![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร? แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทั้งหลาย ก่อสร้างบุญทั้งหลายไว้ในภพนั้นๆ ใน พอเจริญวัยได้เป็นสหายคฤหัสถ์ของพระสามัญญกานิเถระ ได้เห็นพระ พระศาสดาทรงเห็นความเป็นไปนั้นของเธอ จึงเสด็จไป ณ ที่นั้น ลำดับนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ท่าน จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ความว่า จงลุกขึ้นนั่งเถิด กาติยานะ อย่ามัวนอนหลับอยู่เลย จงตื่นขึ้นเถิด อย่าให้มัจจุราชผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของคนประมาท ชนะท่านผู้เกียจคร้านด้วยอุบายโกงเลย. กำลังคลื่นแห่งมหา สมุทร ย่อมครอบงำบุรุษผู้ไม่อาจข้ามมหาสมุทรนั้นได้ฉันใด ชาติและชราย่อมครอบงำท่านผู้ถูกความเกียจคร้านครอบงำ แล้วฉันนั้น ขอท่านจงทำเกาะคืออรหัตผลแก่ตนเถิด เพราะที่ พึ่งอย่างอื่นในโลกนี้และโลกหน้า ย่อมไม่มีแก่ท่าน ก็พระศาสดาได้ทรงบอกทางนี้อันล่วงพ้นจากเครื่อง ข้อง และจากภัยคือชาติและชราแก่ท่านแล้ว ท่านอย่าเป็น ผู้ประมาททั้งยามต้นและยามหลัง จงพยายามกระทำความ เพียรให้มั่นเถิด ท่านจงปลดเปลื้องเครื่องผูกทั้งหลายอันเป็น ของเดิมเสีย จงใช้สอยผ้าสังฆาฏิ โกนศีรษะด้วยมีดโกน และ ฉันอาหารที่ขอมาได้ จงอย่าเห็นแก่การเล่นสนุกสนาน อย่า เห็นแก่การนอน จงหมั่นเพ่งธรรมเถิดกาติยานะ จงเจริญฌาน จงชนะกิเลสเถิด กาติยานะ ท่านจงเฉลียวฉลาดในทางอันปลอดโปร่ง จากโยคะ จงบรรลุถึงความบริสุทธิ์อันยอดเยี่ยม จงดับเพลิง กิเลสดังบุคคลดับไฟด้วยน้ำฉะนั้น ประทีปที่ส่องแสง ถ้ามี แสงน้อย ย่อมดับไปด้วยลม หรือดุจดังเถาวัลย์เล็กถูกลม ขจัดได้ ฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีโคตรเสมอด้วยพระอินทร์ ท่านก็ฉันนั้น จงเป็นผู้ไม่ถือมั่น กำจัดมารเสียเถิด ก็เมื่อท่านกำจัดมารได้ อย่างนี้แล้ว เป็นผู้ปราศจากความกำหนัดในเวทนาทั้งหลาย เป็นผู้มีความเย็น รอคอยเวลานิพพานของตนในอัตภาพนี้ที เดียว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุฏฺเฐหิ ความว่า ท่านเมื่อลุกขึ้นจากการเข้าถึงความหลับ ชื่อว่าจงกระทำความเพียรคือความหมั่น. เพราะธรรมดาว่าการนอน เป็นไปในฝักฝ่ายของความเกียจคร้าน เพราะฉะนั้น ท่านอย่านอน. บทว่า นิสีท ความว่า จงนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพระเถระนั้น โดยชื่อว่า กาติยานะ. บทว่า มา นิทฺทาพหุโล อหุ ความว่า อย่าเป็นผู้มากด้วยความหลับ คือถูกความหลับครอบงำ. บทว่า ชาครสฺสุ แปลว่า จงตื่น คือจงเป็นผู้ประกอบความเพียรในความเป็นผู้ตื่นอยู่. บทว่า มา ตํ อลสํ ความว่า มัจจุราชผู้เป็นพวกพ้องของคนประมาท จงอย่าชนะคือจงอย่าครอบงำ อย่าท่วมทับท่านผู้เกียจคร้าน ไม่ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่ ด้วยชราและโรค เหมือนนายพรานอย่าชนะเนื้อและนกด้วยกลโกง คือด้วยฟ้าทับเหวฉะนั้น. บทว่า เสยฺยถาปิ ตัดเป็น เสยฺยถา อปิ แปลว่า แม้ฉันใด. บทว่า มหาสมุทฺทเวโค ได้แก่ กำลังคลื่นแห่งมหาสมุทร. บทว่า เอวํ เป็นต้น ความว่า กำลังคลื่นแห่งมหาสมุทรตั้งขึ้นซ้อนๆ กัน ย่อมครอบงำบุรุษนั้นผู้ไม่สามารถว่ายข้ามมหาสมุทรนั้นไปได้ฉันใด ชาติและชราก็ฉันนั้น ย่อมครอบงำคือย่อมย่ำยีท่านผู้ถูกความเกียจคร้านครอบงำ. บทว่า โส กโรหิ ความว่า ดูก่อนกาติยานะ ท่านจงกระทำเกาะที่ดี กล่าวคือพระอรหัตผลที่โอฆะทั้ง ๔ ท่วมทับไม่ได้แก่ตน คือจงให้เกิดขึ้นในสันดานของตน. ศัพท์ว่า หิ ในบทว่า น หิ ตาณํ ตว วิชฺชเตว อญฺญํ เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่าเหตุ. อธิบายว่า เพราะเหตุที่ ชื่อว่าที่พึ่งของท่านอื่นจากพระอรหัตผลนั้น ย่อมไม่ได้ในโลกนี้หรือโลกหน้า ฉะนั้น ท่านจงกระทำเกาะที่ดีคือพระอรหัตผลนั้น. บทว่า สตฺถา หิ วิเชสิ มคฺคเมตํ ความว่า พระศาสดาทรงครอบงำ บทว่า ปุริมานิ ปมุญฺจ พนฺธนานิ ความว่า ท่านจงปล่อยคือละเครื่องผูกของคฤหัสถ์ ได้แก่เครื่องผูกคือกามคุณที่มีอยู่ในกาลก่อน คือที่ผูกพันไว้ในเวลาเป็นคฤหัสถ์. อธิบายว่า จงอย่าอาลัยในเครื่องผูกคือกามคุณนั้น. บทว่า สงฺฆาฏิขุรมุณฺฑภิกฺขโภชี ได้แก่ เป็นผู้ครองผ้าสังฆาฏิ มีศีรษะโล้นที่เอามีดโกนปลงผม บริโภคอาหารที่ได้ด้วยการขอ. คำแม้ทั้ง ๓ นี้เป็นคำกล่าวเหตุแห่งการปลดเปลื้องเครื่องผูกที่มีอยู่ในกาลก่อน และแห่งการไม่ประกอบตามความยินดีในการเล่นและการนอนหลับ. ประกอบความว่า เพราะเหตุที่ท่านห่มผ้าสังฆาฏิ ศีรษะโล้น มีอาหารที่ได้ด้วยการขอเขาเลี้ยงชีพ เพราะฉะนั้น การประกอบกามสุข และการประกอบความยินดีในการเล่นและการนอนหลับ จึงไม่ควรแก่ท่าน ด้วยเหตุนั้น ท่านจงปล่อยวางเครื่องผูกที่มีในกาลก่อนเสีย อย่าเห็นแก่การเล่นและการนอนหลับ. บทว่า ฌาย ได้แก่ จงเพ่ง คือจงหมั่นประกอบอารัมมณูปนิชฌาน เพ่งอารมณ์. พระศาสดาเมื่อจะทรงแสดงว่า ก็เธอเมื่อจะประกอบ บทว่า โยคกฺเขมปเถสุ โกวิโทสิ ความว่า เธอจงเป็นผู้ฉลาดคือ บทว่า วารินาว โชติ ความว่า จักดับกิเลสด้วยการตกลงแห่งฝน บทว่า ปชฺโชตกโร ได้แก่ ประทีปอันกระทำความสว่างโชติช่วง. บทว่า ปริตฺตรํโส แปลว่า มีเปลวน้อย. บทว่า วินมฺยเต แปลว่า ย่อมดับไป คือปราศจากไป. บทว่า ลตาว แปลว่า เหมือนเครือเถา. ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า :- ประทีปที่แสงน้อยคือมีรัศมีน้อย โดยขาดแคลนปัจจัยมีไส้เป็นต้น หรือ พระศาสดาตรัสเทศนาให้ถึงอนุปาทิเสสนิพพานด้วยประการอย่างนี้ ในเวลาจบเทศนา พระเถระเจริญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัตแล้ว. ก็ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ตาม จบอรรถกถากาติยานเถรคาถาที่ ๗ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ฉักกนิบาต ๗. กาติยานเถรคาถา จบ. |