![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ว่าด้วยอานิสงส์ ในเรื่องนั้น การแก้ปัญหาคือการชี้ขาด ในลัทธิของสกวาทีว่า การละสังโยชน์ย่อมมีแก่ผู้เห็นสังขารทั้งหลายโดยความเป็นโทษ และเห็นพระนิพพานโดยความเป็นอานิสงส์ ดังนี้ ก็ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายอันธกะทั้งหลายว่า การละสังโยชน์ย่อมมีแก่ผู้เห็นพระนิพพาน โดยความเป็นอานิสงส์เท่านั้น เพราะถือเอาวาทะของสกวาทีเพียงข้อเดียวในวาทะ ๒ ข้อนั้น คำถามของสกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวคำว่า บุคคลมนสิการอยู่ซึ่งสังขารทั้งหลายเป็นต้น แก่ปรวาทีนั้นเพื่อแสดงการจำแนกว่า วาทะของสกวาทีนั้น ท่านถือเอาแล้ว แม้ความเป็นโทษในสังขารทั้งหลาย ท่านก็พึงเห็นด้วยทีเดียว. ในปัญหาว่า บุคคลมนสิการซึ่งสังขารทั้งหลาย โดยความเป็นของไม่เที่ยงด้วย เป็นผู้เห็นอานิสงส์ในพระนิพพานด้วย พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้ว่า ลัทธิของปรวาทีเหล่านั้นว่า การละสังโยชน์ย่อมมีแก่ผู้เห็นอานิสงส์ในพระนิพพาน ดังนี้ จึงถูกสกวาทีถามว่า บุคคลมนสิการอยู่ซึ่งสังขารทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยง ละสัญโญชน์ได้มิใช่หรือ ปรวาทีตอบรับรองว่าใช่ ด้วยคำนั้น สกวาทีจึงกล่าวว่า บุคคลมนสิการอยู่ซึ่งสังขารทั้งหลาย โดยความเป็นของไม่เที่ยงด้วย เป็นผู้เห็นอานิสงส์ในนิพพานด้วย ดังนี้ คำนี้ท่านรับรองหรือ? ลำดับนั้น ปรวาทีจึงตอบปฏิเสธ เพราะหมายเอาเพียงขณะจิตเดียว ถูกถามครั้งที่ ๒ ท่านก็ตอบรับรองด้วยสามารถแห่งจิตต่างๆ. ก็สกวาทีย่ำยีความประสงค์ของปรวาทีนั้นแล้ว จึงถามว่า เป็นการประชุมแห่งผัสสะ ๒ อย่างแห่งจิต ๒ อย่างหรือ เพราะความที่บุคคลผู้มนสิการสังขารโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นผู้มีปกติเห็นอานิสงส์พระนิพพานด้วย เพราะความที่ปรวาทีตอบรับรองโดยความรวมเป็นอันเดียวกันด้วย ดังนี้ ปรวาทีเมื่อไม่เห็นการประชุมกันแห่งผัสสะ ๒ อย่างเป็นต้น จึงตอบปฏิเสธ. แม้ในปัญหามีคำว่า โดยความเป็นทุกข์ เป็นต้น ก็นัยนี้นั่นแหละ. ก็ในข้อนี้มีการสันนิษฐานอย่างไร? คือย่อมละสังโยชน์ทั้งหลาย เพราะมนสิการสังขารทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น หรือย่อมละสังโยชน์ของผู้เห็นพระนิพพาน หรือย่อมละสังโยชน์ของผู้ทำแม้ทั้ง ๒ รวมกัน. ผิว่า การละสังโยชน์เพราะมนสิการสังขารโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นก่อนไซร้ การละนี้ก็พึงมีด้วยวิปัสสนาจิตเท่านั้น ถ้าการละสังโยชน์ด้วยสามารถแห่งการตามระลึกของผู้มีปกติเห็นอานิสงส์ไซร้ การละนั้นก็พึงมีด้วยวิปัสสนาจิตของผู้เห็นอยู่ซึ่งอานิสงส์ในพระนิพพานนั่นแหละ ก็ถ้าว่าการละสังโยชน์พึงมีแก่ผู้ทำแม้ทั้ง ๒ รวมกันไซร้ การประชุมแห่งผัสสะ ๒ ดวงเป็นต้น ก็พึงมี ถึงอย่างไรก็ดี กิจของผู้มนสิการสังขารโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมถึงความสำเร็จในขณะแห่งมรรค เพราะสกวาทีย่อมต้องการเห็นอานิสงส์ในพระนิพพานโดยสภาพแห่งธรรมที่เกิดขึ้นของผู้ยึดถือสังขารทั้งหลายโดยความเป็นของเที่ยงเป็นต้นโดยประจักษ์นั่นแหละอีก เหตุใด เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า การละสังโยชน์ทั้งหลายของผู้เห็นอานิสงส์ในพระนิพพานด้วยสามารถแห่งการให้สำเร็จกิจในอริยมรรคด้วย ด้วยสามารถแห่งความเป็นไปเพราะทำให้เป็นอารมณ์โดยมนสิการสังขารทั้งหลายโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นด้วย. พระสูตรว่า เป็นผู้พิจารณาเห็นว่าเป็นสุข....ในพระนิพพานอยู่ ดังนี้ เป็นต้น ย่อมให้สำเร็จในสภาพแห่งธรรมมีการตามเห็นซึ่งความสุขในพระนิพพาน มิใช่ให้สำเร็จกิจในการละสังโยชน์ทั้งหลายโดยสักว่า การเห็นอานิสงส์ในพระนิพพานเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระสูตรนี้ แม้ปรวาทีนำมาอ้างแล้ว ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนี้แล. อรรถกถาอานิสังสกถา จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๙ อานิสังสกถา จบ. |