกเคล้ากับจิต ปฏิสนธิ. ธรรมที่เป็นเจตสิก คลุกเคล้ากับธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และจิต ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ.
ฯลฯ
[๙๖] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๕ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕. [๙๗] ธรรมที่เป็นเจตสิก คลุกเคล้ากับธรรมที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัยทั้ง ๕ ข้ออย่างนี้ โมหะ มีในหัวข้อปัจจัย ๓ เท่านั้น.
ฯลฯ
[๙๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๕.
การนับทั้งสอง นอกจากนี้ก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำอย่างนี้.
ปัญหาวาร
[๙๙] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ. ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่จิต และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ. ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เป็นเจตสิก โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายและจิต และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายโดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ. [๑๐๐] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
จิต ปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น.
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต ปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก เกิดขึ้น. ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลาย พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่เจตสิก โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น จิต เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ บุคคลรู้ซึ่งจิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ ฯลฯ อากิญจัญญายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลาย พิจารณานิพพาน มีคำอธิบายเหมือนกับข้อความตามบาลีข้างต้น จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ที่ไม่ใช่เจตสิก โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ บุคคลรู้ซึ่งขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่เจตสิก โดยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ ฯลฯ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณแก่ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย อารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณานิพพาน มีคำอธิบายเหมือนกับข้อความตามบาลีข้างต้น. จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่เจตสิก โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น จิต และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพจักขุ. รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอารัมมณปัจจัย โผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต เกิดขึ้น.
พึงถามถึงมูล
จิต ปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต เกิดขึ้น.
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต ปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต เกิดขึ้น [๑๐๑] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอารัมมณปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ. ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว เกิดขึ้น. ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย.
พึงถามถึงมูล
ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ จิต ทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิกให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่นแล้ว เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัย แก่จิต และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย.
พึงถามถึงมูล
ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต ทำขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นเจตสิกให้หนักแน่นแล้ว เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย และจิต และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยอธิปติปัจจัย. มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ. ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายทำนิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้ว พิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่เจตสิกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง จิต ทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว เกิดขึ้น. ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่จิต และจิต สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายทำนิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ มีคำอธิบายเหมือนกับข้อความตามบาลีข้างต้น. จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่เจตสิกให้หนักแน่น ย่อม ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิเกิดขึ้น ฯลฯ ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลาย นิพพาน ฯลฯ มีคำอธิบายเหมือนกับ ข้อความตามบาลีข้างต้น. บุคคลทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่เจตสิกให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง เพราะทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และ จิต เกิดขึ้น. ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ มี ๓ นัย เป็นอารัมมณาธิปติอย่างเดียว. [๑๐๒] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิกที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย.
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิกที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่จิตที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย.
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิกที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิกที่เกิด หลังๆ และจิต โดยอนันตรปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยอนันตรปัจจัย คือ จิตที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่จิตที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอนันตรปัจจัย พึงกระทำเป็น ๓ นัย ดังที่กล่าวมา พึงยังคำอธิบายให้บริบูรณ์ เหมือนกับข้อความตาม บาลีข้างต้น ไม่มีแตกต่างกัน. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดย อนันตรปัจจัย มี ๓ นัย อาวัชชนะก็ดี วุฏฐานะก็ดี ไม่มี. เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย มี ๙ นัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย มี ๙ นัย เหมือน กับปฏิจจวาร เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๙ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร เป็นปัจจัยโดย นิสสยปัจจัย มี ๙ นัย เหมือนกับปัจจยวาร. [๑๐๓] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นเจตสิก โดยอุปนิสสยปัจจัย.
พึงถามถึงมูล มี ๓ นัย
ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก อันเป็นที่เข้าไปอาศัย เป็นปัจจัยแก่จิต โดยอุปนิสสยปัจจัย.
พึงถามถึงมูล มี ๓ นัย
ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิกอันเป็นที่เข้าไปอาศัย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต โดยอุปนิสสยปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัย ฤดู ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ ฯลฯ จิต แล้วให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ฤดู ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ ฯลฯ จิต เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ปัญญา แก่ราคะ ฯลฯ แก่ความปรารถนา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัย ฤดู ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ ฯลฯ จิต แล้วให้ทาน มี ๓ นัย มีคำอธิบายเหมือนกับข้อความตามบาลีข้างต้น ไม่มีแตกต่างกัน. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย. [๑๐๔] ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต. ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความ เป็นของไม่เที่ยง ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น จิต เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ. ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะเป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่จิต โดยปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต. ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความ เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ. ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วย จักขุวิญญาณ กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก โดย ปุเรชาตปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต. ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลพิจารณาเห็นจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความ เป็นของไม่เที่ยง ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น จิต และสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลายเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ. ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย ปุเรชาตปัจจัย. [๑๐๕] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย ปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ. [๑๐๖] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอาเสวนปัจจัย. [๑๐๗] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาเจตสิก เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย. ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาเจตสิก เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาเจตสิก เป็นปัจจัยแก่จิต และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย. ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาเจตสิก เป็นปัจจัยแก่วิบากจิต และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาเจตสิก เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิต และจิตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย. ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาเจตสิก เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ทั้งหลาย และจิต และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย. [๑๐๘] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยวิปากปัจจัย มี ๙ นัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย มี ๙ นัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย มี ๙ นัย เป็นปัจจัยโดย ฌานปัจจัย มี ๓ นัย เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๓ นัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๕ นัย. [๑๐๙] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ จิตเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ จิต เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย จิต เป็นปัจจัยแก่ หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่จิต โดยวิปปยุตตปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยวิปปยุตตปัจจัย กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่จิตโดยวิปปยุตตปัจจัย. ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ จิต เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เจตสิก โดยวิปปยุตตปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก โดยวิปปยุตตปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น เจตสิก และจิต โดยวิปปยุตตปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย กายายตนะ ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่จิต และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย วิปปยุตตปัจจัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ฯลฯ. [๑๑๐] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอัตถิปัจจัย มี ๑ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร. ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ. ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย อัตถิปัจจัย มี ๑ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ จิต เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก โดยอัตถิปัจจัย ใน ปฏิสนธิขณะ จิต ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก โดยอัตถิปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เหมือนกับปุเรชาต ไม่มีแตกต่างกัน. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ จิต เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ จิต ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต โดย อัตถิปัจจัย. ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ เหมือนกับปุเรชาต ไม่มีแตกต่างกัน. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และจักขายตนะ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ และจิต เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ และจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ พึงทำทั้ง ๒ นัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย อัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และจักขายตนะ เป็น ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต และมหาภูตรูป เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่จิต โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ พึงทำทั้ง ๓ นัย. ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เป็น ปุเรชาต โดยอัตถิปัจจัย. ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต และกพฬิงการาหาร เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย. ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเจตสิก และจิต และรูปชีวิตินทรีย์ เป็น ปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรม ที่ไม่ใช่เจตสิก โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และจักขายตนะ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ ๒ และจักขุวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ และกายายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และกายวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ. ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ ๑ ที่เป็นเจตสิก และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ และจิต โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ พึงทำทั้ง ๒ นัย. [๑๑๑] ในเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มีวาระ ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๑๑๒] ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย. ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย. ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรมที่ไม่ใช่เจตสิก เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นเจตสิก และธรรม ที่ไม่ใช่เจตสิก โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย. [๑๑๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๙. [๑๑๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีวาระ ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยทั้งปวง กับเหตุปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีวาระ ๓. [๑๑๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙.
พึงกระทำอนุโลมมาติกา.
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีวาระ ๙.
เจตสิกทุกะ.
จิตตสัมปยุตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๑๑๖] จิตตสัมปยุตตธรรม อาศัยจิตตสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นจิตตสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๑ อาศัยขันธ์ ๒ ใน ปฏิสนธิ ฯลฯ จิตตวิปปยุตตธรรม อาศัยจิตตสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นจิตตสัมปยุตตธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ จิตตสัมปยุตตธรรม และจิตตวิปยุตตธรรม อาศัยจิตตสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นจิตตสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ. จิตตวิปปยุตตธรรม อาศัยจิตตวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย. จิตตสัมปยุตตธรรม อาศัยจิตตวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นจิตตสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ. จิตตสัมปยุตตธรรม และจิตตวิปปยุตตธรรม อาศัยจิตตวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นจิตตสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย. จิตตสัมปยุตตธรรม อาศัยจิตตสัมปยุตตธรรม และจิตตวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นจิตตสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตวิปปยุตตธรรม อาศัยจิตตสัมปยุตตธรรม และจิตตวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นจิตตสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นจิตตสัมปยุตตธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย. จิตตสัมปยุตตธรรม และจิตตวิปปยุตตธรรม อาศัยจิตตสัมปยุตตธรรม และ จิตตวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นจิตตสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นจิตตสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย.

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๓ บรรทัดที่ ๑-๑๘๔๓ หน้าที่ ๑-๗๒. http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=43&A=1&Z=1843&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/read/byitem_s.php?book=43&item=1&items=116              อ่านโดยใช้เครื่องหมาย [เลขข้อ] เป็น เกณฑ์แบ่งข้อ :- http://84000.org/tipitaka/read/byitem_s.php?book=43&item=1&items=116&mode=bracket              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=43&item=1&items=116              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีอักษรโรมัน :- http://84000.org/tipitaka/read/roman_item_s.php?book=43&item=1&items=116              ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=43&i=1              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๓ http://84000.org/tipitaka/read/?index_43

แสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย

บันทึก ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :