บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ | |
|
มุสาวาทครุลหุภาวปัญหา ที่ ๙ สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภุมินทรมีพระราชโองการประภาษถามอีกเล่าว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า ภาสิตํ เจตํ ภควตา สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณอดุลยโลกา- จารย์ญาณสัพพัญญูเจ้า มีพระพุทธฎีกาว่า สัมปชานมุสาวกนี้ถ้าต้องแล้ว ก็เรียกว่าอาบัติ ปาราชิก ตรัสฉะนี้แล้ว ปุน จ ภณิตํ นานมาครั้งหนึ่งเล่า สมเด็จพระพุทธองค์เจ้ามีพระพุทธ- ฎีกากลับเสียว่า สัมปชานมุสาวาทนี้เป็นแต่ลหุกาบัติดอก หาเป็นอาบัติปาราชิกไม่ เป็นสเตกิจ ฉาพอเยียวพอยาพอจะเทศนาบัติแก่พระภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งได้ นี่แหละโยมพินิจพิเคราะห์ไป เห็นอยู่ว่า พระพุทธฎีกาทั้งสองนี้ไม่ต้องกัน จะเชื่อคำก่อนนั้นเล่า คำภายหลังของพระองค์เจ้าก็ จะผิด ครั้นจะเชื่อคำภายหลัง คำก่อนนั้นก็ผิด อยํ ปญฺโห อันว่าปริศนานี้ อุภโต โกฏิโก มีเงื่อน เป็นสองไม่ต้องกัน โยมนี้พิเคราะห์ดูปัญหานี้ให้สงสัยนักหนา นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาให้ แจ้งในกาลบัดนี้ พระนาคเสนเถรเจ้าจึงถวายพระพรวิสัชนาว่า ภาสิตํ เจตํ มหาราช ขอถวาย พระพรบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ สมเด็จพระมหากรุณาเจ้ามีพระพุทธฎีกาตรัสว่า สัมปชานุสาวาทนี้ ถ้าภิกษุต้องแล้วก็เป็นปาราชิก ครั้นแล้วพระองค์บัญญัติอีกว่า สัมปชา- นมุสาวาทนี้เป็นแต่ลหุกาบัติ พอเยียวยาพอจะเทศนาบัติได้ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเจ้า ตรัสบัญญัติตามวัตถุหนักวัตถุเบา ถ้าวัตถุหนักก็เป็นปาราชิก ถ้าวัตถุเบาก็เป็นแต่ลหุกาบัติ ตํ กึ มญฺญสิ มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ ทรงเข้าพระทัยอย่างไร ใช่ กระนั้นพระพุทธฎีกานี้ตรัสเป็นสองสถาน จะรู้อาการโดยอุปมา เปรียบดุจหนึ่งว่า บุรุษคนหนึ่ง มาประหารบพิตรพระราชสมภารด้วยมือ บุรุษผู้หนึ่งประหารคนอื่นอันเป็นไพร่บ้านพลเมือง ด้วยมือ คนที่ประหาร ๒ คนนี้โทษเหมือนกันหรือประการใด ราชา สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต ข้าแต่ พระผู้เจ้า บุรุษทั้ง ๒ นั้นมีโทษต่างกัน คือบุรุษที่ประหารเขาอื่นนั้นโทษเป็นแต่ต้องปรับไหม แต่บุรุษที่ประหารโยมเข้าด้วยมือนั้นต้องมหันตโทษทารุณร้ายกาจ ในพระราชกำหนดบทนั้น สาหัสสากรรจ์นักหนา หตฺถปาทจฺเฉทํ กตฺวา ให้ตัดตีนสินมือ สพฺพเคหํ วิลุมฺเปยฺย ให้ริบรื้อ สมบัติบ้านเรือนป็นเรือนหลวง และของทั้งปวงก็ริบเข้าท้องพระคลัง อุภโต ปกฺเข ยาว สตฺตกุลํ ให้ฆ่าเสียซึ่งญาติของบุรุษผู้นั้น ฝ่ายบิดาเจ็ดชั่วโคตร ฝ่ายมารดาเจ็ดชั่วโคตร กับทั้งบุรุษผู้นั้น นี่แหละประหารด้วยมือเหมือนกันก็จริงแล แต่ทว่าโทษมากกว่ากัน ไม่เหมือนกัน ขณะนั้นพระนาคเสนจึงถามว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร บุรุษ ทั้ง ๒ นี้ประหารด้วยมือด้วยกัน ก็ไฉนโทษจึงไม่เหมือนกัน สมเด็จพระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ไม่เหมือนกันด้วยลงโทษนั้น ตามบรรดาศักดิ์ และหาบรรดาศักดิ์มิได้ พระนาคเสนจึงถวายพระพรไปว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร ซึ่งว่าสัมปชานมุสาวาทนั้นก็เหมือนกัน สมเด็จพระสัพพัญญูตรัสโปรดไว้ตามวัตถุเบาและ หนักเหมือนหนึ่งความที่เปรียบนี้ พระภิกษุรูปใดเจรจาเป็นสัมปชานมุสาวาท ลวงล่อให้เขาเสีย ทรัพย์ให้เขาฉิบหายตายด้วยวาจาสัมปชานมุสาวาท นี้เป็นอาบัติปาราชิก ภิกษุผู้ใดกล่าว สัมปขานมุสาวาท มิได้มีอธิบายจะให้เขาฉิบหายอันตรายอันใดอันหนึ่ง พระภิกษุนั้นต้องแต่ลหุ- กาบัติเบา นี่แหละพระพุทธฎีกาของสมเด็จพระสัพพัญญูเข้าจะได้เป็นสองหามิได้ บพิตรจง เข้าพระทัยด้วยประการดังนี้ พระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีได้ทรงสดับ ก็สิ้นสงสัยตรัสสรรเสริญว่า สาธุ พระผู้เป็น เจ้าวิสัชนาถูกต้องแล้ว โยมจะรับไว้ตามนัยที่พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้ทุกประการมุสาวาทครุลหุภาวปัญหา คำรบ ๙ จบเพียงนี้ เนื้อความมิลินทปัญหา หน้าที่ ๓๑๘ - ๓๑๙. http://84000.org/tipitaka/milin/milin.php?i=133 สารบัญมิลินทปัญหา http://84000.org/tipitaka/milin/milin.php?i=0#item_133
บันทึก ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙ หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]