บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
มีอุบัติอย่างไร? โดยสังเขปก่อน ในอุบัติ ๔ อย่างอันต่างเพราะอัชฌาสัยของตน เพราะอัชฌาสัยของคนอื่น เพราะอุบัติแห่งเรื่อง และเพราะอำนาจแห่งการถาม. สูตรนี้มีอุบัติเพราะอำนาจแห่งการถาม. ส่วนโดยพิสดาร ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกในแคว้นมัลละ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์มาก เสด็จถึงเมืองปาวา. ได้ยินว่า ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อัมพวันของนายจุนทกัมมารบุตร ใกล้เมืองปาวา จำเดิมแต่นี้ไป พึงให้พิสดารโดยนัยที่มาแล้วในสูตรว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาเช้าทรงนุ่งแล้วถือบาตรและจีวร พร้อม ครั้นเมื่อสิกขาบทยังไม่ทรงบัญญัติ ภิกษุบางพวกรับภาชนะทองคำ บางพวกไม่รับ. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีภาชนะอย่างเดียวเท่านั้น คือบาตรเสลมัยของพระองค์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทรงรับภาชนะที่ ๒. ในพระภิกษุเหล่านั้น ภิกษุชั่วรูปหนึ่งใส่ภาชนะทองคำราคาหนึ่งพันที่ถึงเพื่อประโยชน์แก่โภชนะของตน ในถุงกุญแจด้วยไถยจิต. นายจุนทะอังคาสแล้ว ล้างมือและเท้า นมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า แลดูพระภิกษุสงฆ์อยู่ ได้เห็นภิกษุนั้น และทำทีเหมือนไม่เห็น ไม่ได้พูดอะไรกะภิกษุนั้น ด้วยความเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้าและในพระเถระทั้งหลายว่า เออก็พวกมิจฉาทิฏฐิอย่ามีถ้อยคำ. เขาอยากจะรู้ว่า สมณะทั้งหลายเป็นผู้ประกอบด้วยสังวรหรือหนอ หรือว่าสมณะแม้เช่นนี้มีสังวรแตกแล้ว ในเวลาเย็นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลถามว่า ปุจฺฉามิ มุนึ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุจฺฉามิ มีนัยที่กล่าวแล้วในนิทเทสนั่นแล โดยนัยมีอาทิว่า การถามสามอย่าง คือ การถามให้สิ่งที่ไม่เห็นให้แจ่มแจ้ง๑- เป็นต้น. บทว่า มุนึ แม้นั่น มีนัยที่กล่าวแล้วในนิทเทสนั่นเอง โดยนัยมีอาทิว่า ญาณเรียกว่า โมนะ ปัญญา ความรู้ชัด ฯลฯ สัมมาทิฏฐิใด มุนีประกอบพร้อมด้วยญาณนั้น ถึงแล้วซึ่งโมนะ เพราะฉะนั้น โมเนยยะ ๓ อย่าง คือ กายโมเนยยะ๒- เป็นต้น. ____________________________ ๑- ขุ. จูฬ. เล่ม ๓๐/ข้อ ๑๒๒ ๒- ขุ. จูฬ. เล่ม ๓๐/ข้อ ๑๖๔ ก็ความสังเขปในคาถานี้ ดังนี้. บทว่า ปุจฺฉามิ ความว่า นายจุนทกัมมารบุตรเมื่อกระทำโอกาส จึงทูลร้องเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นมุนี บทว่า ปหุตปญฺญํ เป็นต้นเป็นคำกล่าวสรรเสริญ. นายจุนทกัมมารบุตรสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นว่าเป็นมุนี ด้วยบทเหล่านั้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ปหุตปญฺญํ ได้แก่ มีพระปัญญาไพบูลย์. ก็ความที่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีพระปัญญาไพบูลย์ พึงทราบว่าทรงกระทำไญยธรรมเป็นที่สุด. บทว่า อิติ จุนฺโท กมฺมารปุตฺโต นี้ มีนัยที่กล่าวแล้วในธนิยสูตรนั่นแล. ก็เบื้องหน้าแต่นี้ ข้าพเจ้าไม่กล่าวแม้คำมีประมาณเท่านี้ ทิ้งนัยที่กล่าวแล้วทั้งหมด จักพรรณนานัยที่ยังไม่กล่าวเท่านั้น. บทว่า พุทฺธํ ได้แก่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระพุทธะทั้งสาม. บทว่า ธมฺมสฺสามึ ความว่า ชื่อว่าผู้เป็นเจ้าของแห่งพระธรรม คือผู้มีพระธรรมเป็นอิสระ ผู้เป็นธรรมราชา ผู้ประพฤติตามอำนาจธรรม เพราะความที่พระองค์ทรงให้มรรคธรรมเกิด ดุจบิดาของบุตรเป็นอาจารย์ของพวกศิลปายตนะที่ตนให้เกิดแล้วเป็นต้น. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดพร้อมให้เกิดพร้อม ทรงบอกมรรคที่ยังไม่ได้บอก ทรงรู้มรรค ทรงรู้แจ้งมรรค ทรงฉลาดในมรรค. ส่วนสาวกทั้งหลายเป็นผู้คล้อยตามมรรคอยู่ในปัจจุบัน เป็นผู้ประกอบพร้อมในภายหลัง.๓- ____________________________ ๓- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๑๐๗ โคปกโมคฺคลฺลานสุตฺต บทว่า วีตตณฺหํ ได้แก่ ผู้ปราศจากกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหาแล้ว. บทว่า ทิปทุตฺตมํ ได้แก่ ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้าทั้งหลาย. ในบทนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามิใช่ทรงเป็นผู้สูงสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้าอย่างเดียวเท่านั้นก็จริง ถึงกระนั้น ก็เป็นผู้สุดกว่าสัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีเท้า มี ๒ เท้า ฯลฯ หรือเนวสัญญีนาสัญญีทั้งหมด โดยที่แท้เรียกว่า ผู้สูงสุดกว่าสัตว์สองเท้านั่นเทียว ด้วยอำนาจการกำหนดอย่างสูงสุด. เพราะสัตว์ ๒ เท้าทั้งหลายชื่อว่าสูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง เพราะพระเจ้าจักรพรรดิ พระมหาสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นต้น ก็เกิดในสัตว์ ๒ เท้านั้น. ก็เมื่อกล่าวว่า ผู้สุดกว่าสัตว์เหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เป็นอันเรียกว่าผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวงเหมือนกัน. บทว่า สารถีนํ ปวรํ ความว่า ชื่อว่าสารถี เพราะอรรถวิเคราะห์ว่าให้แล่นไป. คำว่า สารถี นั่นเป็นชื่อของผู้ฝึกช้างเป็นต้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้ประเสริฐกว่าสารถีเหล่านั้น เพราะพระองค์ทรงสามารถเพื่อฝึกบุรุษที่ควรฝึกทั้งหลาย ด้วยการฝึกอันยอดเยี่ยม. เหมือนอย่างที่ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ฝึกช้างย่อมให้ช้างที่ฝึกแล่นไปสู่ทิศเดียวเท่านั้น หรือทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ หรือทิศใต้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ฝึกม้าย่อมให้ม้าที่ฝึกแล่นไป. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ฝึกโค ย่อมให้โคที่ฝึกแล่นไปสู่ ฯลฯ ทิศใต้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมให้บุรุษที่ฝึกแล้ว แล่นไปสู่ทิศทั้งแปด คือผู้มีรูปเห็นรูปทั้งหลาย นี้เป็นทิศหนึ่ง ฯลฯ เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ นี้เป็นทิศที่แปด.๑- ดังนี้. ____________________________ ๔- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๖๓๗ สฬายตนวิภงฺคสุตฺต บทว่า กติ ได้แก่ การถามถึงประเภทแห่งเนื้อความ. บทว่า โลเก ได้แก่ ในสัตวโลก. บทว่า สมณา เป็นการแสดงไขอรรถอันพึงถาม. บทว่า อิงฺฆ เป็นนิบาตลงในอรรถร้องขอ. บทว่า ตทิงฺฆ แยกออกเป็น เต อิงฺฆ แปลว่า ขอเชิญ ตรัสบอกสมณะเหล่านั้น. บทว่า พฺรูหิ ความว่า ตรัสบอก คือจักตรัส. ครั้นนายจุนทะทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นนายจุนทกัมมารบุตรไม่ถามปัญหาของคฤหัสถ์ โดยนัยมีอาทิว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุศลเป็นอย่างไร อกุศลเป็นอย่างไร ถามอยู่ซึ่งปัญหาของสมณะ เมื่อทรงระลึก ทรงรู้ว่า นายจุนทกัมมารบุตรนี้ถามหมายถึงภิกษุชั่วนั้น เมื่อจะทรงแสดงความที่ภิกษุนั้นไม่เป็นสมณะ เพราะสักว่าโวหารบัญญัติ จึงตรัสว่า สมณะ ๔ พวก บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตุโร เป็นการกำหนดจำนวน. บทว่า สมณา ความว่า บางคราว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเดียรถีย์ทั้งหลายโดยวาทะว่า สมณะ เหมือนที่ตรัสว่า เหล่านั้นใดเป็นวตโกตูหลมงคลของสมณพราหมณ์ผู้ปุถุชน บางคราวตรัสถึงปุถุชนทั้งหลาย ดุจตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนย่อมจำท่านว่า สมณะ สมณะ.๕- บางคราวตรัสถึงพระเสกขะ ดุจตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะผู้เสกขะมีในศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่ ๒ มีในศาสนานี้.๖- บางคราวตรัสถึงพระขีณาสพทั้งหลาย ดุจตรัสว่า เป็นสมณะ เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย.๗- บางคราวตรัสถึงพระองค์นั่นแล ดุจตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า สมณะ นั่นแล เป็นชื่อของเราตถาคต๘- ดังนี้. แต่ในที่นี้ ตรัสถึงพระอริยะแม้ทั้งหมดและปุถุชนผู้มีศีล ด้วยบททั้งสาม. ด้วยบทที่สี่ทรงสงเคราะห์ภิกษุนอกนี้แม้ไม่เป็นสมณะมีแต่ผ้าเหลืองพันคอว่า สมณะ ด้วยเหตุสักว่าโวหารอย่างเดียว แล้วจึงตรัสว่า สมณะมี ๔ พวก ดังนี้ ____________________________ ๕- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๗๙ จูฬอสฺสปุรสุตฺต ๖- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๒๔๑ ๗- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๘๒ จูฬอสฺสปุรสุตฺต ๘- องฺ.อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๙๒ บทว่า น ปญฺจมตฺถิ ความว่า ชื่อว่า สมณะที่ห้าไม่มีในพระธรรมวินัยนี้ โดยเหตุสักว่า โวหาร แม้โดยเหตุสักว่าปฏิญญา. บทว่า เต เต อาวิกโรมิ ความว่า เราจะทำสมณะ ๔ เหล่านั้น ให้ปรากฏแก่ท่าน. บทว่า สกฺขิปุฏฺโฐ ความว่า ถูกถามซึ่งหน้าแล้ว. บทว่า มคฺคชิโน ความว่า ผู้ชนะกิเลสทั้งปวงด้วยมรรค. บทว่า มคฺคเทสโก ได้แก่ ผู้แสดงมรรคแก่ชนเหล่าอื่น. บทว่า มคฺเค ชีวติ ความว่า ในพระเสขะทั้ง ๗ พระเสขะรูปใดรูปหนึ่ง ชื่อว่าเป็นอยู่ในมรรคอันเป็นโลกุตระ เพราะการอบรมมรรคอันตนยังไม่แสวงหา และปุถุชนผู้มีศีล ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในมรรคอันเป็นโลกิยะ หรือปุถุชนผู้มีศีล พึงทราบว่าเป็นอยู่ในมรรค แม้เพราะเป็นอยู่ด้วยมรรคนิมิตอันเป็นโลกุตระ. บทว่า โย จ มคฺคทูสี ความว่า และสมณะผู้ทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ ชื่อว่าผู้ นายจุนทะเมื่อไม่อาจรู้ชัดซึ่งสมณะ ๔ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นแสดงโดยย่อว่า สมณะ ๔ เหล่านี้ อย่างนี้ว่า ในสมณะเหล่านี้ สมณะผู้ชนะด้วยมรรคชื่อนี้ สมณะผู้ประทุษร้ายมรรคชื่อนี้ ดังนี้ เพื่อจะทูลถามอีก จึงทูลว่า กมฺมคฺคชินํ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มคฺเค ชีวติ เม ความว่า สมณะนั้นใดเป็นอยู่ในมรรค พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกสมณะนั้นแก่ข้าพระองค์. บทที่เหลือปรากฏชัดแล้วเทียว. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงขยายสมณะแม้ทั้งสี่แก่พราหมณ์นั้น ด้วยคาถา ๔ คาถา จึงตรัสว่า โย ติณฺณกถํกโถ ดังนี้ ในบทเหล่านั้น บทว่า ติณฺณกถํกโถ วิสลฺโล (สมณะผู้ข้ามความสงสัยได้แล้ว ผู้ไม่มีกิเลสดุจลูกศร) นั่น มีนัยที่กล่าวแล้วในอุรคสูตรนั่นแล. ส่วนความแปลกกัน ดังนี้ :- เพราะสมณะ คือพระพุทธเจ้าทรงประสงค์เอาว่า สมณะผู้ชนะสรรพกิเลสด้วยมรรคด้วยคาถานี้ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ชื่อว่าสมณะผู้ข้ามความสงสัยได้แล้ว แม้เพราะความไม่รู้ในธรรมทั้งปวงอันสมควรสงสัย เป็นธรรมอันพระองค์ข้ามได้แล้วด้วยสัพพัญญุตญาณ. ก็สมณะทั้งหลายมีโสดาบันเป็นต้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นที่สุด แม้ข้ามความสงสัยได้แล้ว โดยนัยที่กล่าวแล้วในบทก่อน แต่โดยปริยาย ชื่อว่ายังไม่ข้ามความสงสัยทีเดียว เพราะเป็นผู้มีอำนาจญาณไม่กระทบในวิสัยทั้งหลายมีสกทาคามิวิสัยเป็นต้น มีพุทธวิสัยเป็นที่สุด. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสมณะผู้ข้ามความสงสัยได้แล้วโดยประการทั้งปวง. บทว่า นิพฺพานาภิรโต ได้แก่ ยินดีเฉพาะแล้ว ในนิพพาน. อธิบายว่า มีจิตน้อมแล้วในนิพพานทุกเมื่อด้วยอำนาจแห่งผลสมาบัติ และพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเป็นเช่นนั้น. สมดังที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนอัคคิเวสสนะ เรานั้นแลย่อมตั้งพร้อม ให้สงบ กระทำให้เป็นธรรมเอก ตั้งมั่นซึ่งจิตในภายในนั้นแลไว้ในสมาธินิมิตอันก่อนนั้นเทียว ในที่สุดแห่งคาถานั้นแล.๙- ____________________________ ๙- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๓๐ มหาสจฺจกสุตฺต บทว่า อนานุคิทฺโธ ความว่า ผู้ไม่มีความกำหนัดซึ่งธรรมไรๆ ด้วยความกำหนัด คือตัณหา. บทว่า โลกสฺส สเทวกสฺส เนตา ความว่า เป็นผู้นำ คือให้ถึงโลกพร้อมด้วยเทวโลก ด้วยการแสดงธรรม โดยสมควรแก่อาสัยและอนุสัย ให้ถึงการแทงตลอดสัจจะแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย อันไม่มีปริมาณ ในสูตรทั้งหลายมาก มีปารายนสูตรและมหาสมยสูตรเป็นต้น. อธิบายว่า ให้ข้าม คือให้ถึงฝั่งนอก. บทว่า ตาทึ ความว่า ผู้เป็นเช่นนั้นมีประการตามที่กล่าวแล้ว หรือผู้ไม่ผันแปรด้วยโลกธรรมทั้งหลาย. บทที่เหลือในคาถานี้ ปรากฏแล้วแล. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงขยายสมณะ คือพระพุทธเจ้าว่า เป็นพระสมณะผู้ชนะสรรพกิเลสด้วยมรรค ด้วยคาถานี้อย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงขยายสมณะผู้ขีณาสพ จึงตรัสว่า ปรมํ ดังนี้. ในคาถานั้น นิพพานชื่อว่า ปรมะ. อธิบายว่า เลิศ อุดมกว่าธรรมทั้งปวง. บทว่า ปรมนฺติ โยธ ญตฺวา ความว่า ภิกษุใดในศาสนานี้รู้ว่า นิพพานนั้นเป็นธรรมยิ่ง ด้วยปัจจเวกขณญาณ. บทว่า อกฺขาติ วิกชติ อิเธว ธมฺมํ ความว่า ย่อมบอกนิพพานธรรม คือกระทำนิพพานธรรมให้ปรากฏแก่คนเหล่าอื่น เพราะความที่นิพพานธรรมเป็นธรรมอันตนแทงตลอดแล้วว่า นี้นิพพาน ย่อมจำแนกมรรคธรรมว่า เหล่านี้ สติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ นี้มรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐดังนี้ หรือย่อมบอกธรรมแม้ทั้งสอง โดยแสดงอย่างย่อแก่ บทว่า ตํ กงฺขจฺฉิทํ มุนึ อเนชํ ความว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสภิกษุที่ ๒ ผู้ตัดความสงสัยด้วยการแทงตลอดสัจจะสี่ และด้วยการตัดความสงสัยของคนเหล่าอื่น ด้วยเทศนาของตนผู้เป็นมุนี ด้วยการถึงพร้อมด้วยโมเนยยะ ผู้ไม่หวั่นไหว เพราะไม่มีตัณหา กล่าวคือเอชา นั้นคือเห็นปานนั้นว่า สมณะผู้แสดงมรรค. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดแล้วด้วยพระองค์เอง แม้เป็นผู้แสดงมรรคอันยอดเยี่ยม ด้วยเทศนาแล้ว ทรงแสดงขยายสมณะผู้ขีณาสพว่า สมณะผู้แสดงมรรคอันสมควรแก่ศาสนาของตน และยังศาสนาให้รุ่งเรือง ดุจทูตและดุจราชเลขาของพระราชา ด้วยคาถานี้อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงขยายสมณะผู้เสขะ และสมณะผู้ปุถุชนมีศีล จึงตรัสว่า โย ธมฺมปเท ดังนี้. การพรรณนาบทในบทเหล่านั้นปรากฏชัดแล้วแล แต่นัยแห่งวัณณนาในคาถานี้ มีดังนี้ :- ภิกษุใด เมื่อบทธรรม เพราะเป็นบทแห่งนิพพานธรรม อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงแสดงไว้ดีแล้ว เพราะทรงแสดงไม่อิงอาศัยที่สุดทั้งสอง หรือเพราะทรงแสดงแล้วโดยประการต่างๆ มีสติปัฏฐานเป็นต้น โดยสมควรแก่อาสัย แม้เป็นผู้มรรคสมังคี ชื่อว่าเป็นอยู่ในมรรค เพราะเป็นผู้มีมรรคกิจอันกิเลสไม่รั่วรดแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วด้วยการสำรวมด้วยศีล มีสติด้วยสติอันดำรงดีแล้วในกายเป็นต้น หรือระลึกได้ถึงกิจที่ทำแล้วนานเป็นต้น ได้เสพบทอันไม่มีโทษ กล่าวคือโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เพราะเป็นบทอันไม่มีโทษ โดยไม่มีโทษแม้ประมาณน้อย และเป็นบทโดยภาวะเป็นโกฏฐาสด้วยการเสพภาวนา จำเดิมแต่ภังคญาณ พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสภิกษุที่ ๓ นั้นว่า เป็นอยู่ในมรรค. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสขยายสมณะผู้เสขะ และสมณปุถุชนผู้มีศีลว่า เป็นอยู่ในมรรค ด้วยคาถานี้อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงขยายสมณะสักว่าโวหารอย่างเดียว ซึ่งมีผ้าเหลืองพันคอนั้น จึงตรัสว่า ฉทนํ กตฺวาน ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ฉทนํ กตฺวาน ความว่า กระทำความสมควรถือเพศ. อธิบายว่าทรงเพศ. บทว่า สุพฺพตานํ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก. จริงอยู่ วัตรของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและสาวก ย่อมงาม เพราะฉะนั้น ท่านเหล่านั้นมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เรียกว่า สุพฺพตา ผู้มีวัตรอันงาม. บทว่า ปกฺขนฺที ความว่า แล่นไป คือเข้าไปในภายใน. จริงอยู่ บุคคลผู้ทุศีลกระทำเพศของผู้มีวัตรอันงามให้เป็นเครื่องปกปิดเพื่อปกปิดความที่ตนเป็นผู้ทุศีล เหมือนการปกปิดด้วยวัตถุมีหญ้าและใบไม้เป็นต้น เพื่อปกปิดคูถฉะนั้น ย่อมแล่นไปในท่ามกลางภิกษุว่า แม้เราก็เป็นภิกษุ เมื่อเขาถวายลาภว่า ภิกษุมีพรรษาประมาณเท่านี้พึงรับลาภนี้ ก็ย่อมแล่นไปเพื่อจะรับว่า เราก็มีพรรษาประมาณเท่านี้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า กระทำเพศแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกผู้มีวัตรอันงามให้เป็นเครื่องปกปิดแล้ว มักประพฤติแล่นไปดังนี้. บุคคลใดย่อมประทุษร้ายความเลื่อมใส อันเกิดแก่ตระกูลแม้ ๔ มีตระกูลกษัตริย์เป็นต้น ด้วยการประพฤติอันไม่สมควร เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อว่า กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายตระกูล. บทว่า ปคพฺโภ ความว่า ผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความคะนองกาย ๘ ฐานะ ความคะนองวาจา ๔ ฐานะ และความคะนองใจมีหลายฐานะ. ความสังเขปในพระสูตรนี้มีเพียงเท่านี้ ส่วนความพิสดารข้าพเจ้าจักพรรณนาในเมตตสุตตวัณณนา. ชื่อว่ามีมายา เพราะเป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยมายาอันปกปิดกรรมที่ตนทำแล้วเป็นลักษณะ. ชื่อว่าไม่สำรวม เพราะไม่มีการสำรวมศีล. ชื่อว่าเป็นคนแกลบ เพราะความเป็นผู้เช่นกับแกลบ. เปรียบเหมือนแกลบ แม้เว้นข้าวสารในภายใน แต่ปรากฏเหมือนข้าวเหนียวเมล็ดดีในภายนอกฉันใด บุคคลบางคนในศาสนานี้ก็ฉันนั้น แม้เว้นจากคุณสารมีศีลเป็นต้นในภายใน แต่ย่อมปรากฏเหมือนสมณะด้วยเพศสมณะ ปกปิดวัตรอันดีงามฉะนั้น บุคคลนั้นเรียกว่าเป็นคนแกลบ เพราะความเป็นคน ก็ในอานาปานสติสูตร แม้ปุถุชนผู้ดีงามอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บริษัทนี้ไม่มี ____________________________ ๑๐- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๒๑ บทว่า ปฏิรูเปน จรํ ส มคฺคทูสี ความว่า บุคคลนั้นกระทำเพศแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกผู้มีวัตรอันงามให้เป็นเครื่องปกปิดแล้วนั้น ประพฤติด้วยวัตตปฏิรูป คือวัตตรูป ได้แก่ด้วยอาจาระสักว่าภายนอก โดยประการที่ชนย่อมรู้เรา ตามที่ประพฤติอยู่ว่า ภิกษุนี้อยู่ในป่าเป็นวัตร ถือรุกขมูลเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ผู้มีความปรารถนาน้อย ผู้สันโดษ ดังนี้ พึงทราบว่า เป็นสมณะผู้ประทุษร้ายมรรค เพราะประทุษร้ายโลกุตรมรรคของตน และเพราะประทุษร้ายสุคติมรรคของคนเหล่าอื่น. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงขยายสมณะผู้สักว่าโวหาร ผู้ทุศีลว่า เป็นสมณะผู้ประทุษร้ายมรรค ด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความที่สมณะเหล่านั้นเป็นผู้ไม่เข้ากันและกัน จึงตรัสว่า เอเต จ ปฏิวิชฺฌิ ดังนี้. คาถานั้นมีเนื้อความว่า ผู้ใดจะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นกษัตริย์ก็ตาม เป็นพราหมณ์ก็ตาม คนใดคนหนึ่งก็ตาม ทราบชัด คือรู้ทั่วกระทำให้แจ้งซึ่งสมณะ ๔ เหล่านั้นด้วยลักษณะตามที่กล่าวแล้ว สดับลักษณะของสมณะ ๔ เหล่านี้โดยเพียงได้ฟัง. ชื่อว่า อริยสาวก เพราะความที่ลักษณะนั้นแลได้ฟังแล้ว ในสำนักของพระอริยเจ้าทั้งหลาย มีปัญญาด้วยรู้ชัดว่า ภิกษุรูปนี้และรูปนี้มีลักษณะอย่างนี้ รู้สมณะเหล่านั้นนั่นแล ทั้งหมดแม้นี้ว่าเป็นเช่นนั้น สมณะนี้เป็นสมณะผู้ประทุษร้ายมรรค ตรัสแล้วในภายหลัง เห็นแล้วอย่างนี้ คือเห็นภิกษุชั่วนั่น แม้ทำความชั่วอย่างนี้. ในคาถานั้นมีโยชนาดังนี้ ก็พระอริยสาวกผู้ได้สดับมีปัญญา ทราบสมณะเหล่านั้นทั้งหมดว่าเป็นเช่นนั้น ด้วยปัญญานั้นอยู่ เห็นแล้วอย่างนี้ ย่อมไม่ยังศรัทธาของคฤหัสถ์ผู้ทราบชัดสมณะเหล่านี้ให้เสื่อม คือแม้เห็นภิกษุชั่ว ทำกรรมชั่วอย่างนี้แล้ว ไม่ยังศรัทธาให้เสื่อม คือไม่ให้เสื่อมเสีย ไม่ให้ศรัทธาฉิบหาย ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นแสดงความที่สมณะเหล่านั้นเป็นผู้ไม่เข้ากันและกัน ด้วยคาถานี้อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะสรรเสริญพระอริยสาวก ผู้แม้เห็นแล้วอย่างนี้ รู้สมณะเหล่านั้นทั้งหมดว่าเป็นเช่นนั้น จึงตรัสว่า กถญฺหิ ทุฏฺเฐน ดังนี้. คาถาวจนะนั้นมีความสัมพันธ์ว่า ก็พระอริยสาวกผู้ได้สดับเรื่องที่ประกอบแล้วนั่นแล คือแม้เห็นภิกษุทำความชั่วบางรูป ดังนี้แล้ว รู้สมณะเหล่านั้นทั้งหมดว่า เป็นเช่นนั้น เพราะเหตุอะไร เพราะจะพึงกระทำสมณะผู้ไม่ถูกโทษประทุษร้าย ให้เสมอด้วยสมณะผู้ถูกโทษประทุษร้าย จะพึงกระทำสมณะผู้บริสุทธิ์ให้เสมอด้วยสมณะ ผู้ไม่บริสุทธิ์ อย่างไรได้. คาถานั้นมีเนื้อความว่า เพราะพระอริยสาวกผู้สดับมีปัญญา จะพึงกระทำผู้ไม่ถูกประทุษร้ายนอกนี้ ให้เสมอด้วยสมณะผู้ถูกโทษประทุษร้าย ด้วยศีลวิบัติ คือสมณะผู้ประทุษร้ายมรรค จะพึงกระทำสมณะผู้บริสุทธิ์เป็นเช่นนั้น ให้เสมอด้วยสมณะผู้ไม่บริสุทธิ์ด้วยกายสมาจารเป็นต้น คือสมณะผู้สักว่าโวหารผู้สุดท้ายอย่างไรได้ คือพึงรู้ว่าเป็นเช่นนั้น ดังนี้. ในการจบพระสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสมรรคหรือผลแก่อุบาสก เพราะอุบาสกนั้นละความสงสัยได้แล้วดังนี้แล. จบจุนทสุตตวัณณนา แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อ ปรมัตถโชติกา -------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อุรควรรค จุนทสูตร จบ. |