ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก  หนังสือธรรมะ
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
มิลินทปัญหา
ปรโลกคตนีลปีตาทิวัณณคตปัญหา ที่ ๖
             ราชา สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีพระราชโองการตรัสถามว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา อุตฺตริ การณํ ปุจฺฉิสฺสามิ โยมจะถามพระผู้เป็นเจ้าให้วิเศษโดยเหตุ ยิ่งกว่านี้ว่า สัตว์โลกที่จะตายไปสู่ปรโลกนั้นมีพรรณสีสันเขียวเหลืองแดงขาวหงสบาทโอภาส ประภัสสรประการใด อนึ่งจะว่าไปโดยสัณฐานนั้น จะเหมือนรูปช้างรูปม้าหรือประการใด              ส่วนพระนาคเสนจึงวิสัชนาแก้ว่า มหาราช ดูรานะบพิตรผู้ประเสริฐ สมเด็จพระบรม- โลกนาถศาสดาจารย์จะได้บัญญัติไว้หามิได้ คำที่บพิตรถามนี้มิได้มีในพระพุทธวจนะ              พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ จึงมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ นาคเสนผู้ปรีชา แม้ว่าเสด็จพระสมณโคดมบรมครูเจ้า มิได้ตรัสบัญญัติไว้ว่า สัตว์โลกทั้ง หลายจะตายไปสู่ปรโลกนั้น สัณฐานวรรณะไม่มีแน่กระนั้น ถ้ากระนั้นปรโลกก็ไม่มี สมด้วยคุณา- ีชีวกกล่าวว่าไว้แล้วนะพระผู้เป็นเจ้า ดังจะรู้มาว่าคุณาชีวกผู้นี้เป็นอาจารย์ใหญ่กล่าวไว้ว่า นตฺถิ ปรโลโก ปรโลกไม่มี พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรผู้ประเสริฐ บพิตรจงสวนา การฟังถ้อยคำของอาตมา              พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ โยม ฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า โยมได้ยินแล้ว              พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร บพิตรสิ ได้ทรงพระสวนาการฟังถ้อยคำของอาตมา ก็ถ้อยคำของอาตมาที่ออกจากปากอาตมา มา สู่พระกรรณของมหาบพิตรนั้น เมื่อมากลางทางยังไม่เข้าในพระกรรณนั้น สีสันวรรณะสัณฐาน ดำแดงขาวเหลืองเป็นประการใดนะ บพิตรพระราชสมภารได้ทัสนาการทอดพระเนตรเห็นบ้าง หรือว่าหามิได้              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นกษัตริย์ตรัสว่า หามิได้              พระนาคเสนจึงวิสัชนาแก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร บพิตรมีพระ ราชโองการบอกอาตมาว่าได้ยินเสียงอาตมา เมื่อเสียงออกจากปากของอาตมาและมากลางทาง นั้น พระราชสมภารตรัสว่าไม่เห็นโดยสีสันวรรณะ จะว่าได้ยินเสียงอาตมาอย่างไรเล่า เมื่อเสียง อาตมาจะเข้าสู่ช่องพระกรรณ บพิตรไม่เห็นว่าดำแดงขางเหลืองประการใด ถ้ากระนั้น บพิตร หาได้ยินเสียอาตมาไม่นั่นแหละซิ อลิกํ ภาสสิ บพิตรตรัสเหลาะแหละหาจริงไม่ ถ้าว่าได้เห็น เสียงอันออกมาจากปากแล้วมากลางทางนั้น โดยผิวพรรณวรรณะดำแดงขาวเหลืองนั่นแหละ จะว่าไม่เจรจาเหลาะแหละ ขอถวายพระพร              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากร มีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่ พระนาคเสนผู้ปรีชา น อลิกํ ภณามิ โยมจะได้เจรจาเหลาะแหละมามิได้ อันว่าวาจาจะ ปรากฏว่าขาวเขียวเหลืองแดงลอยมาหาบ่มิได้ ในขณะเมื่อจะเข้ามาสู่โสตทั้งสองนั้น              พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า ความเปรียบข้อนี้ฉันใด สัตว์ซึ่งตายไปบังเกิดในปรโลก นั้น ไม่ได้ปรากฏว่าไปกลางทางเป็นรูปเป็นร่าง เป็นทรงสัณฐาน เป็นสีเขียวสีเหลืองสีแกง หงสบาทสีโอภาสเลื่อมประภัสสรหาบ่มิได้ อุปมาดุจวาจาพูดไปได้ยินด้วยโสตทั้งสองข้าง จะได้ เห็นรูปร่าง สีสันว่าเมื่อกลางทางอย่างนี้ๆ หามิได้ ขอถวายพระพร              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากร ได้ฟังก็ทรงพระโสมนัสสาธุการว่า พระผู้เป็นเจ้านี้ ปรีชาญาณช่างแก้ปัญหาฟังเป็นอัศจรรย์ อันว่าสมบัติในชมพูทวีปทั้งปวงซึ่งเป็นของโยมนี้ โยมถวายแก่พระผู้เป็นเจ้า สมบัติทั้งปวงนี้จงเป็นของพระผู้เป็นเจ้าเถิด พระผู้เป็นเจ้าจง ครอบครองราชสมบัติของโยมบรรดามีในชมพูทวีปนี้ แล้วสมเด็จเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี มี พระราชโองการตรัสว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ปญฺจ ขนฺธา อันว่าขันธ์ทั้ง ๕ ประการย่อมไม่ไปสู่ ปรโลก และขันธ์ทั้ง ๕ ประการนี้ไม่เกิดขึ้นด้วยกุศลและอกุศลที่ได้กระทำไว้ คือเกิดขึ้นเอง และ ปัญจขันธ์ที่ไม่เกิดด้วยกุศลและอกุศล มาเกิดขึ้นได้เองฉะนี้ จะว่าเป็นสงสาร คือ ยังเวียนเกิด อยู่หรือหามิได้ โยมนี้ได้เข้าใจว่า ถ้าปัญจขันธ์ไม่เกิดขึ้นด้วยกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่กระทำไว้ และเกิดด้วยตนเองฉะนี้ จะได้ชื่อว่ามีสงสารเวียนเกิดนั้นหามิได้              พระนาคเสนจึงแก้ไขอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะมหา บพิตร พระราชสมภารให้เขากระทำไร่ข้าวสาลีบ้างหรือไม่ ขอถวายพระพร              พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นประชากร มีสุนทรพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้า แต่พระนาคเสนผู้ปรีชา ข้าวสาลีนั้นโยมให้เข้าหว่านปลุกอยู่นะ พระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนจึงถามอีกเล่าว่า ดูกรบพิตรพระราชสมภาคเจ้า ข้าวสาลีงอกขึ้นกับปฐพี มีรวงเบื้องบน จะว่าข้าวสาลีมีรวงเอง ไม่มีใครปลูกหรือประการใด ขอถวายพระพร              พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นประชากรตรัสว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าวสาลีนั้นเป็นรวง ด้วยคนกระทำ และจะว่าเป็นรวงด้วยคนไม่ปลูกไม่กระทำนั้นหามิได้              พระนาคเสนจึงถามต่อไปอีกเล่าว่า มหาราช ดูรานะบพิตรผู้ประเสริฐ จะเปรียบถาม อีกเล่า ข้าวสาลีซึ่งปลูกลงนั้นยังไม่เป็นรวง จะว่าบุคคลไม่ปลูกจึงไม่มีรวงหรือ ประการหนึ่ง ว่าต้นข้าวที่ปลูกนั้น ใช่ข้างสาลีหรือ ขอถวายพระพร              พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นประชากร มีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ นาคเสนผู้เจริญ บุคคลปลูกข้าวสาลีลงไว้ยังไม่ออกรวง จะว่าคนไม่กระทำ คนไม่ปลูก ไม่ใช่ ข้าวสาลี หามิได้นะพระผู้เป็นเจ้า อนึ่งเล่า ถ้าจะว่าข้าวสาลีอันบุคคลปลูกลงกับแผ่นดิน ไป เบื้องหน้ามีรวงบริบูรณ์ขึ้น ผิและว่ารวงข้าวสาลีนี้เกิดขึ้นเอง หาผู้ปลูกผู้กระทำมิได้ และ บุคคลเกี่ยวข้าวสาลีลอมไว้ และกระทำขวัญข้าวสาลีนั้น ก็เป็นอันเปล่าไปเหมือนกัน ข้าว สาลีนั้นก็ทำขวัญตัวได้เอง ขาดต้นไปปลอมอยู่ได้เองนั่นแหละซิ พระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนถวายพระพรเปรียบอีกเล่าว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร เนื้อความข้อนี้ฉันใดเล่า ปัญจขันธ์ทั้ง ๕ ถ้าเกิดเองได้ ไม่เกิดด้วยกุศลและอกุศลที่ตนกระทำ เกิดได้เองดังนั้น ที่คนตาบอดจะเกิดไปข้างหน้า ก็จะตาบอดอยู่กระนั้น ที่หูหนวกก็จะหูหนวก อยู่กระนั้น ที่มิได้กระทำบุญไว้ก็จะไปนรกด้วยอกุศลที่ตนกระทำไว้ เปรียบอุปไมยดุจข้าวสาลี ปลูกไว้จนเป็นรวงแล้วจะยักว่า ข้าวสาลีเกิดเอง ไม่เกิดด้วยคนกระทำจะได้หรือ ก็ควรจะเรียกว่า รวงข้างสาลีนี้เกิดด้วยคนกระทำนั่นแหละ จะว่าบุญมิได้กระทำ กรรมมิได้สร้าง เบญจขันธ์จะ เกิดเองนั้นหาถูกไม่ พระราชสมภารพึงเข้าพระทัยด้วยประการดังนี้              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ นาคเสนผู้เจริญ นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอุปมาให้แจ้งก่อน              พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร เปรียบปาน ดุจประทีปอันหนึ่งจุดไว้รุ่งโรจน์โชตนาการด้วยแสงไฟ ยังมีบุคคลผู้หนึ่งนั้นจุดต่อเอาเปลวไฟจาก ประทีปนี้ ไปจุดเข้าที่ประทีปอันอื่น ประทีปอันอีกนั้นมีเปลวเพลิงสว่างไสว แล้วจะว่าคนไม่ กระทำคนไม่จุดไว้ ประทีปนี้มีไฟอยู่เองหรือ ขอถวายพระพร              สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นประชากร มีสุนทรราชโองการตรัสว่า ภนฺเต ข้าแต่พระ นาคเสนผู้เจริญ ประทีปนั้นเล่าคนเขาจุดต่อมา และจะว่าไม่เกิดขึ้นด้วยกระทำ คนไม่จุดมา หามิได้              พระนาคเสนถวายพระพรว่าฉันใดก็ดี ปัญจขันธ์ที่จะเกิดขึ้นก็อาศัยบุญได้กระทำ กรรม ได้สร้างไว้ และปัญจขันธ์จะบังเกิดได้เองหามิได้ มีอุปไมยดุจเปลวไฟประทีปอันบุคคลจุดไฟ ต่อไป บพิตรพึงเข้าพระทัยด้วยประการดังนี้              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นกษัตริย์ มีพระราชโองการถามว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ นาคเสนผู้ปรีชา เวทนาขันธ์นั้น ไม่ไปสู่ปรโลกได้ด้วยดอกหรือ นะพระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารเจ้า สัตว์ ทั้งหลายที่เสวยเวทนาในปัญจขันธ์นี้ กระทำกาลกิริยาตายไปสู่ปรโลกนั้น จะว่าเวทนาขันธ์หรือ พระราชสมภาร              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการตรัสว่า หามิได้              พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพผู้ประเสริฐ ชานาหิ บพิตรจง ทราบพระญาณเข้าพระทัย อันว่าเวทนาขันธในอัตภาพแห่งสัตว์และเราท่านนี้จะได้ไปสู่ปรโลก นั้นหามิได้              พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ตรัสถามต่อไปอีกเล่า ภนฺเต ข้าแต่พระนานเสนผู้เจริญ สัญญานั้นเล่าจะไปสู่ปรโลกหรือกระไร จงวิสัชนาให้โยมสิ้นสงสัยก่อน พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรผู้เป็นใหญ่ในสิริราชมไหศวรรย์ ถ้าสัญญาขันธ์จะไปสู่ปรโลกได้แล้ว สัญญาขันธ์ในอัตภาพนี้ ที่มีเท้าอันขาด มีมืออันขาด คือ ต้องตัดตีนสินมือนั้นจะไปสู่ปรโลก สัญญานั้นจะมิให้มีมือขาดตีนขาดอยู่อีกหรือประการใด มหาบพิตรจงเจ้าพระทัยเถิด สัญญาขันธ์นี้จะได้ไปเกิดในปรโลกาหามิได้              พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นสาคลราชธานี มีพระราชโองการตรัสว่า โยมยังสงสัยอยู่ นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอุปมาไปให้แจ้งก่อน              พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร กระจกมีอยู่ หรือไม่              พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ตรัสว่า กระจกมีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนถวายพระพรว่า บพิตรได้ส่องเข้าดูบ้างหรือไม่              พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ตรัสว่า โยมได้ส่องอยู่ พระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนจึงถามว่า เมื่อบพิตรพระราชสมภารส่องกระจกนั้นพระเนตรพระนาสิก พระทนต์ ของมหาบพิตรปรากฏอยู่ในกระจกหรือไม่              พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงตรัสว่า ปรากฏอยู่ พระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนจึงถามอีกเล่าว่า มหาราช ดูรานะมหาบพิตร ถ้ากระนั้นพระเนตร พระ นาสิก พระทนต์ มิหลุดเลิกจากพระพักตร์พระองค์เข้าไปตั้งอยู่ในวงกระจกสิ้นหรือ กระนั้นพระ ทนต์พระนาสิกก็ไม่มี พระเนตรมิมืดไปหรือประการใด              พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ตรัสว่า ใช่กระนั้น นะพระผู้เป็นเจ้า เงาที่ปัญจขันธ์ในกาย โยมนี้เข้าไปปรากฏในวงกระจกด้วยโยมส่องกระจก กระทำดวงพักตร์ตรงเข้าที่กระจก ส่องเข้าที่ กระจก จึงเห็นปรากฏดังนี้              พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า ความนี้อุปมาฉันใดเล่า มหาราช ดูรานะบพิตรผู้ประเสริฐ อันว่าปัญจขันธ์นี้จะได้ไปเกิดในปรโลกนั้นหามิได้ บุคคลมีบุญมิได้กระทำมีบาปกรรมมิได้สร้าง ไว้และจะไปเกิดด้วยปัญจขันธ์หามิได้ แต่ลำพังเบญจขันธ์เปล่านี้จะไปเกิดไม่มีเลยเป็นอันขาด โดยประเพณี อนึ่ง สัตว์โลกทั้งหลายนี้เกิดมามีขันธ์ทั้ง ๕ อาศัยขันธ์ทั้ง ๕ จึงได้กระทำกุศลา กุศลกรรมไว้ ผลแห่งกุศลากุศลกรรมนั้น แต่งให้ไปปฏิสนธิในครรภ์มารดา มีครุวนาดุจฉายา อันปรากฏในกระจกนั้น พระราชสมภารผู้ประเสริฐในสิริราชมไหศวรรย์ จงทรงทราบในพระ ราชสันดานด้วยประการดังนี้ ฝ่ายสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี ได้ทรงฟังมีพระทัยโสมนัสตรัสว่า กลฺโลสิ สธุสะพระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้สมควรแล้ว
ปรโลกคตนีลปีตาทิวัณณคตปัญหา คำรบ ๖ จบเท่านี้

             เนื้อความมิลินทปัญหา หน้าที่ ๑๕๖ - ๑๖๑. http://84000.org/tipitaka/milin/milin.php?i=79              สารบัญมิลินทปัญหา http://84000.org/tipitaka/milin/milin.php?i=0#item_79

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙ หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]