บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร? เล่ากันมาว่า ท่านพระมาตังคบุตรเถระนี้ ใน อยู่มาวันหนึ่งออกจากนาคพิภพไปเที่ยว (หากิน) เห็นพระศาสดาผู้เสด็จมาทางอากาศ มีใจเลื่อมใส ได้ทำการบูชาด้วยแก้วมณีที่หงอนของตน. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้เกิดเป็นบุตรของกุฎุมพี ชื่อมาตังคะ ในโกศลรัฐ จึงปรากฏนามว่ามาตังค ท่านรู้เดียงสาแล้ว กลายเป็นคนเกียจคร้าน ไม่ทำการงานอะไร ถูกญาติและคนเหล่าอื่นพากันตำหนิ คิดเห็นว่า สมณศากยบุตรเหล่านี้เป็นอยู่อย่างง่ายๆ มุ่งหวังจะเป็นอยู่ง่ายๆ เป็นผู้ที่ภิกษุทั้งหลายทำการอบรมแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดาฟังพระธรรมเทศนา มีศรัทธาแล้วบวช เห็นภิกษุอื่นๆ มีฤทธิ์ ปรารถนาพลังฤทธิ์ จึงเรียนกรรมฐานในสำนักของพระศาสดา หมั่น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อปทานว่า๑- พระชินศรีสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงถึงฝั่งแห่งพระธรรมทั้งหมด ทรงประสงค์วิเวก กำลังเสด็จไปในอากาศ ภพที่อยู่ของข้าพเจ้าที่ประกอบพร้อมด้วยบุญกรรม ได้มีอยู่ที่ชาตสระใหญ่ ที่อยู่ไม่ไกลป่าหิมพานต์ ข้าพเจ้าออกจากที่อยู่ไปได้เห็นพระ พระปทุมุตตระ ศาสดาผู้ทรงรู้แจ้งโลก ทรงรับเครื่องบูชา ประทับบนอากาศ ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า ขอให้ความดำริของเธอจงสำเร็จ ขอจงได้รับความสุขอันไพบูลย์ ขอจงเสวยยศยิ่งใหญ่ ด้วยการบูชาด้วยแก้วมณีนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสพระคาถานี้แล้ว ทรงมีพระนามว่า ชลชุตตมะ (ผู้สูงสุดกว่าสัตว์น้ำพญานาค) ทรงเป็นพระ ข้าพเจ้าได้เป็นท้าวสักกะจอมเทพเสวยเทวราชสมบัติเป็นเวลา ๖๐ กัป และได้เป็นพระเจ้า เมื่อข้าพเจ้าเป็นเทวดาระลึกถึงบุรพกรรม แก้วมณีเกิดแก่ข้าพเจ้า ส่องแสงสว่างให้ข้าพเจ้า สนมนารี ๘๖,๐๐๐ นางที่ห้อมล้อมข้าพเจ้า มีวัตถาภรณ์แพรวพราวประดับแก้วมณีและแก้วกุณฑล มีขนตางอน, ยิ้มแย้ม, เอวบางร่างน้อย, ตะโพกผาย, ห้อมล้อมข้าพเจ้าเนืองนิจ นี้เป็นผลของการบูชาด้วยแก้วมณี. อนึ่ง สิ่งของเครื่องประดับของข้าพเจ้าตามที่ข้าพเจ้าต้องประสงค์ ทำด้วยทอง ประดับด้วยแก้วมณีและทับทิม เป็นสิ่งที่ช่างประดิษฐ์ดีแล้ว ปราสาทเรือนที่รื่นรมย์และที่นอนที่ควรค่ามาก รู้ความดำริของข้าพเจ้าแล้วเกิดขึ้นตามที่ต้องการ ชนเหล่าใดได้รับการสดับตรับฟัง เป็นลาภและเป็นการได้อย่างดีของชนเหล่านั้น การได้นั้นเป็นบุญเขตของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นโอสถของปวงปาณชาติ แม้ข้าพเจ้าก็มีกรรมที่ทำไว้ดีแล้ว ที่ได้เห็นพระ ข้าพเจ้าเข้าถึงกำเนิดใดๆ จะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม แสงสว่างของข้าพเจ้าจะมีอยู่ทุกเมื่อในภพนั้นๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยการบูชาด้วยแก้วมณีนั้นนั่นเอง ข้าพเจ้าจึงได้เสวยสมบัติ แล้วได้เห็นแสงสว่างคือญาณ และได้บรรลุพระนิพพานที่ไม่หวั่นไหว ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เพราะข้าพเจ้าได้บูชาด้วยแก้วมณีไว้ จึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยแก้วมณี. กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าเผาแล้ว ฯลฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว. ____________________________ ๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๖๒ ก็พระเถระเป็นผู้มีอภิญญา เมื่อจะตำหนิความเกียจคร้าน สรรเสริญการปรารภความเพียรของตนด้วยบุคลาธิษฐาน จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถาไว้ว่า ขณะทั้งหลายย่อมล่วงเลยคนทั้งหลาย ผู้ทอดทิ้งการงาน โดยอ้างเลศว่า เวลานี้ หนาวนัก ร้อนนัก เย็นมากแล้ว ส่วนผู้ใดไม่สำคัญหนาวและร้อนให้ยิ่งไปกว่าหญ้า ผู้นั้น จะทำงานอยู่อย่างลูกผู้ชาย ไม่พลาดไปจากความสุข ข้าพเจ้าเมื่อจะเพิ่มพูนวิเวก จักแหวกแฝกคา หญ้าดอกเลา หญ้าปล้อง และหญ้ามุงกระต่ายด้วยอุระ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อติสีตํ ความว่า นำความมาเชื่อมกันว่า หนาวเหลือเกิน เพราะหิมะตกและฝนพรำเป็นต้น คนเกียจคร้านอ้างข้อนี้. บทว่า อติอุณฺหํ ความว่า ร้อนเหลือเกิน เพราะแดดแผดเผาในฤดูร้อนเป็นต้น. แม้ด้วยคำทั้ง ๒ นี้ พระเถระได้กล่าวถึงเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านด้วยอำนาจฤดู. บทว่า อติสายํ ความว่า เย็นมากแล้ว เพราะกลางวันผ่านพ้นไป ก็ด้วยว่าสายนั้นเทียว แม้เวลาเช้าก็เป็นอันสงเคราะห์เข้าในคาถานี้ด้วย. ด้วยคำทั้งสองนั้น (สายํ และ ปาโต) พระเถระได้กล่าวถึงเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้าน ด้วยอำนาจกาลเวลา. บทว่า อิติ ความว่า ด้วยประการฉะนี้. ด้วยอิติศัพท์นี้ พระเถระสงเคราะห์เอาเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านเข้าไว้ด้วยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรม (การงาน) เป็นสิ่งที่ภิกษุ ในพระศาสนานี้ควรทำ. บทว่า วิสฺสฏฺฐกมฺมนฺเต ได้แก่ ผู้สลัดทิ้งซึ่งการงานที่ประกอบ. บทว่า ขณา ได้แก่ โอกาสแห่งการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์มีโอกาสเกิดขึ้นของพระ บทว่า มาณเว ได้แก่ สัตวโลกทั้งหลาย. บทว่า ติณา ภิยฺโย น มญฺญติ ความว่า ไม่สำคัญเหนือไปกว่าหญ้า คือสำคัญ (หนาว, ร้อน) เหมือนหญ้า ได้แก่ข่มหนาวและร้อนไว้ ทำงานที่ตนจะต้องทำไป. บทว่า กรํ ได้แก่ กโรนฺโต แปลว่า ทำอยู่. บทว่า ปุริสกิจฺจานิ ได้แก่ ประโยชน์ของตนและของผู้อื่นอันวีรบุรุษจะต้องทำ. บทว่า สุขา ได้แก่ จากความสุข. อธิบายว่า จากนิพพานสุข. เนื้อความของคาถาที่ ๓ ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วในหนหลังนั่นแล. จบอรรถกถามาตังคบุตรเถรคาถา ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติกนิบาต ๕. มาตังคปุตตเถรคาถา จบ. |