![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ว่าด้วยสัตว์ดิรัจฉาน ในเทพทั้งหลายเท่านั้น เทพบุตรทั้งหลายชื่อว่าเอราวัณเป็นต้น ย่อมแปลงเพศเป็นช้าง เป็นม้า สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายย่อมไม่มีในที่นั้น ก็ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายอันธกะทั้งหลายว่า สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายมีอยู่ในหมู่เทพ เพราะเห็นเทพบุตรทั้งหลายผู้นิรมิตเพศเป็นเพศสัตว์ดิรัจฉาน ดังนี้. คำถามของสกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวคำว่า เทวดามีอยู่ในหมู่สัตว์ดิรัจฉานหรือ เป็นต้น เพื่อท้วงด้วยคำว่า ถ้าว่าสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายพึงมีในเทวกำเนิดได้ไซร้ เทพทั้งหลายก็พึงมีในกำเนิดของสัตว์ดิรัจฉานได้ ดังนี้. คำว่า แมลง เป็นต้น สกวาทีกล่าวแล้วเพื่อแสดงถึงสัตว์ทั้งหลายที่ปรวาทีไม่ปรารถนาเหล่าใดเหล่านั้น. ในปัญหาว่า ช้างตัวประเสริฐชื่อว่าเอราวัณ สกวาทีกล่าวตอบรับรอง เพราะความที่ช้างชื่อว่าเอราวัณนั้นมีอยู่แต่หาใช่สัตว์ดิรัจฉานไม่. คำว่า พวกผูกช้าง เป็นต้น สกวาทีกล่าวเพื่อท้วงด้วยคำว่า ถ้าว่า ช้างเป็นต้นพึงมีในที่นั้นไซร้ แม้พวกผูกช้างเป็นต้นก็พึงมีในที่นั้น ดังนี้ ในคำเหล่านั้น คำว่า พวกตะพุ่นหญ้า ได้แก่ ผู้ให้หญ้าที่สัตว์กิน. คำว่า พวกหัวหน้างาน ได้แก่ นายหัตถาจารย์เป็นต้น. อธิบายว่า นายหัตถาจารย์เหล่านั้นพึงทำวิธีการฝึกโดยวิธีต่างๆ. คำว่า พวกทำอาหารให้สัตว์ ได้แก่ ผู้หุงต้มอาหารให้สัตว์ทั้งหลายมีช้างเป็นต้น. คำว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ความว่า ปรวาทีเมื่อไม่ปรารถนาเช่นนั้น จึงตอบปฏิเสธ ดังนี้แล. อรรถกถาติรัจฉานกถา จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๒๐ ติรัจฉานกถา จบ. |