32 อานิสงส์ถวายผ้าปูโรงอุโบสถ
......ดังได้ยินมาว่าในสมัยหนึ่งพระบรมศาสดาของเราได้เสด็จประทับอยู่
ณ เชตวันมหาวิหารใน
กรุงสาวัตถีในกาลครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้เสวยราชสมบัติในเมืองสาวัตถีในวันหนึ่ง
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้นำเครื่องสักการบูชา มีประทีปดอกไม้คันธรสของหอมพร้อมด้วยบริวารของ
พระองค์เข้าไปสู่เชตวันมหาวันมหาวิหาร บูชาซึ่งพระบรมศาสนาแล้วนั่งอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้น
แล้วจึงทูลถามพระศาสดาว่า บุคคลหญิงชายมีใจเลื่อมใสในศาสนามาสร้างผ้าปูลาดไว้ในโรงอุโบสถดัง
นี้ จะมีผลานิสงส์มากน้อยเท่าใดพระเจ้าข้า
สมเด็จพระบรมศาสดาก็ตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่านรชนหญิงชายทั้งหลายมีใจเลื่อมใสศรัทธา
ได้สร้างผ้าปูลาดโรงอุโบสถ ก็จักมีผลานิสงส์มากมายก่ายกองเหลือที่จะคณนานับได้
ในภพนี้และภพหน้า ผลที่ได้ในภพนี้ก็คือ จะมีผู้นับหน้าถือตาไปทางใดก็มีผู้
อยากให้ร่วมกินร่วมนอนถึงแม้จะเข้าไปทางใดก็มีผู้อยากให้ร่วมกินร่วมนอนถึงแม้ว่าจะเข้าไปสู่สมาคม
ใด ๆ ก็ไม่สยมสยองพองเกล้า การทำมาหากินก็สมความมุ่งมาตรปรารถนาเมื่อสิ้นชีพแล้วก็จะได้อุบัติ
ขึ้นในสุขคติโลกสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานสูงได้ ๑๒ โยชน์
แล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ดูรุ่งเรือง
งดงามยิ่งกว่าปราสาทหลังอื่น ๆ มีนางฟ้าเทพอัปสรกัลยาแสนหนึ่งเป็นบริวาร
เทวบุตรตนนั้นมีกำลัง
บริษัททั้งสี่ แวดล้อมเสพดุริยดนตรีอยู่ทุกเวลามิได้ขาด
ฉะนั้นผลานิสงส์อันนี้ย่อมเป็นบันไดนำขึ้นสู่
สวรรค์ นี่แหละมหาบพิตรราชสมภาร บุคคลผู้มีมืออันชุ่มไปด้วยการให้ทาน
หมู่ทวยเทพทั้งหลายย่อม
ความยินดีสรรเสริญ รอคอยผู้ให้ทานนั้นอยู่เสมอเมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาลง
บริษัททั้งสี่มี
พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นประธาน ก็มีความรื่นเริงยินดีในพระสัทธรรมเทศนาเป็นยิ่งนัก
เป็นผู้ตั้งอยู่ใน
กุศลสัมมาปฏิบัติเป็นจำนวนมาก ครั้นทำลายขันธ์ลงก็ไปอุบัติเกิดในสัตตรัตนปราสาทเสวยสมบัติอัน
เป็นทิพย์ มีหมู่นางอัปสรสวรรค์แวดล้อมเป็นยศบริวาร
<หน้าก่อน<<<
สารบัญ >>>หน้าถัดไป>