บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร? แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญมากมายไว้ในภพนั้นๆ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิทธัตถะ ถึงความสำเร็จในวิชาและศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ แล้วละกามทั้งหลาย บวชเป็นฤาษี อันหมู่ฤาษีเป็นอันมากแวดล้อมแล้ว อยู่ในป่า. สดับข่าวความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ร่าเริงยินดีแล้ว ดำริว่า พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาโอกาสเฝ้าได้ยาก อุปมาเหมือนดอกมะเดื่อ เราควรเข้าเฝ้าในบัดนี้แหละ ดังนี้แล้วแล้วเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมกับบริษัทหมู่ใหญ่. เมื่อเหลือทางอีกหนึ่งโยชน์ครึ่งจะถึงก็ล้มป่วยถึงความตาย โดยสัญญาอันส่งไปแล้วในพระพุทธเจ้า บังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นน้องชายคนเล็กของพระเจ้าธรรมาโศกราช ในที่สุดแห่งปีพุทธศักราช ๒๑๘ ในพุทธุปบาทกาลนี้. ท่านได้มีพระนามว่า วีตโสกะ. วีตโสกราชกุมารเจริญวัยแล้วถึงความสำเร็จในวิชาและศิลปศาสตร์ที่พึง วันหนึ่งรับกระจกจากมือของช่างกัลบก ในเวลาปลงพระมัสสุ มองดูพระวรกาย เห็นอวัยวะที่มีหนังเหี่ยวและผมหงอกเป็นต้น บังเกิดความสลดพระทัย ยังจิตให้หยั่งลงในวิปัสสนา แล้วยกขึ้นสู่ภาวนา เป็นพระโสดาบันบนอาสนะนั้นเอง บวชในสำนักของพระคิริทัตตเถระแล้ว บรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- เราเป็นคนเล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท ชำนาญในคัมภีร์ทำนาย ครั้งนั้น พวกศิษย์มาหาเราปานดังกระแสน้ำ เราไม่เกียจคร้าน บอกมนต์แก่ศิษย์เหล่านั้นทั้งกลางวันและกลางคืน. ในกาลนั้น พระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระ ครั้งนั้น ศิษย์ของเราคนหนึ่งได้บอกแก่ศิษย์ทั้งหลายของเรา พวกเขาได้ฟังความนั้นจึงได้บอกเรา. เราคิดว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ชน เราถือหนังเสือผ้าเปลือกไม้กรองและคนโทน้ำของเราแล้ว ออกจากอาศรม เชิญชวนพวกศิษย์ว่า ความเป็นผู้นำโลกหาได้ยาก เหมือนกับดอกมะเดื่อ กระต่ายในดวงจันทร์หรือเหมือนกับน้ำนมกาฉะนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก แม้ความเป็นมนุษย์ก็หาได้ยาก และเมื่อความเป็นผู้นำโลก และความเป็นมนุษย์ทั้งสองอย่างมีอยู่ การได้ฟังธรรมก็หาได้ยาก พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พวกเราจักได้ดวงตาอันเป็นของพวกเรา มาเถิดท่านทั้งหลาย เราจักไปยังสำนักของพระพุทธเจ้า ด้วยกันทุกคน ศิษย์ทุกคนแบกคนโทน้ำ นุ่งหนังเสือทั้งเล็บ พวกเขาเต็มไปด้วยภาระคือชฎา พากันออกไปจากป่าใหญ่ในครั้งนั้น พวกเขามองดูประมาณชั่วแอก แสวงหาประโยชน์อันสูงสุด เดินมาเหมือนลูกช้าง เป็นผู้ไม่สะดุ้งประหนึ่งไกรสรสีหราชฉะนั้น เขาทั้งหลายไม่มีความสะดุ้ง หมดความละโมบ มีปัญญา มีความประพฤติสงบ เที่ยวเสาะแสวงหาโมกขธรรม ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด (ก่อนจะถึงที่หมาย) เหลือระยะทางอีกหนึ่งโยชน์ครึ่ง เราเกิดเจ็บป่วยขึ้น เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดแล้ว ตาย ณ ที่นั้น. ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วยการได้สัญญานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล ____________________________ ๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๗๒ ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า ช่างกัลบกเข้ามาหาเรา ด้วยคิดว่า จักตัดผมของเรา เราจึงเอากระจก จากช่างกัลบกนั้น มาส่องดูร่างกาย ร่างกายของเรานี้ได้ปรากฏเป็นของเปล่า ความมืด คืออวิชชาในกาย อันเป็นต้นเหตุแห่งความมืดมน ได้หายหมดสิ้นไป กิเลสดุจผ้าขี้ริ้วทั้งปวง เราตัดขาด แล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เกเส เม โอลิขิสฺลนฺติ กปฺปโก อุปสงฺกมิ ความว่า ในเวลาที่เราเป็นคฤหัสถ์ ในเวลาโกนหนวด ช่างกัลบกคือช่างทำผม คิดว่าจักตัด จะแต่งผมของเรา จึงเข้ามาหาเรา โดยเตรียมจะตัดผมเป็นต้น. บทว่า ตโต ได้แก่ จากช่างกัลบกนั้น. บทว่า สรีรํ ปจฺจเวกฺขิสฺส ความว่า พิจารณาร่างกายที่ชราครอบงำแล้วด้วยตนเองว่า ร่างกายของเราถูกชราครอบงำแล้วหนอ ดังนี้ ด้วยมุขคือการดูนิมิตบนใบหน้าที่มีผมหงอกและหนังเหี่ยวย่นเป็นต้นในกระจกได้ทั่วทั้งร่าง. ก็เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ ร่างกายของเราก็ปรากฏเป็นของว่างเปล่า คือร่างกายของเราได้ปรากฎ คือเห็นชัดว่าเป็นของว่างเปล่า จากสภาพต่างๆ มีสภาพที่เที่ยง ยั่งยืนและเป็นสุข เป็นต้น. เพราะเหตุไร? เพราะความมืดคืออวิชชาในกายอันเป็นต้นเหตุแห่ง อธิบายว่า คนทั้งหลายที่อยู่ในอำนาจของความมืดในกายของตน ด้วยความมืดกล่าวคืออโยนิโสมนสิการใด เมื่อไม่เห็นสภาพมีสภาพที่ไม่งามเป็นต้นแม้มีอยู่ ย่อมถือเอาอาการว่าเป็นของงามเป็นอันไม่มีอยู่ ความมืดคืออวิชชาในกายอันเป็นต้นเหตุแห่งความมืดมน คือเป็นที่ตั้งแห่งการกระทำความมืดนั้น ได้หายหมดสิ้นไปด้วยแสงสว่างแห่งญาณ กล่าวคือโยนิโส ต่อจากนั้น กิเลสดุจผ้าขี้ริ้วทั้งปวง เราก็ตัดได้ขาด คือกิเลสทั้งหลายอันได้นามว่า โจฬา เพราะเป็นดุจพวกโจรโดยการเข้าไปตัดภัณฑะคือกุศล หรือเป็นดุจผ้าขี้ริ้ว เพราะความเป็นท่อนผ้าเก่าๆ ที่เขาทิ้งแล้วในกองขยะเป็นต้น โดยเป็นเศษผ้าที่ติดลูกไฟ (หรือ) โดยเป็นผ้าที่คนดีไม่ต้องการ เพราะความเป็นของอันอิสรชนคือคนเจริญรังเกียจ อันเราตัดขาดแล้ว ก็เพราะความที่กิเลสเพียงดังผ้าขี้ริ้วเหล่านั้นเป็นของอันเราเพิกถอนได้แล้วด้วยมรรคอันเลิศนั่นแล บัดนี้ภพใหม่จึงมิได้มี ได้แก่การจะไปเกิดในภพใหม่ ไม่มีอีกต่อไป. จบอรรถกถาวีตโสกเถรคาถา ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๓ ๕. วีตโสกเถรคาถา จบ. |