![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | ||||||||||||||||
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] [๑๓] [๑๔] ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หน้าต่างที่ ๔ / ๑๔. ข้อความเบื้องต้น มารดาหาภรรยาให้บุตร บุ. แม่ อย่าพูดอย่างนี้เลย, ฉันจักปฏิบัติแม่ไปจนตลอดชีวิต. ม. พ่อ เจ้าคนเดียวทำการงานอยู่ ทั้งที่นาและที่บ้าน, เพราะเหตุนั้น แม่จึงไม่มีความสบายใจเลย, แม่จักนำนางกุมาริกามาให้เจ้า. เขาแม้ห้าม (มารดา) หลายครั้งแล้วได้นิ่งเสีย. มารดานั้นออกจากเรือน เพื่อจะ ลำดับนั้น บุตรถามมารดาว่า แม่จะไปตระกูลไหน? เมื่อมารดาบอกว่า จะไป ทีนั้น มารดาจึงพูดกะบุตรว่า พ่อ เจ้าให้แม่นำนางกุมาริกามาตามชอบใจของเจ้าแล้ว บัดนี้ นางกุมาริกานั้นเป็นหมัน, ก็ธรรมดา ตระกูลที่ไม่มีบุตรย่อมฉิบหาย, ประเพณี หญิงหมันได้ยินคำนั้น จึงคิดว่า ธรรมดา บุตรย่อมไม่อาจฝืนคำมารดาบิดาไปได้, บัดนี้ แม่ผัวคิดจะนำหญิงอื่น ผู้ไม่เป็นหมันมาแล้ว ก็จักใช้เราอย่างทาสี, ถ้าอย่างไร เราพึงนำนางกุมาริกาคนหนึ่งมาเสียเอง ดังนี้แล้ว จึงไปยังตระกูลแห่งหนึ่ง ขอนางกุมาริกาเพื่อประโยชน์แก่สามี, ถูกพวกชนในตระกูลนั้นห้ามว่า หล่อนพูดอะไรเช่นนั้น ดังนี้แล้ว จึงอ้อนวอนว่า ฉันเป็นหมัน ตระกูลที่ไม่มีบุตร ย่อมฉิบหาย บุตรีของท่านได้บุตรแล้ว จักได้เป็นเจ้าของสมบัติ, ขอท่านโปรดยกบุตรีนั้นให้แก่สามีของฉันเถิด ดังนี้แล้ว ยังตระกูลนั้นให้ยอมรับแล้ว จึงนำมาไว้ในเรือนของสามี. ต่อมา หญิงหมันนั้นได้มีความปริวิตกว่า ถ้านางคนนี้จักได้บุตรหรือบุตรีไซร้ จักเป็นเจ้าของสมบัติแต่ผู้เดียว, ควรเราจะทำนางอย่าให้ได้ทารกเลย. เมียหลวงปรุงยาทำลายครรภ์เมียน้อย ลำดับนั้น พวกหญิงที่คุ้นเคยกัน ได้ถามนางนั้นว่า หญิงร่วมสามีทำอันตรายหล่อนบ้างหรือไม่? นางแจ้งความนั้นแล้ว ถูกหญิงเหล่านั้นกล่าวว่า หญิงอันธพาล เหตุไร หล่อนจึงได้ทำอย่างนั้นเล่า? หญิงหมันนี้ได้ประกอบยาสำหรับทำครรภ์ให้ตกให้แก่หล่อน เพราะกลัวหล่อนจะเป็นใหญ่, เพราะฉะนั้น ครรภ์ของหล่อนจึงตก, หล่อนอย่าได้ทำอย่างนี้อีก. ในครั้งที่ ๓ นางจึงมิได้บอก. ต่อมา [ฝ่าย] หญิงหมันเห็นท้องของนางนั้นแล้วจึงกล่าวว่า เหตุไร? หล่อนจึงไม่บอกความที่ครรภ์ตั้งแก่ฉัน เมื่อนางนั้นกล่าวว่า หล่อนนำฉันมาแล้ว ทำครรภ์ให้ตกไปเสียถึง ๒ ครั้งแล้ว, ฉันจะบอกแก่หล่อนทำไม? จึงคิดว่า บัดนี้ เราฉิบหายแล้ว คอยแลดูความประมาทของนางกุมาริกานั้นอยู่, เมื่อครรภ์แก่เต็มที่แล้ว, จึงได้ช่อง ได้ประกอบยาให้แล้ว ครรภ์ไม่อาจตก เพราะครรภ์แก่ จึงนอนขวาง [ทวาร]. เวทนากล้าแข็งขึ้น. นางถึงความสิ้นชีวิต.๑- ____________________________ ๑- ชีวิตกฺขยํ นางตั้งความปรารถนาว่า เราถูกมันให้ฉิบหายแล้ว, มันเองนำเรามา ทำทารกให้ฉิบหายถึง ๓ คนแล้ว, บัดนี้ เราเองก็จะฉิบหาย, บัดนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้ พึงเกิดเป็น ผลัดกันสังหารคนละชาติด้วยอำนาจผูกเวร ฝ่ายแม่แมวได้เกิดเป็นแม่เนื้อ. ในเวลาแม่เนื้อนั้นคลอดลูกแล้วๆ แม่เสือเหลืองก็ได้มากินลูกทั้งหลายเสียถึง ๓ ครั้ง. เมื่อเวลาจะตาย แม่เนื้อทำความปรารถนาว่า พวกลูกของเรา แม่เสือเหลืองตัวนี้กินเสียถึง ๓ ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้มันจักกินตัวเราด้วย. เดี๋ยวนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว พึงได้กินมันกับลูกของมันเถิด ดังนี้แล้ว ได้ตายไปเกิดเป็นนางยักษิณี. ฝ่ายแม่เสือเหลืองจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นกุลธิดา๑- ในเมืองสาวัตถี. นางถึงความเจริญแล้ว ได้ไปสู่ตระกูลสามีในบ้านริมประตู [เมือง]. ____________________________ ๑- หญิงสาวของตระกูล หญิงสาวในตระกูล หรือหญิงสาวมีตระกูล ในกาลต่อมา นางได้คลอดบุตรคนหนึ่ง. นางยักษิณีจำแลงตัวเป็นหญิงสหายที่รักของเขามาแล้ว ถามว่า หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน? พวกชาวบ้านได้บอกว่า เขาคลอดบุตรอยู่ภายในห้อง นางยักษิณีฟังคำนั้น แสร้งพูดว่า หญิงสหายของฉันคลอดลูกเป็นชายหรือหญิงหนอ, ฉันจักดูเด็กนั้น ดังนี้แล้ว เข้าไปทำเป็นแลดูอยู่ จับทารกกินแล้วก็ไป. ถึงในหนที่ ๒ ก็ได้กินเสียเหมือนกัน. ในหนที่ ๓ นางกุลธิดามีครรภ์แก่ เรียกสามีมาแล้ว บอกว่า นาย นางยักษิณีตนหนึ่งกินบุตรของฉันเสียในที่นี้ ๒ คนแล้วไป, เดี๋ยวนี้ ฉันจักไปสู่เรือนแห่งตระกูลของฉันคลอดบุตร ดังนี้แล้ว ไปสู่เรือนแห่งตระกูล คลอด [บุตรที่นั่น]. ในกาลนั้น นางยักษิณีนั้นถึงคราวส่งน้ำ. ด้วยว่า นางยักษิณีทั้งหลายต้องตักน้ำจากสระอโนดาตทูนบนศีรษะมา เพื่อท้าวเวสสวัณ ตามวาระ ต่อล่วง ๔ เดือนบ้าง ๕ เดือนบ้างจึงพ้น (จากเวร) ได้. นางยักษิณีเหล่าอื่นมีกายบอบช้ำ ถึงความสิ้นชีวิตบ้างก็มี. ส่วนนางยักษิณีนั้น พอพ้นจากเวรส่งน้ำแล้วเท่านั้น ก็รีบไปสู่เรือนนั้น ถามว่า หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน? พวกชาวบ้านบอกว่า ท่านจักพบเขาที่ไหน? นางยักษิณีตนหนึ่งกินทารกของเขาที่คลอดในที่นี้, เพราะฉะนั้น เขาจึงไปสู่เรือนแห่งตระกูล นางยักษิณีนั้นคิดว่า เขาไปในที่ไหนๆ ก็ตามเถิด จักไม่พ้นเราได้ ดังนี้แล้ว อันกำลังเวรให้อุตสาหะแล้ว วิ่งบ่ายหน้าไปสู่เมือง. ฝ่ายนางกุลธิดา ในวันเป็นที่รับชื่อให้ทารกนั้นอาบน้ำ ตั้งชื่อแล้ว กล่าวกะสามีว่า นาย เดี๋ยวนี้ เราพากันไปสู่เรือนของเราเถิด อุ้มบุตรไปกับสามี ตามทางอันตัดไปในท่ามกลางวิหาร มอบบุตรให้สามีแล้ว ลงอาบน้ำในสระโบกขรณีข้างวิหารแล้ว ขึ้นมารับเอาบุตร, เมื่อสามีกำลังอาบน้ำอยู่, ยืนให้บุตรดื่มนม แลเห็นนางยักษิณีมาอยู่ จำได้แล้ว ร้องด้วยเสียงอันดังว่า นาย มาเร็วๆ เถิด นี้นางยักษิณีตนนั้น ดังนี้แล้ว ไม่อาจยืนรออยู่จนสามีนั้นมาได้ วิ่งกลับบ่ายหน้าไปสู่ภายในวิหารแล้ว. เวรไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับได้ด้วยไม่ผูกเวร สุมนเทพผู้สิงอยู่ที่ซุ้มประตู ไม่ยอมให้นางยักษิณีเข้าไปข้างใน. พระศาสดารับสั่งเรียกพระอานนทเถระมาแล้ว ตรัสว่า อานนท์ เธอจงไป นางกุลธิดากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางยักษิณีนี้มา พระศาสดาตรัสว่า นางยักษิณีจงมาเถิด, เจ้าอย่าได้ร้องไปเลย ดังนี้แล้ว ได้ตรัสกะนางยักษิณีผู้มายืนอยู่แล้วว่า เหตุไร? เจ้าจึงทำอย่างนั้น ก็ถ้าพวกเจ้าไม่มาสู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้าผู้เช่นเราแล้ว เวรของพวกเจ้าจักได้เป็นกรรมตั้งอยู่ชั่วกัลป์ เหมือนเวรของงูกับพังพอน, ของหมีกับไม้สะคร้อ และของกากับนกเค้า, เหตุไฉน พวกเจ้าจึงทำเวรและเวรตอบแก่กัน? เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร หาระงับได้ด้วยเวรไม่ ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
แก้อรรถ สองบทว่า อเวเรน จ สมฺมนฺติ ความว่า เหมือนอย่างว่า ของ บาทพระคาถาว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ความว่า ธรรมนี้ คือที่นับว่า ความสงบเวร ด้วยความไม่มีเวร เป็นของเก่า คือเป็นมรรคาแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระขีณาสพทั้งหลาย ทุกๆ พระองค์ดำเนินไปแล้ว. ในกาลจบพระคาถา นางยักษิณีนั้นตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผลแล้ว, เทศนาได้เป็นกถามีประโยชน์ แม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว. นางยักษิณีรู้ฝนมากฝนน้อย ญ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์กลัว. ศ. เจ้าอย่ากลัวเลย, อันตรายย่อมไม่มีแก่เจ้า เพราะอาศัยนางยักษิณีนี้. นางได้ให้บุตรแก่นางยักษิณีนั้นแล้ว. นางยักษิณีนั้นอุ้มทารกนั้น จูบกอดแล้ว คืนให้แก่มารดาอีก ก็เริ่มร้องไห้. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามนางยักษิณีนั้นว่า อะไรนั่น? นางยักษิณีนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อน ข้าพระองค์ แม้สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยไม่เลือกทาง ยังไม่ได้อาหารพอเต็มท้อง, บัดนี้ ข้าพระองค์จะเลี้ยงชีพได้อย่างไร. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสปลอบนางยักษิณีนั้นว่า เจ้าอย่าวิตกเลย ดังนี้แล้ว ตรัสกะหญิงนั้นว่า เจ้าจงนำนางยักษิณีไปให้อยู่ในเรือนของตนแล้ว จงปฏิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดี. หญิงนั้นนำนางยักษิณีไปแล้ว ให้พักอยู่ในโรงกระเดื่อง ได้ปฏิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดีแล้ว. ในเวลาซ้อมข้าวเปลือก สากปรากฏแก่นางยักษิณีนั้นดุจต่อยศีรษะ. เขาจึงเรียกนางกุลธิดาผู้สหายมาแล้ว พูดว่า ฉันจักไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ ขอท่านจงให้ฉันพักอยู่ในที่อื่นเถิด แม้อันหญิงสหายนั้นให้พักอยู่ในที่เหล่านี้ คือในโรงสาก ข้างตุ่มน้ำ ริมเตาไฟ ริมชายคา ริมกองหยากเยื่อ ริมประตูบ้าน, (นาง) ก็กล่าวว่า ในโรงสากนี้ สากย่อมปรากฏดุจต่อยศีรษะฉันอยู่, ที่ข้างตุ่มน้ำนี้ พวกเด็กย่อมราดน้ำเป็นเดนลงไป, ที่ริมเตาไฟนี้ ฝูงสุนัขย่อมมานอน, ที่ริมชายคานี้ พวกเด็กย่อมทำสกปรก, ที่ริมกองหยากเยื่อนี้ ชนทั้งหลายย่อมเทหยากเยื่อ, ที่ริมประตูบ้านนี้ เด็กพวกชาวบ้าน ย่อมเล่นการพนันกันด้วยคะแนน ดังนี้แล้ว ได้ห้ามที่ทั้งปวงนั้นเสีย. ครั้งนั้น หญิงสหายจึงให้นางยักษิณีนั้นพักอยู่ในที่อันสงัดภายนอกบ้านแล้ว นำโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นอย่างดีไปเพื่อนางยักษิณีนั้น แล้วปฏิบัติในที่นั้น. นางยักษิณีนั้นคิดอย่างนี้ว่า เดี๋ยวนี้ หญิงสหายของเรานี้มีอุปการะแก่เรามาก, เอาเถอะ เราจักทำความแทนคุณสักอย่างหนึ่ง ดังนี้แล้ว ได้บอกแก่หญิงสหายว่า ในปีนี้จักมีฝนดี, ท่านจงทำข้าวกล้าในที่ดอนเถิด, ในปีนี้ฝนจักแล้ง ท่านจงทำข้าวกล้าในที่ลุ่มเถิด. ข้าว นางยักษิณีเริ่มตั้งสลากภัต นางบอกว่า นางยักษิณีผู้เป็นหญิงสหายของฉัน บอกความที่ฝนดีและฝนแล้งแก่ฉัน, ฉันทำข้าวกล้าทั้งหลายในที่ดอนและที่ลุ่ม ตามคำของยักษิณีนั้น, เหตุนั้น ข้าว ครั้งนั้น พวกชนชาวเมืองทั้งสิ้นพากันทำสักการะแก่นางยักษิณีนั้นแล้ว. จำ ในกาลต่อมา นางยักษิณีนั้นเริ่มตั้งสลากภัต ๘ ที่แล้ว สลากภัตนั้น ชนทั้ง เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี จบ ------------------------ .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑ |