![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ในธัมมยมกนั้น พึงทราบการกำหนดพระบาลีตามนัยที่กล่าวไว้ในขันธยมก ก็ในขันธยมกนั้น มี ๓ มหาวาระ มีปัณณัตติวาระเป็นต้น และมีอันตรวาระที่เหลือ มีอยู่โดยประการใด ในธรรมยมกก็มีโดยประการนั้น. แต่ในธรรมยมกนี้ พึงทราบว่าท่านเรียกปริญญาวาระว่า ภาวนาวาระ เพราะพระบาลีอาคต ในภาวนาวาระนั้น อัพยากตธรรมเป็นธรรมที่บุคคลไม่ควรเจริญด้วย ไม่ควรละด้วย เพราะเหตุนั้นท่านจึงไม่ยกบทนั้นขึ้นแสดง. ก็ในปัณณัตติวาระในธรรมยมกนี้ พึงทราบการนับยมกในวาระ ๔ เหล่านี้ คือปทโสธนวาระ ปทโสธนมูลจักกวาระ สุทธธัมมวาระ สุทธธัมมมูลจักกวาระ ด้วยอำนาจแห่งธรรมทั้งหลายมีกุศลธรรมเป็นต้น. ส่วนในปัณณัตติวาระนิทเทส พระองค์ตรัสว่า อามนฺตา เพราะความที่แห่งกุศลทั้งหลายเป็นกุศลธรรมโดยแน่นอน ในปัญหาที่ว่า กุศลชื่อว่ากุศลธรรมหรือ? ดังนี้ แม้ในคำวิสัชนาที่เหลือก็นัยนี้ คำวิสัชนาที่ว่า ธรรมทั้งหลายที่เหลือ ไม่ชื่อว่าอกุศล แต่ชื่อว่าธรรม. อธิบายว่า ธรรมทั้งหลายที่เหลือไม่เป็นอกุศล แต่เป็นธรรม. พึงทราบคำวิสัชนาทั้งหมดโดยนัยนี้. ก็ในอนุโลมนัยแห่งบุคคลวาระ ปัจจุบันกาลในปวัตติวาระนี้ ยมก ๓ อย่าง คือยมกที่มีกุศลธรรมเป็นมูล ๒ อย่าง มีอกุศลธรรมเป็นมูล ๑ อย่าง ย่อมมีในปัญหาว่า กุศลธรรมย่อมเกิดแก่บุคคลใด อกุศลธรรมก็ย่อมเกิดแก่บุคคลนั้นใช่ไหม? ก็หรือว่า อกุศลธรรมย่อมเกิดแก่บุคคลใด กุศลธรรมก็ย่อมเกิดแก่บุคคลนั้นใช่ไหม? ดังนี้. ในปฏิโลมนัยก็ดี ในวาระทั้งหลายมีโอกาสวาระเป็นต้นก็ดี ก็นัยนี้ บัณฑิตพึงทราบการนับยมก ด้วยอำนาจแห่งยมกทั้งหลาย ๓ อย่าง ในวาระทั้งปวง ในปวัตติวาระนี้อย่างนี้. ก็ในการวินิจฉัยเนื้อความในปวัตติวาระพึงทราบลักษณะนี้ ดังต่อไปนี้. ในปวัตติวาระแห่งธรรมยมกนี้ คำว่า อุปฺปชฺชนฺติ-ย่อมเกิด นิรุชฺฌนฺติ-ย่อมดับ ในอุปปาทะและนิโรธวาระเหล่านี้ ย่อมได้กุศลธรรมและอกุศลธรรมในปวัตติกาลเท่านั้นโดยแน่นอน ย่อมไม่ได้จุติและปฏิสนธิกาล แต่ว่าอัพยากตธรรมย่อมได้ในกาลทั้ง ๓ คือปวัตติ จุติและปฏิสนธิ. ลักษณะโดยย่อมได้ในที่ใดๆ พึงทราบคำวินิจฉัยของลักษณะนั้น ในที่นั้นๆ อย่างนี้. พึงทราบนัยมุขในการวินิจฉัยนั้นดังนี้ :- คำปฏิเสธว่า โน - ไม่ใช่ พระองค์ทรงกระทำแล้วเพราะความไม่บังเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันของกุศลและอกุศล. คำว่า อพฺยากโต จ ท่านกล่าวแล้วด้วยอำนาจแห่งรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน. ปัญหาว่า กุศลธรรมย่อมไม่เกิดขึ้นในภูมิใด นี้ ท่านกล่าวหมายเอาอสัญญีภพ เหตุนั้นในปัญหานี้ท่านจึงทำคำวิสัชนาว่า อามนฺตา - ใช่ แม้ในคำว่า ย่อมเกิดขึ้น นี้ท่านก็กล่าวหมายเอาอสัญญีภพนั่นแหละ แต่กระทำการห้ามว่า ไม่มี เพราะความไม่มีแห่งที่อันไม่บังเกิดขึ้นแห่งอัพยากตธรรมทั้งหลาย หมายความว่า อัพยากตธรรมเกิดได้ในทุกภูมิ. คำว่า ทุติเย อกุสเล - ครั้นเมื่ออกุศลดวงที่สอง ได้แก่ชวนะจิตดวงที่สองในนิกันติชวนะที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพราะยินดีซึ่งภพ. คำว่า ทุติเย จิตฺเต วตฺตมาเน - ครั้นเมื่อจิตดวงที่สองเป็นไปอยู่ ได้แก่ครั้นเมื่อภวังคจิตอันเป็นจิตดวงที่สอง แต่ปฏิสนธิจิตเป็นไปอยู่ อีกอย่างหนึ่ง คำว่า ทุติเย จิตฺเต วตฺตมาเน ได้แก่ ครั้นเมื่ออาวัชชนจิตในภวนิกันติชวนะ ได้แก่เป็นไปอยู่ เพราะกระทำซึ่งภวังค์กับปฏิสนธิให้เป็นอย่างเดียวกันด้วยอำนาจของวิบากจิต. จริงอยู่ อาวัชชนะจิตนั้นชื่อว่า ทุติยจิต - จิตดวงที่สอง นับแต่วิบากจิต เพราะความที่แห่งอาวัชชนะจิตนั้นเป็นกิริยาจิตในอัพยากตชาติ หมายความว่า อาวัชชนะจิตเป็นจิตคนละชาติกับวิบาก. คำว่า ยสฺส จิตฺตสฺส อนนฺตรา อคฺคมคฺคํ ท่าน คำว่า กุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ ท่าน ปัญหาว่า ยสฺส จิตฺตสฺส อนนฺตรา อคฺคมคฺคํ ปฏิลภิสฺสนฺติ ตสฺส จิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ ท่าน แม้ในนิโรธวาระ ท่านกล่าวแล้วว่า โน - ไม่ใช่ เพราะความที่กุศลและอกุศลไม่ดับพร้อมกัน พึงทราบคำวินิจฉัยในที่ทั้งปวงโดยนัยมุขนี้ ด้วยประการฉะนี้. อรรถกถาธรรมยมก จบบริบูรณ์. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ยมกปกรณ์ ภาค ๒ ธรรมยมก ปัณณัตติวาร จบ. |